ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

Time To Say Goodbye

ถึงแม้จะมีเรื่องไม่สบายใจอย่างไร แต่ฝีมือการทำอาหารของเฟลิน่าก็ไม่ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เซราฟเคยทานอาหารฝีมือคนอื่นมา ก็เห็นจะมีท่านแม่ของเคอิลนี่ล่ะ ที่มีฝีมือการทำอาหารอร่อยสูสีเทียบเท่ากับท่านพี่ลูคาริม...นั่นสินะ นี่ก็ร่วมอาทิตย์นึงแล้วที่จากบ้านเกิดมา

รสชาติอาหารที่คุ้นเคยจากแม่ไม่เคยทำให้เบื่อเลยซักครั้ง แต่วันนี้เคอิลรู้สึกราวกับไม่สามารถรับรสอาหารใดๆได้เลย ราวกับรับประทานเข้าไปเพื่อหยุดเสียงเรียกร้องจากกระเพาะเขาเท่านั้น ในสมองของเคอิลมีแต่เรื่องครุ่นคิดถึงชาติกำเนิดและผู้เป็นบิดาของตน แต่น่าแปลกที่เคอิลไม่เคยคิดโกรธหรือน้อยใจมารดาของตนเลย เขาไม่เคยเห็นนางมีสีหน้าทุกข์ใจเท่าเมื่อเช้านี้มาก่อน นางต้องมีเหตุผลบางประการที่ทำให้ไม่สามารถเล่าความจริงออกมาได้

"ไม่เป็นไร! ข้าจะตามหาความจริงทั้งหมดด้วยตัวเอง" เคอิลประกาศกร้าวกับตนเองในใจ

"ผมอิ่มแล้วครับ! เดี๋ยวมานะครับแม่" เคอิลรวบช้อนส้อมลุกขึ้นจากโต๊ะ

"จะไปไหนน่ะลูก?" เฟลิน่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความเหนื่อยล้าอยู่จางๆ

"ไปหาท่านโฮร่าครับ จะไปปรึกษาท่านเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง" เคอิลบอกเหตุผลแล้วเดินออกจากห้องไป

"อออ้วย! (รอด้วย!)" เซราฟโพล่งขึ้นทั้งที่อาหารยังอยู่ในปาก "ฮิ่มแอ้วฮับ (อิ่มแล้วครับ)"

เซราฟลุกตามไปอย่างเร่งรีบ เหลือเพียงเฟลิน่าเท่านั้นที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ดวงตาสีฟ้าสุกสกาวเป็นประกายด้วยน้ำตา

ระหว่างทางที่กำลังเดินไปนั้นเซราฟได้แต่ครุ่นคิดถึงสภาพจิตใจของเคอิล ความรู้สึกของคนที่เป็นเด็กกำพร้านั้นเซราฟพอจะเข้าใจดี ถึงแม้ว่าแม่ของเซราฟนั้นจะเสียชีวิตขณะที่เซราฟยังจำความได้ และมีความรู้สึกดีๆมากมาย กระนั้นก็ยังรู้สึกโหยหาและคิดถึงมารดาของตนเสมอ แต่เคอิลนั้น ไม่มีแม้แต่ความทรงจำหรือข้อมูลของบิดาตนเองเลย แน่นอนที่จะต้องมีความพยายามที่จะค้นหาความหลังและชาติกำเนิดของตน

"ทำไมบันไดนี่ถึงได้ยาวนักนะ! เวลาปกติไม่เคยจะสังเกตว่ามันยาวขนาดนี้เลย" เคอิลบ่นอุบเพราะความรีบร้อน ขณะที่กำลังสาวเท้าก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดของหอคอย

ดูราวกับบันไดทอดสูงหมุนวนขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด ได้แต่วนไปมา สายตาของเคอิลก็จับจ้องไปตามขั้นบันไดตรงหน้า

"ท่านโฮร่าครับ!" เคอิลตะโกนเรียกสุดเสียงทันทีที่ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย

"อะไรกันฮึ? เอะอะโวยวายอะไรกัน?" ท่านโฮร่าหันมาถาม

"ผมจะออกตามหายิมิร์ ผมตัดสินใจแล้วครับ! จะมาขอคำปรึกษาจากท่าน และท่านซอนญ่าครับ" เคอิลพูดด้วยแววตาจริงจัง

"เสียใจด้วยที่ซอนญ่าได้กลับไปโลอาเมียเสียแล้ว หลังอาหารเช้าไม่นานนี้เอง ท่าทางรีบร้อนเชียวล่ะ ข้ายังสามารถจับกระแสความกังวลในจิตใจของนางได้ อ้อ! แล้วนางยังฝากจดหมายมาถึงเจ้าด้วยแน่ะ" ท่านโฮร่ายื่นม้วนกระดาษหนังแกะม้วนหนึ่งให้ เคอิลรับมาแล้วยื่นให้เซราฟถือไว้

"ผมจะออกตามหายิมิร์! เซราฟก็จะไปด้วย แต่ว่า... ผมไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี" เคอิลพูดอย่างลำบากใจ

"เรื่องนั้นข้าทราบแล้ว หากพวกเจ้าจะไปก็จงไปเถิด นั่นคือการตัดสินใจของเจ้าเอง ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นข้าก็บอกเจ้าไม่ได้" ท่านผู้อาวุโสเอ่ยกับหนุ่มน้อยผมดำด้วยเสียงอ่อนโยน "นั่นคือการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเดินทางที่จะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นนักเวทย์ที่เต็มตัว ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้สิ่งใดกลับมา แต่รางวัลแก่ผู้ที่พยายามย่อมมี... นั่นคือประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้ ทันทีที่เจ้าออกไปจากเมืองเจ้าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่พิเมนต้านี่อีก จนกว่า..." ท่านโฮร่าพูดพลางทอดสายตายาวไปยังนอกหน้าต่างเบื้องนอก ประโยคสุดท้ายถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เคอิลรอฟังอย่างใจจดจ่อ

"เอาล่ะ" ท่านโฮร่าตัดบทเหมือนจะพยายามไม่พูดถึงมันอีก "ไปเตรียมตัวเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็อยากที่จะเดินทางเต็มแก่แล้ว" ท่านผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วตบหลังเคอิลเบาๆ

ทั้งเคอิลและเซราฟต่างงุนงงกับประโยคของท่านโฮร่าที่เหมือนจะแฝงความหมายอะไรไว้ ทั้งสองเดินลงจากหอคอยกลับบ้านไป

"แม่เตรียมของของทั้งสองคนไว้ในห้องนอนแล้วนะ ถ้าจะออกเดินทางก็ทิ้งข้อความไว้ด้วยนะลูก แม่ไม่ขออยู่ลานะจ๊ะ แม่เหนื่อยมากแล้ว" เฟลิน่าพูดแล้วเดินเข้าห้อนนอนไปด้วยหน้าตาอ่อนเพลียทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าบ้านมา

"ทำไมทุกอย่างมันดูเหมือนจงใจให้ข้าออกเดินทางนักนะ? " เคอิลฉงนกับอาการของทุกๆคน

"จริงสิ! จดหมายของท่านซอนญ่า" เซราฟนึกถึงจดหมายหนังแกะที่เคอิลยื่นให้ตนได้ เขาคว้ามันออกมาจากผ้าคลุม คลี่ออกอ่านให้เคอิล

 

"เคอิล

ขอให้เจ้าจงอย่าใส่ใจกับความฝันที่เกิดขึ้น ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งก็ตาม ขอให้เจ้าจงเพิกเฉยเสีย ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะไม่ออกเดินทางตามหายิมิร์ สิ่งนี้จะนำความเดือดร้อนมาสู่เจ้า ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี เจ้าอาจจะเห็นสิ่งที่ข้าพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ข้าเองอยากจะให้เจ้ารับรู้ และถือว่าข้าได้เตือนแล้ว

ซอนญ่า แอทิลล์ ปราชญ์แห่งโลอาเมีย ตัวแทนพระองค์"

 

"นี่มันหมายความว่ายังไง?" เคอิลขมวดคิ้ว ดวงตาสีดำขลับขุ่นมัวด้วยความสงสัย "ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมแค่ยิมิร์อะไรนั่นทุกคนถึงปั่นป่วนกันไปหมด"

..................................................

และแล้วราตรีกาลก็คืบคลานเข้าปกคลุม ค่ำคืนนี้มีสิ่งต่างๆมากมายถาโถมเข้ามาสู่ความคิดของเคอิล ที่เห็นจะเด่นชัดที่สุดนั้น คือความรู้สึกผิดที่ตนกำลังจะทำลงไปกับมารดาของตน

"นี่เราต้องจากแม่ไปโดยไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วแม่จะรู้สึกอย่างไร?" เคอิลคิด "แต่ถ้าหากเราไม่ไป ก็จะไม่รู้อะไรเลย" เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในใจของเคอิล

"แต่ว่าท่านแม่..."

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เคอิลหันไปมองเซราฟซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเขียนจดหมาย เมื่อประตูแง้มเปิดเฟลิน่าก็เดินเข้ามาในห้อง และนั่งลงบนเตียงข้างกายของเคอิล นางยกมือลูบศีรษะและเส้นผมดำเงาของเขา

"แม่ครับ ผมขอโทษนะครับ แต่ว่าผม..." เคอิลพยายามข่มเสียงอันสั่นเครือของตนให้เหมือนปกติที่สุด แต่แววตาของเขาไม่สามารถโกหกได้

"แม่เข้าใจนะลูก แม่เลี้ยงลูกมาให้เป็นแบบนี้ เป็นคนกระตือรือร้น และใฝ่หาความจริง นั่นล่ะคือหนทางของผู้กล้า แม่จะบอกอะไรอีกอย่างนะ นิสัยของเจ้าเองก็ได้มาจากพ่อ" เฟลิน่าลูบสองแก้มของลูกชายสุดรักเบาๆ นางปาดน้ำตาของนางโดยแกล้งทำทีเป็นปัดปอยผมเล็กๆสีน้ำตาลแดงที่ตกลงมาปรกหน้า

"ขอบคุณครับแม่ที่เข้าใจผม" เคอิลเข้าโผกอดแม่ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เฟลิน่าเองก็เช่นกัน ดวงตาสีฟ้าที่เคยทอประกายความอบอุ่น ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดน้ำตา

ราวกับเวลารอบข้างจะหยุดลงอยู่เพียงเท่านี้ ทั้งสองโผกอดกันและเงียบอยู่นาน มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆของทั้งสองออกมาเท่านั้น ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใดๆแก่กัน ทว่าความรู้สึกอันลึกล้ำก็ได้พรั่งพรูผ่านอ้อมแขนที่โอบรัดซึ่งกันและกันไว้ เบื้องหลังของสองแม่ลูก เซราฟกำลังเอาแขนเสื้อปาดน้ำตาของตนจนเปียกเป็นดวงกว้าง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ทั้งสองจึงคลายวงแขนออกจากกัน

"นอนเสียเถอะลูก พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า เดี๋ยวจะไม่มีแรงไปซะก่อน" เฟลิน่าลุกขึ้นก่อนที่จะจุมพิตที่หน้าผากของเคอิลเบาๆ

"ครับ" เคอิลบิดกายลงไปนอนบนเตียง เฟลิน่าเลื่อนผ้าห่มมาคลุมกายลูกชายแล้วเดินออกจากห้องไป

ประตูห้องปิดลง นางยืนพิงมันไว้แล้วมองลอดหน้าต่างออกไป

"คุณคะ... เคอิลช่างเหมือนคุณจริงๆ... แต่ถึงอย่างไร... ปกป้องลูกของเราด้วยนะคะ" เฟลิน่าทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดด้านนอก

.......................................................

แสงดาวยังคงส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าสีเทาอมน้ำเงิน ยังคงเช้าเกินกว่าที่พระอาทิตย์จะเยี่ยมชมแผ่นฟ้า ผู้คนส่วนมากยังคงหลับใหลอยู่บนที่นอนอย่างสุขสบาย และอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มหนานุ่ม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าหอคอยกลางเมือง

"อีกไม่นาน คนของสมาคมนักเดินทางก็คงมา" ท่านโฮร่าเอ่ยอย่างร่าเริง ไม่มีอาการง่วงเลยแม้แต่น้อย

สมาคมนักเดินทาง ก็คือเหล่าผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนจักรมาก่อน แต่ลาออกมาเพื่อประกอบกิจในสังคมเหมือนคนทั่วไป ถึงแม้การใช้เวทย์สายนักบวชจะเป็นเรื่องต้องห้ามของคนธรรมดา แต่สมาคมนักเดินทางได้รับอนุญาตพิเศษให้ใช้ทักษะการวาร์ปได้เท่านั้น เพื่อการค้า และความสะดวกในการเดินทาง เหล่าสมาชิกของสมาคมนักเดินทางจะประจำอยู่ในทุกๆเมืองเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางทั้งหลาย แต่สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สมาคมมากที่สุดก็คือ "กล่องรับฝากสิ่งของ" ที่สามารถบรรจุสิ่งของได้นับไม่ถ้วน และสามารถถอนหรือฝากจากเมืองไหนก็ได้ที่มีพนักงานของสมาคมให้บริการอยู่ ความลับของ "กล่องรับฝากสิ่งของ" นั้นยังเป็นความลับอันน่าค้นหา แต่ก็มีเสียงร่ำลือกันว่าเกิดจากการผสานกันระหว่างวิทยาการอันล้ำสมัย และเวทย์เคลื่อนย้ายของนักบวช

"ว่าแต่ว่าพวกเราต้องไปไหนกันก่อนครับเนี่ย?" เคอิลถามขึ้นมา

"ไปแอมโบรเซียสิ! ที่นั่นมีห้องสมุดหลวง อาจจะได้อะไรไม่มากก็น้อยนะ แต่ต้องหลบๆท่านพี่ กับท่านพ่อ แล้วก็หลวงพ่ออาจารย์หน่อย เดี๋ยวเค้าจะว่าเอาว่าหนีภารกิจ" เซราฟพูดตอนท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่เบาลงราวกระซิบ

"อ้าว! แล้วที่เมื่อคืนเขียนจดหมายนี่ เขียนถึงใครล่ะ?" เคอิลถามเชิงจับผิด

"ก็เขียนส่งให้ครอบครัวนั่นแหละ แต่ไม่กล้าส่งเองหรอก เดี๋ยวฝากใครไปส่งให้" เซราฟอธิบายพัลวัน พลางโบกมือไปมาไหวๆ

ระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินอยู่นั้น พนักงานสาวของสมาคมก็ปรากฏกายขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตรงหลังของเซราฟนั่นเอง ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ผมสีทองประกายเสียทรงไปเล็กน้อย

"มีลูกค้าแต่เช้าเชียว" พนักงานสาวพูดกับตัวเองพลางขยับผ้าพันคอสีขาวสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนในสมาคมให้เข้าที่ ข้างหลังนางมีกล่องไม้ใบใหญ่ที่แกะสลักตบแต่งอย่างงดงาม มีป้ายโลหะทองเหลืองแกะสลักไว้ว่า "กล่องรับฝากสิ่งของ" ลงมาอีกบรรทัดก็มีอักษรตัวเล็กๆหากสังเกตให้ดีจะอ่านได้ว่า "ลิขสิทธิ์ของสมาคมนักเดินทาง ห้ามผู้ใดลอกเลียนแบบ"

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ สมาคมนักเดินทางยินดีต้อนรับ" พนักงานสาวผมสีดำประกายน้ำเงินยิ้มให้พร้อมขยิบตาข้างหนึ่งตามแบบฉบับของเธอ

"อรุณสวัสดิ์ครับ" เด็กหนุ่มทั้งสองกล่าวตอบรับอย่างมีมารยาท เฟลิน่าและท่านโฮร่ายิ้มให้นางแล้วก้มเล็กน้อยเชิงทักทาย

"ต้องการบริการอะไรคะ?" พนักงานสาวถามเสียงใส

"เดินทางครับ อยากจะเดินทางไปแอมโบรเซียสองคนครับ" เซราฟบอก

"ตกลงค่ะ สองคน ทั้งหมด ๒,๘๐๐ ชาร์ (Shar สกุลเงิน) ค่ะ" พนักงานสาวบอกราคาโดยแทบไม่ต้องคิด

ขณะที่เด็กทั้งสองกำลังคว้าถุงหนังใส่เงินอยู่นั้น ท่านโฮร่าก็ห้ามไว้ แล้วยื่นเงินให้พนักงานสาวแทน

"เก็บไว้ใช้เถอะ ถือซะว่าเป็นเลี้ยงส่งละกันนะ" ท่านผู้อาวุโสหันมายิ้มให้

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหม่นทางทิศตะวันออก อีกไม่นานแสงแรกของวันก็จะฉายอาบไปทั่วผืนฟ้า

"ไม่ลืมอะไรกันนะจ๊ะ?" เฟลิน่าถามเด็กๆอย่างเป็นห่วง

"ครับ ไม่ลืมฮะ เอามาหมดแล้ว ก็แม่จัดซะเรียบร้อยขนาดนั้น" เคอิลยกห่อสัมภาระขึ้นมาแกว่งตรงหน้า

"อย่าลืมนะลูก ดูแลตัวเองดีๆ อย่าตากแดดตากฝน แล้วก็อย่าตามคนไม่ดีไปนะจ๊ะ เซราฟก็ด้วยนะลูก" เฟลิน่าเตือนอย่างเป็นกังวล

"คร๊าบๆ! ทราบแล้วฮะ เสด็จแม่" เคอิลพูดประชดทำหน้าเบื่อหน่าย

"เอ้า! ไปกันเถอะ แดดส่องยอดหอคอยแล้ว ถือเป็นเวลาดี" ท่านโฮร่าพูดพร้อมผายมือทั้งสองข้างราวกับกำลังกล่าวสุนทรพจน์

"เดินทางดีๆนะลูก แม่เป็นห่วง ยังไงติดต่อมาบ้างนะ" เฟลิน่าพูดพลางเดินตรงเข้าไปหาเคอิล

นางโอบกอดลูกรักเป็นครั้งสุดท้าย กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวกับจะซึมซับความอบอุ่นของลูกไว้ให้ได้มากที่สุด แล้ววงแขนก็คลายออกช้าๆ สองมือยกขึ้นจับแก้มแล้วโน้มศีรษะของเคอิลลงมา พร้อมกับจุมพิตที่หน้าผากของเขา ดูเหมือนนางจะยังอาลัยอาวรณ์ในการจากกันครั้งนี้มาก

"ไปเถอะจ้ะ โชคดีนะลูก" ดวงตาสีฟ้าสดของนางคลอไปด้วยน้ำตา

เคอิลถอยออกมาก้มหน้าลง ผมสีดำเงาของเขาตกลงมาปรกหน้า เขาไม่อยากให้นางเห็นว่าน้ำตาของเขาก็กำลังจะไหล่เอ่อเหมือนกัน

เซราฟมองเฟลิน่าด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อย จนนางหันมามองเขา เซราฟจึงเดินเข้าไปหานาง

"เอ่อ... คือว่า... จะว่าอะไรมั้ยครับ... คือผมเองก็อยากที่จะ..." เซราฟพูดเสียงตะกุกตะกัก น้ำเสียงเขาดูสั่นๆและแกว่ง

"ได้จ้ะ มานี่สิลูก" นางดึงตัวเซราฟเข้ามากอดและโอบรัดแน่นขึ้น

เซราฟรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ความอบอุ่นคล้ายแม่ที่เขาห่างหายมาร่วมสิบปี เซราฟยกมือขึ้นกอดตอบ และรู้สึกไม่อายอีกต่อไปที่จะปล่อยให้น้ำตาและเสียงสะอื้นของเขาได้ถูกปลดปล่อยออกมา

นางกอดอยู่พักหนึ่งแล้วคลายอ้อมกอดออก และเช่นกัน นางจุมพิตหน้าผากของเซราฟราวกับเป็นลูกของนางคนหนึ่งทีเดียว แล้วจึงจัดผมสีทองประกายของเขาให้เข้าทรง

"พ่อเจ้าน้ำตา ดูสิ... มรกตเม็ดเล็กๆในตาเจ้าพลอยเปียกไปหมด" นางมองดูดวงตาสีเขียวสด พร้อมกันเช็ดแก้มของเขา

"ขอบคุณครับ ผมรู้สึกดีมากๆเลยฮะ ขอบคุณจริงๆครับ" เซราฟกล่าวขอบคุณและก้าวไปสมทบกับเคอิลที่ยืนอยู่ด้านหลัง

"ไปกันเถอะ ก่อนที่จะสายมากไปกว่านี้" ท่านโฮร่าพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเพื่อผ่อนคลาย

ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างแล้ว ยังมีทางทิศตะวันตกที่ยังคงมีดาวส่องแสงริบหรี่อยู่สองสามดวง ทั้งสองเดินตรงไปยังพนักงานสาวที่ยืนเอาผ้าพันคอซับน้ำตา

"เอาล่ะค่ะ ซิก.. ไปแอมโบรเซียนะคะ ซิกๆ.. " พนักงานทวนซ้ำแล้วปล่อยผ้าพันคอลง เห็นได้ว่า มุมข้างหนึ่งเป็นดวงเปียกแฉะ

ประตูวาร์ปได้ถูกเปิดออกและทั้งสองก็เดินหายไปในม่านแสงนั้น ผู้ปกครองทั้งสองคนเดินจากออกมาโดยมีท่านโฮร่าโอบเฟลิน่าเอาไว้เป็นเชิงปลอบขวัญ


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.