เมื่อเด็กทั้งสองลืมตาขึ้น ก็พบว่าตนได้มายืนอยู่ใต้ซุ้มประตูเมืองแอมโบรเซียอันงดงาม
แอมโบรเซีย เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโทเทีย ปกครองโดยระบบกษัตริย์ และผู้นำศาสนา สังฆราช หรือ โป๊ป อาคารบ้านเรือนต่างๆประกอบขึ้นด้วยอิฐและไม้ สวยงามดูสง่า ถนนหนทางปูด้วยแผ่นหินสีขาวสะอาดตา กลางเมืองประดับด้วยน้ำพุ และรูปหล่อสัมริด เมืองแอมโบรเซียเป็นที่ตั้งของพระมหาราชวัง ศาสนจักร กองทหารแห่งโทเทีย รวมไปถึงตลาดร้านรวง แอมโบรเซียเป็นเมืองที่คึกคักแทบจะตลอดเวลา ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมา ไม่ก็นัดพบกัน บ้างก็นั่งเล่นนั่งคุย เคอิลซึ่งเคยออกนอกเมืองเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นกับตลาดย่อมๆแห่งนี้ ทั้งสองคนต่างเดินดูบรรยากาศรอบข้างซักพัก แล้วก็ตัดสินใจเดินฝ่าฝูงชนไปยังห้องสมุดโดยมีเซราฟเป็นผู้นำทาง
ห้องสมุดแห่งนี้ตั้งเยื้องไปทางขวาจากใจกลางเมืองเล็กน้อย ทั้งสองรื้อค้นทั่วทั้งห้องสมุด กองหนังสือกระจัดกระกายท่วมสูงพ้นศีรษะของทั้งคู่ เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นระยะ ทำเอาบรรณารักษ์สาวคิ้วขมวดอย่างหมดสวย
" อะไรกันเนี่ย ! มีแต่ข้อมูลของสัตว์ประหลาด !" เคอิลตะโกนอย่างเหลืออด บรรณารักษ์สะดุ้งหันมาทำหน้ากินเลือดเกินเนื้อใส่พร้อมกับยกนิ้วมาแนบปากเป็นสัญลักษณ์เชิงให้เงียบ
" ถ้ามาเวลาอื่นข้าก็คงสนใจอยู่หรอก แต่นี้มัน ... มีแต่สัตว์ประหลาด ! จะบ้าตาย !" เคอิลกัดฟันพูด เสียงเบาลงมากเมื่อเทียบกับซักครู่
เซราฟได้แต่เงียบไม่พูดจา เพราะเขาเองที่ชักชวนให้เข้ามาค้นหายังห้องสมุดแห่งนี้
" อ๊า ! ยังมีอีกที่หนึ่งนี่นา ทางตะวันตกของเมืองยังมีห้องสมุดอีกแห่ง !!!" คราวนี้เซราฟส่งเสียงดังเสียเอง โดยไม่ต้องให้เปิดปากไล่ ทั้งสองก็รีบวิ่งออกจากห้องสมุดผ่านบรรณารักษ์สาวที่กำลังเดินกระแทกเท้าเข้ามาหาพวกเขา
คราวนี้เซราฟออกความเห็นว่าให้ถามบรรณารักษ์เสียก่อน เพราะบรรณารักษ์อาจจะรู้ว่ามีหนังสือที่ต้องการหรือไม่ ซึ่งเคอิลก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
" ขอโทษนะเด็กๆ ที่นี่มีแต่ข้อมูลของราชอาณาจักรโทเทีย ถ้าต้องการหาเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดต้องไปอีกที่นะ " บรรณารักษ์เฒ่าหน้าตาเป็นมิตรเอ่ยกับเขาอย่างเอ็นดู
" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดครับ เอ่อ ... ผมว่ายิมิร์เป็นยักษ์ฮะ " เซราฟบอก
" อ้าว ! หรอกเรอะ ฮ่าๆ ข้าไม่รู้หรอก โลกเรามีสัตว์ประหลาดตั้งมากมาย ข้าเองก็รู้จักไม่หมดหรอกนะ " บรรณารักษ์กล่าวพลางหัวเราะอย่างร่าเริง
เด็กทั้งสองกล่าวขอบคุณบรรณารักษ์แล้วเดินออกมายังกลางเมืองด้วยความผิดหวัง
" เฮ้ ! เซราฟนี่นา มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?" นักบวชคนหนึ่งหน้าตางดงามราวเทพธิดา ผมหยักศกเป็นลอนสีเหลืองทองประกายยาวถึงสะโพกเดินตรงเข้ามาทักทายเซราฟอย่างสนิทสนม เคอิลสงสัยว่าคนที่กำลังเดินมานั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
" อ้าว ! พี่ลอเรียต สวัสดีครับ " เซราฟกล่าวทักทายความปิติยินดีฉาบทั่วใบหน้า
" ว่าแต่ไม่ได้บอกลูคาริมเหรอว่าจะมา พวกเค้าเลยออกไปนอกเมืองกันหมดเลย " ลอเรียตถามอย่างสงสัย เสียงกังวานสดใสราวระฆังแก้วออกมาจากปากเขา
" อ้าวเหรอครับ ? พวกเค้าไปไหนกันเหรอครับ ?" เซราฟถามกลับ แต่ในใจเขากลับโล่งอกที่หลวงพ่อ กับพี่ลูคาริมไม่อยู่ในเมือง
" ไม่รู้สิ สงสัยไปทำธุระล่ะมั้ง เห็นว่าอีกสองสามวันกว่าจะกลับ " ลอเรียตเอ่ยตอบ ดวงตาสีเหลืองอำพันรับกับเส้นผมทอประกาย " อ้าว ! พี่ลืมไปเลยว่ามีธุระ เดี๋ยวต้องไปก่อนนะ ตอนนี้พี่มีซ้อมที่โบสถ์ " ลอเรียตเอ่ยขอตัว
" เดี๋ยวก่อนครับ !" เซราฟรั้งไว้ " ผมฝากจดหมายนี่ไปให้พี่ลูคาริมด้วยนะครับ แล้วที่สำคัญ ... อย่าบอกว่าผมมาที่นี่นะ เอาเป็นว่าพี่มาทำธุระที่พิเมนต้าแล้วมาเจอผมละกัน ขอบคุณมากนะครับ " เซราฟรีบยื่นซองจดหมายส่งให้ลอเรียต
" ได้เลยจ้า ! ไว้เป็นหน้าที่พี่เอง ไว้ใจได้เลย ! เดี๋ยวนี้รู้จักหนีเที่ยวแล้วนะเรา " ลอเรียตรับปาก เก็บซองจดหมายเข้ากระเป๋าแล้ววิ่งหายไป เส้นผมยาวสวยของเขาสะบัดไปตามแรงวิ่งจบลับตา
เคอิลยืนมองกระทั่งลอเรียตพ้นสายตา เซราฟต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถึงจะได้สติ
" สวยล่ะสิ พี่ลอเรียตน่ะ " เซราฟถามยิ้มๆ
" เอ่อ ... ข้าไม่แน่ใจว่านั่นผู้ชายรึเปล่า ? แต่ชุดของเขา ..." เคอิลยังสงสัยอยู่
" ผู้ชายสิ ! พี่ลอเรียตน่ะผู้ชายแน่ๆเลยล่ะ แต่พี่เขาเป็นคนสวย ใช่มั้ยล่ะ ?" เซราฟบอกพลางพยักหน้าเป็นการใหญ่
" รู้มั้ยว่าทำไมพี่เขาชื่อลอเรียต ?" เซราฟถามยิ้มๆอีกแล้ว เคอิลไม่ชอบยิ้มแบบมีเลศนัยอย่างนี้เลย
แทบไม่รอคอยคำตอบจากเคอิล เซราฟก็เริ่มคำตอบของเขาเองทันที
" ลอเรียต (Loriot) น่ะแปลว่านกขมิ้น เหมาะมั้ยล่ะ ? ผมสีเหลืองทองยาวสวย หน้าตาที่งดงามราวเทพธิดา อา ... อีกอย่างนะ พี่ลอเรียตน่ะ ยังมีสุ้มเสียงที่ไพเราะ จนได้เป็นนักร้องตัวหลักของ เดอะไฮม์ออฟกอสเปล (The Hymn Of Gospel) คณะประสานเสียงที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อที่สุดของแอมโบรเซียเชียวนะ ไม่มีชื่อไหนที่จะเหมาะไปกว่านกขมิ้นอีกแล้วล่ะ "
เซราฟสาธยายถึงคุณสมบัติต่างๆพร้อมกับขาของเขาพาเคอิลเดินมาถึงหน้าโบสถ์โดยไม่รู้ตัว
" อ้าว ! สงสัยความเคยชินน่ะ " เซราฟพูดแก้ตัว ขณะที่กำลังเงยหน้าไปมองกางเขนยอดโบสถ์
" ไหนๆพี่ลูคาริมกับพวกท่านพ่อไม่อยู่แล้ว พวกเราเข้าไปข้างในกันดีไหม ?" เซราฟถามขึ้น แต่เขาก็เดินผ่านซุ้มประตูไปเสียแล้ว
ด้วยความจำยอม เคอิลจึงต้องเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วย " เซราฟเองก็คงจะคิดถึงที่นี่เช่นกัน " เขาคิด
ภายในโบสถ์อันแสนโอ่โถง เพดานที่ยกสูงกอปรกับหน้าต่างที่สูงเสียดเพดานประดับด้วยกระจกสีรูปเทวฑูตต่างๆ ทำให้โบสถ์แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลัง ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านแถวของเก้าอี้ยาวที่วางเรียงรายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังแว่วมา เสียงนั้นเหมือนกับเสียงที่ถูกถักทอขึ้นจากสายลม มันดังแว่วหวานเบาๆแต่ก็ไพเราะ เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งคู่ก็สามารถจับใจความของเนื้อหาเพลงและความไพเราะของเสียงประสานนั้นได้มากยิ่งขึ้น แต่ทว่า ก็ยังมีเสียงหนึ่งที่ไพเราะและเด่นชัดโลดแล่นโดดขึ้นมาจากสุ้มเสียงของคนนับสิบ เสียงอันแสนไพเราะนั้นใสราวกับระฆังแก้วที่ดังกังวาน สอดประสานรับไปกับท่วงทำนองเสียงประสานของคนอื่น
จนทั้งสองเดินไปถึงหน้าแท่นพิธี ก็เห็นว่ามีคณะนักร้องกลุ่มใหญ่กำลังร้องเพลงสวดด้วยความปีติ เสียงที่โดดเด่นขึ้นมานั้น คือเสียงของลอเรียตนั่นเอง เขายืนอยู่ตรงกลางของกลุ่ม ร้องเพลงด้วยท่าทีปิติยินดีไปตามเนื้อหาในเพลงอย่างเป็นหนึ่งเดียว ทั้งคู่หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ พาให้จินตนาการหลุดลอยไปกับเสียงเพลงอันแสนไพเราะ
จนการซ้อมจบลง ลอเรียตลงจากแท่นคณะขับร้อง มายังเซราฟและเคอิล
" นี่เคอิลครับ พี่ลอเรียต ตอนนั้นพี่คงไม่ทันสังเกตเห็น " เซราฟแนะนำ
" สวัสดีครับ คุณนักเวทย์ ผมลอเรียต โซเฟีย เดอ บรู๊ค เรียกว่าลอเรียตเฉยๆก็ได้ครับ " เขากล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับยิ้มให้เคอิลอย่างเป็นกันเอง ดวงตาสีทองอำพันจับจ้องมายังเคอิล ไม่น่าเชื่อว่ารอยยิ้มและดวงตานั่นจะทำให้เคอิลใจเต้น !!!
" นี่ซ้อมกันจะมีพิธีอะไรเหรอครับ ?" เซราฟถามขึ้น การที่จะใช้คณะขับร้องเดอะไฮม์ออฟกอสเปลได้นั้น ต้องเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่และสำคัญจริงๆ
" จะมีงานแต่งงานน่ะ ระหว่างเซเรส กับเอเรียล " ลอเรียตอธิบาย
" หา ! พี่เซเรสน่ะนะจะแต่งงานแล้ว อะไรกัน ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยเนี่ยนะ !" เซราฟอุทานอย่างตกใจ
" ใช่แล้วล่ะ ว่าแต่พี่ต้องไปแล้วนะ ไปเตรียมตัวก่อน งานจะมีตอนเที่ยงวันวันนี้นะ มาให้ได้ล่ะ เพราะพระสังฆราชไม่อยู่ กษัตริย์ซิมิอาลาที่สาม จะทรงมาเป็นองค์ประทานในพิธีด้วยตัวพระองค์เอง " ลอเรียตพูด แล้วเดินหายไปทางหลังปะรำพิธี
.................................................
เสียงระฆังวิวาห์ และเสียงคณะขับร้องที่สอดประสานไปกับไปป์ออร์แกน ดังสนั่นไปทั่วโบสถ์หลังจากเจ้าสาวได้จุมพิตกับเจ้าบ่าวขณะที่แลกแหวนเป็นที่เรียบร้อย
เจ้าสาวหน้าตาอิ่มเอม ผมสีฟ้ายาวถักเป็นเปียเดี่ยวหนาหนักสวมมงกุฎดอกไม้ อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวเปิดไหล่ เผยให้เห็นผิวขาวเนียน และไหปลาร้าได้รูป แขนทั้งสองสวมถุงมือสีขาวสะอาดสูงเหนือศอก ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นเป็นชายหน้าตาคมคายผิวเข้ม ผมสีเงินสวมมงกุฎดอกไม้เช่นกัน อยู่ในชุดทักซิโด้ ดูสง่า ทั้งคู่เดินจูงมือออกมาหน้าโบสถ์ด้วยทีท่าเคอะเขินน่ารัก
เคอิลเองก็เพิ่งเคยเห็นการประกอบพิธีแต่งงานตามแบบคริสต์จึงเฝ้าดูอยู่ไม่ละสายตา กระทั่งเจ้าสาวโยนช่อดอกไม้สีขาวไปยังกลุ่มแขกเหรื่อซึ่งผู้ที่เฝ้าจับตามองช่อดอกไม้นั้นล้วนแต่เป็นผู้หญิง ทันทีที่ช่อดอกไม้พ้นจากมือเจ้าสาว ก็มีมือนับสิบโบกไสวอยู่กลางอากาศไขว่คว้าช่อดอกไม้นั้น
ขณะที่แขกในงานทยอยแยกย้ายกันกลับไป เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจึงเดินเข้าไปหาเซราฟ
" ขอบใจมากนะที่มางานของพี่ " เซเรสกล่าวขอบใจ " พี่นึกว่าเรายังอยู่ที่พิเมนต้าเสียอีก "
" แต่แหม ถ้าพี่ลอเรียตไม่บอกผมก็ไม่รู้นะ " เซราฟตัดพ้อเป็นเชิงหยอก
" ขอโทษจริงๆจ้ะ มันกระทันหันมากๆเลย " เซเรสยิ้มเจื่อน
" พี่เร่งรัดเซเรสเขาเองล่ะ คนมันใจร้อน " เอเรียลเจ้าบ่าวแก้ต่างให้แก่เจ้าสาว
" ก็แหม ... อยู่ๆก็มาขอแต่งงานกันฉุกละหุก ใครจะไปทันตั้งตัว " เซเรสปรายตาไปทางเจ้าบ่าว
" รู้ไหม เค้ามาขอพี่ที่ไหน ? ที่อาราเมทเชียวนะ แปลกคนดีไหม ?" เจ้าสาวยิ้มอย่างเขินอาย ไม่ต่างกับเจ้าบ่าวที่ก้มหน้างุด ไม่พูดจา
อาราเมท เมืองหลวงของอาณาจักรเก่าแก่ที่ล่มสลายไปนับพันปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพิเมนต้า บัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง และภูติผีปีศาจที่เพ่นพ่านไปทั่ว อาราเมทยังคงเป็นเขตอันตรายที่เหล่านักผจญภัยเข้าไปท้าทายบุกเบิก
" แล้วไปทำอะไรกันที่นั่นล่ะครับ อันตรายขนาดนั้น " เซราฟถามอย่างสงสัยระคนประหลาดใจ
" ไปทำภารกิจจ้ะ ไปหาของน่ะ แล้วอยู่ดีๆเค้าก็มาขอพี่แต่งงาน ท่ามกลางซากศพ และเหล่าปีศาจ ช่างโรแมนติกเหลือเกิน !" ประโยคหลังเซเรสพูดติดประชด
" ก็ตอนนั้นมันกำลังฮึกเหิม สู้ๆอยู่จะได้ไม่มีเวลามาเขินไง ก็เลยออกปากขอไปเลย " เอเรียลเจ้าบ่าวรีบแก้ตัว ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
" เอาเถอะๆ ยังไงตอนนี้ชั้นก็เป็นของคุณแล้วนะคะ ดูแลชั้นดีๆล่ะ " เซเรสก้มลงไปซบกับไหล่ของเอเรียล ยิ่งทำให้เจ้าบ่าวหน้าแดงหนักขึ้น
" ค ... ค ... ครับ " เจ้าบ่าวตอบด้วยเสียงกุกกัก
" เฮ้อ !" เซเรสถอนใจ " ยังจะเขินไม่เลิกอีก ตาบ้านี่ เอาเถอะยังไงพวกพี่ขอตัวนะจ๊ะ จะไปเตรียมตัวฮันนีมูนกัน "
" ไปที่ไหนครับ ?" เซราฟถามขึ้น
" ความลับจ้ะ " ทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกันทีเดียว
" เอ๊ะ ! นี่เพื่อนของเซราฟใช่มั้ย ?" เซเรสหันไปมองทางเคอิล ซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังเซราฟ ห่างออกไปเล็กน้อย
" ครับ ! เพื่อนผมเอง เค้ามาจากพิเมนต้าน่ะครับ " เซราฟแนะนำ
" สวัสดีครับ ผมชื่อเคอิลครับ " เคอิลแนะนำตัว
" สวัสดีจ่ะพ่อหนุ่ม พี่ชื่อเซเรสนะ เซเรส เฮอร์มิเทจ อา ... นามสกุลใหม่ยังไม่คุ้นเลย " เซเรสแนะนำตัวเองด้วยท่าทีเคอะเขิน คงเป็นเพราะนามสกุลใหม่ที่เธอเปลี่ยนตามเจ้าบ่าว " ถ้ามาจากพิเมนต้าก็ต้องเป็นนักเวทย์สินะ หน้าตาน่ารักเชียว ไหนๆก็อุตส่าห์มางานของพี่นะ เอ้านี่พี่ให้เธอนะเคอิล " เจ้าสาวโน้มกายลงไปหาเคอิล สองมือพลางถอดสร้อยในคอเธอออกมาผูกให้เขา มีจี้เป็นวัตถุโลหะคล้ายกุญแจแขวนอยู่ ติดตรงที่มันดูเก่าคร่ำคร่าโบราณ
" นี่เป็นเครื่องรางนะ เชื่อว่าจะนำโชคมาให้แก่ผู้ที่ครอบครองมัน พี่ได้มาจากตอนที่ไปอาราเมทนั่นแหละ แต่ตอนนี้พี่ไม่ต้องการแล้วล่ะ เพราะพี่มีเครื่องรางที่มีค่ามากกว่าอยู่แล้วนี่ " เซเรสพูดแล้วก็ยกมือซ้ายขึ้นมา จุมพิตที่นิ้วนางของเธอซึ่งมีแหวนทองคำขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาไร้รอยต่อวงงามสวมอยู่ แหวนแต่งงานนั่นเอง
" ขอบคุณมากครับ " เคอิลพูดขณะที่เซเรสผูกสร้อยที่คอของเขา
เสร็จแล้วเจ้าสาวก็ก้มลงหอมแก้มของเคอิล จนเอเรียลต้องกระแอมออกมา เคอิลเองก็ตกใจไม่น้อย
" จ้าๆ ! แหม ... อีกฝ่ายเป็นเด็กนะ ยังจะหวงอีก " เซเรสเดินเข้าไปหาเอเรียล แล้วทั้งคู่ก็เดินจูงมือกันออกไป " เห็นเด็กน่ารักเป็นไม่ได้เลยนะ " เสียงของเอเรียลแว่วมาไกลๆ
" พี่เซเรสสวยจังเลย ไม่เคยเห็นพี่เค้าอ่อนโยน ขนาดนี้มาก่อน " เซราฟยิ้มเปี่ยมสุข
" ทำไมเหรอ ? พี่เขาก็ดูออกจะอ่อนหวาน " เคอิลถาม ในมือเขายังกุมกุญแจโบราณที่คอไว้
" ปกติไม่ใช่อย่างนี้น่ะสิ ทั้งสองคนนั่นน่ะ เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรนะ แล้วอีกอย่าง พี่เซเรสน่ะ ขึ้นชื่อเลยล่ะเรื่องความเข้มงวดและอึดอดทนน่ะ เค้าเคยยืนสู้หมีป่านับสิบโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเลยนะ " เซราฟอธิบายอย่างตื่นเต้น
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ คือนักรบที่ขึ้นตรงต่อศาสนจักรเท่านั้น อัศวินศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ถูกฝึกปรือมาอย่างเข้มงวดและสามารถใช้เวทมนตร์ที่หวงห้าม ซึ่งอนุญาตให้ใช้เฉพาะกับนักบวชได้บ้างบางชนิด
" ทางพี่เอเรียลเองก็มนุษยสัมพันธ์ดีเกินคาด ไม่มีใครในแอมโบรเซียไม่รู้จักเค้าหรอก ทั้งสองคนนี้น่ะ บังเอิญเจอกันตอนที่ต้องมาฝึกพวกทหารฝึกหัดน่ะ เห็นว่าตอนแรกพี่เซเรสคิดว่าพี่เอเรียลเป็นพวกชีกอ เหลาะแหละซะอีก " เซราฟเล่าประวัติของคู่บ่าวสาว ทั้งสองเดินไปคุยไปจนมาหยุดอยู่หน้าร้านอาหาร กลิ่นหอมของอาหารทำให้ทั้งคู่นึกได้ว่ายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า