ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

Sacred Touch

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงสีทองพาดไปทั่วตัวเมืองพิเมนต้า ปลุกให้เซราฟตื่นขึ้นอย่างสดใส เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหอคอยต้องแสงอรุณเป็นประกายระยับสวยงาม เมื่อมองทอดสายตาไปยังยอดของหอคอย ผลึกสีม่วงที่ลอยรับแสงทองอยู่นั้น ส่องประกายวิบวับสลับสีม่วงและทองอย่างงดงาม

"ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ? อรุณสวัสดิ์! อาหารเช้าพร้อมแล้วนะ" เสียงอันสดใสราวกับนกขมิ้นในฤดูใบไม้ผลิลอยออกมาจากปากของหญิงนางหนึ่งที่เปิดประตูเข้ามา นางคือเฟลิน่าผู้เป็นมารดาของเคอิลนั่นเอง

"อรุณสวัสดิ์ครับ ขอบคุณมากนะฮะ จะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"

เซราฟรับคำขาน พลางพิศดูนางที่ไม่น่าเชื่อว่าอายุจวนจะย่างเข้าเลขสี่แล้ว หญิงที่เซราฟเห็นตรงหน้านั้น เป็นสตรีร่างเล็ก ผมสีน้ำตาลแดงเป็นลอนยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ใสดุจท้องฟ้ายามไร้เมฆ ใบหน้าของนางที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน ทำให้เซราฟไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่า นี่คือคนที่มีบุตรอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน แต่สิ่งที่เซราฟสัมผัสได้นั้นไม่ใช่ความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียว เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่างในตัวนาง พลังที่คนซึ่งคลุกคลีอยู่แต่กับมนตร์ขาวอย่างเขาคุ้นเคย เซราฟจับจ้องจนนางเดินออกไปและปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินลงไปรับประทานอาหารยังชั้นล่าง

ระหว่างรับประทานอาหาร ทั้งสามคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และซักไซ้เซราฟถึงความชอบส่วนตัว รสชาติอาหารที่ถูกปาก และงานอดิเรก ยิ่งเมื่อพอเซราฟบอกว่าสนใจในเวทมนตร์ด้วยแล้ว ทำให้เคอิลคะยั้นคะยอให้ไปดูการฝึกใช้เวทมนตร์รอบตัวเมือง ซึ่งตัวเซราฟเองก็ยินดีที่จะไปดูด้วย ตลอดมื้อเช้านั้นเซราฟสามารถรับสัมผัสถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมาจากตัวของ เฟลิน่าได้เสมอ จนมื้อเช้าจบลง และทั้งคู่ก็เดินทางออกไปทางเหนือ นอกกำแพงเมือง

ด้วยความที่พิเมนต้ามีลักษณะคล้ายเกาะ ประตูเมืองทั้งสี่ทิศจึงมีสะพานโลหะขนาดใหญ่สร้างพาดคร่อมแม่น้ำที่ล้อมรอบไว้ สภาพรอบเมืองเป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้าเขียวขจีสบายตา ผิดก็แต่ทางทิศเหนือซึ่งติดกับเชิงเทือกเขาอคาทรัสที่เป็นป่าทึบ

"แถวรอบเมืองนี่เหมาะที่จะเป็นที่ฝึกฝนการใช้เวทมนตร์เบื้องต้นอย่างดีเลยล่ะ แล้วข้าเองก็เพิ่งจะใช้สายเวทย์ขั้นต้นได้อย่างถนัดเมื่อไม่นานมานี่เอง" เคอิลแนะนำสถานที่แก่เซราฟ

ขณะนี้ทั้งคู่กำลังยืนอยู่กลางสะพานที่ประกอบและเชื่อมด้วยโลหะขนาดใหญ่ พาดคร่อมแม่น้ำอันกว้างขวางไว้ รอบตัวมีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านเต็มไปหมด แต่พวกมันก็ดูไม่อันตรายอะไร

" 'เวทย์ขั้นต้น'?" เซราฟถามด้วยความสงสัย

"เวทย์ขั้นต้นน่ะนะ" เคอิลเริ่มการบรรยายด้วยการเชิดจมูกขึ้นเล็กน้อยอย่างน่าหมั่นไส้ "นักเวทย์แต่ละคนก็จะมีธาตุที่ใช้ร่ายเวทย์แตกต่างกันออกไป แต่เวทย์ขั้นต้นที่ง่ายที่สุดก็คือการรวบรวมธาตุธรรมชาติที่มีอยู่รอบๆตัวเรา มาสร้างเป็นอาวุธบินขนาดเล็ก ส่วนจำนวนลูกนั้นก็ขึ้นอยู่กับสมาธิของแต่ละคนว่าจะสามารถร่ายได้กี่จบ" เคอิลกระแอมครั้งหนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ "อย่างข้าเองก็ใช้เวทย์สายไฟ เดี๋ยวจะสาธิตให้ดู"

"ไฟร์แลนซ์!!! (Fire Lance!!!)" ทันที่ที่สิ้นเสียง ก็เกิดลูกไฟขนาดย่อมๆลูกหนึ่ง พุ่งลงมาจากเหนือศีรษะของเคอิล กระแทกเข้ากับแมลงเต่าทองสีม่วงสดประดับด้วยจุดเหลืองสว่างแสบตาขนาดยักษ์ ถึงแก่ความตายโดยไม่ทันส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น

"น่าสงสารจะตาย ทำลงไปได้ยังไง" เซราฟต่อว่า รู้สึกไม่ดีกับภาพที่เห็นตรงหน้า ถึงแม้จะเป็นสัตว์ก็ตาม แต่นักบวชอย่างเซราฟย่อมเห็นความสำคัญของชีวิตทุกชีวิต

"ถ้าไม่ทำแล้วข้าจะเก่งขึ้นเหรอ? ถ้าไม่อยากดูก็เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนละกัน ข้าจะซุ่มซ้อมซักพัก" เคอิลวางท่าทีตั้งอกตั้งใจในการใช้เวทย์มาก

ตัวเซราฟเองจึงเดินทิ้งระยะห่างออกมาเพื่อพ้นจากภาพอันไม่น่าพิสมัยสำหรับคนที่เป็นนักบวชอย่างเขา แต่เซราฟก็ยังสังเกตการร่ายมนตร์ต่างๆของเคอิลไม่ห่าง เห็นได้ว่าเคอิลเองไม่มีไม้เท้าเลย แต่มักจะใช้มือข้างขวาที่สวมถุงมือในการโบกร่ายแทน ซ้ำยังสามารถร่ายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

"ร่ายเร็วมากเลยนะ เวทย์ขั้นต้นนี่ร่ายเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?" เซราฟเริ่มอยากรู้อยากเห็นบ้าง จึงตรงเข้าไปถามทันทีที่หนอนร่างอ้วนสีเขียวสดที่มีปุ่มปมเหมือนหนามเต็มตัว มอดไหม้จนเหลือแต่เพียงเขม่าดำๆบนพื้น

"ไม่หรอกนะ ถ้าทั่วๆไปก็ราวๆลูกละ ๑ - ๒ วินาที มีข้านี่แหละที่ร่ายได้เร็วกว่าคนอื่น ขนาดท่านโฮร่ายังออกปากชมข้าเลย แต่เสียอยู่อย่าง ข้าจดจำเวทย์ใหม่ได้ช้า เลยต้องมาซ้อมเป็นประจำ" เคอิลอธิบาย

ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นก็ได้มีกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาทางพวกเขา ในมือของเด็กคนหนึ่งในกลุ่มอุ้มตัวอะไรบางอย่างเอาไว้

"พี่เคอิลฮะ!!! ช่วยด้วย! คือว่ามัน..." เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดเสียงเครือ กลุ่มเด็กหน้าตามอมแมมกรูเข้ารายล้อมทั้งสองไว้

"อย่าให้มันตายนะคะ" เด็กผู้หญิงอีกคนพูดเสียงสั่นพลางปาดน้ำตา เด็กๆที่เหลือก็ร้องไห้ตามกันระงม

"เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟังซิ?" เคอิลปลอบเด็กเหล่านั้นพลางซักถาม

"คือว่า...ฮึก...พวกผมไปเล่นในป่าแถวเชิงเขามาครับ....ฮึก....ซิก.......ฮึก.... แต่เจ้าลิลลี่มันซนไปแหย่เม่นในป่าเข้า.....มันก็เลย...." เด็กหนุ่มอธิบาย แล้วร้องไห้หนักขึ้น ยิ่งทำให้คนอื่นร้องตามเสียงดังเซ็งแซ่ ตอนนี้สามารถมองเห็นได้แล้วว่า สิ่งที่เด็กอุ้มอยู่นั้นเป็นกระต่ายที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ

"เอาล่ะๆ ไหนดูซิ เอามาให้พี่ดูหน่อยนะ" เซราฟยื่นมือทั้งสองข้างออก พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน แล้วรับกระต่ายมาอุ้มในมือ เห็นว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากหนามของตัวเม่นตำบริเวณต้นขาและลำตัวด้านข้าง เจ้ากระต่ายน้อยตัวสั่นระริกเพราะพิษบาดแผล

ดวงตาสีเขียวสดของเซราฟหลับพริ้ม ฝ่ามือข้างหนึ่งวางไว้เหนือบาดแผล พางพึมพำในคอเบาๆ เกิดลมอุ่นๆพัดเบาๆรอบตัวกระต่ายและมีประกายแสงสีขาวระยับอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง บาดแผลต่างๆก็สมานปิดกันสนิท เหลือไว้เพียงรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามขนสีขาวราวหิมะเท่านั้น เซราฟลูบหัวกระต่ายเบาๆก่อนที่จะยื่นเจ้าลิลลี่กลับไปให้เหล่าเด็กที่ยืนมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ และประทับใจระคนกัน

"แล้วรีบเอากลับเข้าบ้านล่ะ เจ้าลิลลี่ยังต้องนอนพักอีกซักหน่อยถึงจะเป็นปกติ" เซราฟบอกกับเหล่าเด็กๆที่บัดนี้ดวงตาเป็นประกายด้วยความประทับใจ

"ขอบคุณครับ!" "ขอบคุณค่ะ!" สิ้นเสียง เหล่าเด็กๆก็กรูกันเข้ามืองไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

"ท่าทางจะรักเจ้าลิลลี่มากเลยนะ ดูสิ รีบวิ่งกลับบ้านกันใหญ่" เซราฟพูดพลางยิ้มอย่างเอ็นดู

"เมื่อกี้สุดยอดมากเลยนะ" ดวงตาสีนิลของเคอิลเบิกกว้างอย่างประทับใจ "ถ้าข้าอยู่คนเดียวข้าคงทำอะไรไม่ถูกจนกระต่ายตัวนั้นตายคามือข้าแน่ๆ อัศจรรย์จริงๆ เวทย์รักษานี่ข้าเพิ่งเห็นชัดๆก็คราวนี้แหละ" เคอิลแสดงสีหน้าประทับใจออกมาอย่างเด่นชัด

"อะไรกัน แม่เคอิลไม่เคยใช้ให้ดูเลยเหรอ?" เซราฟถามอย่างแปลกใจ

"แม่ข้าเนี่ยนะ!? แม่ข้ารู้จักเวทมนตร์ที่ไหนกัน?" ความประหลาดใจฉาบทับอยู่เต็มสีหน้าของเคอิล

"ไม่จริงหรอก ผมรู้สึกได้นะว่าแม่ของเคอิลมีสัมผัสของพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังของพระผู้เป็นเจ้า นางต้องเคยเป็นนักบวชมาก่อนแน่ๆ ผมมั่นใจ" เซราฟยืนกรานหนักแน่น ความรู้สึกอันแสนคุ้นเคยแบบนี้ เขาไม่มีทางจำพลาดเป็นอันขาด

"ไม่มีทางหรอก ข้ายังไม่เคยเห็นแม่ข้าใช้เวทมนตร์ซักครั้ง นางใช้ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ" เคอิลยังคงยืนยันหนักแน่น

"แต่ว่า..."

ไม่ทันที่เซราฟจะได้โต้เถียงอะไรต่อไป ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา แรงสะเทือนทำให้ภาพตรงหน้าสั่นไหว ถึงจะไม่รุนแรงนักแต่ก็น่ากลัวที่สามารถทำให้สะพานขนาดมหึมานี่สั่นคลอนได้

"หมอบลงเร็ว!" เคอิลตะโกนพร้อมกับกระชากเซราฟลงมานอนหมอบแนบพื้น

เด็กหนุ่มทั้งสองหมอบราบก้มหน้าซุกแขนของตนไว้ แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แต่ทั้งสองทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ แผ่นดินไหวแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่พวกเขาจำความได้ "ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ" พวกเขาคิด

"เอ้า! ลุกขึ้นเถอะ มันหยุดแล้วล่ะ" เคอิลลุกขึ้นเมื่อมั่นใจว่าแผ่นดินไหวรอบข้างสงบลงแล้ว เซราฟลุกตาม ทั้งคู่ปัดฝุ่นออกจากศีรษะและเสื้อผ้าของเขาเบาๆ

ทั้งสองรีบรุดเข้าตัวเมืองทันทีเพื่อตรวจดูความเสียหาย โชคยังดีที่ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นภายในตัวเมือง ขณะนี้ท่านโฮร่ากำลังรวบรวมชาวบ้านทุกคนมารวมอยู่ที่บริเวณหน้าหอคอยดูคล้ายกับมีเรื่องจะประกาศ

"มากันครบทุกคนแล้วสินะ ไม่ขาดใครใช่มั้ย?" ท่านผู้อาวุโสโฮร่าเอ่ยเสียงกึกก้อง เมื่อเห็นเคอิลและเซราฟเข้ามารวมกับกลุ่มคนในหมู่บ้านแล้ว

เบื้องหลังท่านโฮร่ามีผู้อาวุโสอีก ๔ ท่าน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านโฮร่ากำลังถกเถียงพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท่านโฮร่ายกมือให้ชาวบ้านคล้ายกับจะบอกว่า 'รอซักครู่' แล้วหันหลังกลับไปร่วมวงสนทนากับเหล่าผู้อาวุโส ทิ้งให้ชาวบ้านซึ่งแสดงสีหน้าเป็นกังวลเกิดเสียงซุบซิบแลกเปลี่ยนความเห็นกันซักพัก การประชุมกินเวลาไปเกือบ ๑๕ นาที ก็ได้มีนกพิราบขาวตัวหนึ่งบินตรงเข้ามายังกลางกลุ่มประชุมของผู้อาวุโส ที่ข้อเท้าของมันมีม้วนกระดาษเล็กๆผูกติดไว้ พิราบสื่อสารนั่นเอง หนึ่งในท่านผู้อาวุโสคลี่กระดาษออกอ่าน และเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง ชาวบ้านที่ยืนรออยู่จึงเริ่มคุยกันเสียงดังขึ้น จนกลุ่มประชุมเล็กๆนั้นยุติลง ท่านโฮร่าจึงหันกลับมาประกาศแก่ชาวบ้าน

"นับตั้งแต่ข้าเกิดมาร่วม ๑๑๓ ปี ยังไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาเลยซักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าจริงๆ" เสียงอันแสนอบอุ่นแต่ทรงพลังและกึกก้องถูกเปล่งออกมา "จากที่ประชุมกันแล้ว เมืองหลวงแจ้งให้ทราบว่าศูนย์กลางของแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตลอดแนวเทือกเขาอคาทรัส จึงทำให้เราและเมืองหลวงได้รับแรงสั่นสะเทือนสูงสุด ทั้งยังได้รับรายงานว่าหัวเมืองต่างๆ หรือแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านก็สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ โชคยังดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ" ท่านโฮร่าอธิบาย ตามด้วยเสียงถอนใจอย่างโล่งอกของชาวเมือง

"แต่!" ท่านโฮร่าเอ่ยอีกครั้ง ชาวเมืองต่างเงียบลงในทันทีเพื่อรอฟังอย่างตื่นเต้น

"เหล่าผู้อาวุโสผู้ปกครองหัวเมืองถูกเรียกให้เข้าเฝ้าฯเพื่อทำการประชุม ทั้งพระองค์ยังทรงเชิญเจ้าเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน และคาดว่ากษัตริย์แห่งโลอาเมียอาจจะส่งมหาปราชญ์มาร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย"

สิ้นเสียงประกาศก็เกิดเสียงฮือฮาของประชาชนดังระงมไปรอบบริเวณลานหน้าหอคอย

อาณาจักรโทเทีย อันเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน กินอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุดในทวีปมิดการ์ด มีเมืองแอมโบรเซียเป็นเมืองหลวง ตอนเหนือของอาณาจักรติดกับ อาณาจักรโลอาเมีย ดินแดนแห่งนักปราชญ์และนักเล่นแร่แปรธาตุ อาณาจักรที่ลึกลับและน่าเกรงขาม เมืองหลวงคือ โลอาเมีย

"ได้ยินมั้ย? อาณาจักรโลอาเมียจะส่งนักปราชญ์มาด้วยล่ะ! ข้าอยากเห็นเหลือเกิน น่าเสียดายที่การประชุมจัดขึ้นที่เมืองหลวง" เคอิลหันไปคุยกับเซราฟอย่างตื่นเต้น

เซราฟเองก็เสียดายไม่น้อย หากว่าตอนนี้เขายังอยู่ที่แอมโบรเซีย คงจะมีโอกาสได้พบกับมหาปราชญ์ซักครั้ง

เสียงเซ็งแซ่ของชาวบ้านดังขึ้นเรื่อยๆจนท่านโฮร่าต้องยกมือขึ้นปรามจึงสงบลง

"การประชุมจะมีในวันรุ่งขึ้น และจบลงในเช้าวันถัดไป ข้าจะรีบกลับมาก่อนเที่ยงตรง ระยะเวลา ๑ วันกว่าๆที่ข้าไม่อยู่นี้ ขออย่าให้เกิดเรื่องใดๆที่ทำให้ข้าไม่สบายใจในภายหลัง" ท่านโฮร่ากล่าวเสียงเครียด แล้วหันหลังเดินหายเข้าไปในหอคอย ตามด้วยผู้อาวุโสที่เหลืออีก ๔ คน

ชาวบ้านต่างพากันแยกย้ายกลับสู่บ้านของตน มีเสียงคุยกันบ้างเป็นระยะถึงเรื่องแผ่นดินไหว มหาปราชญ์ และความวิตกกังวลที่ปรากฎในสีหน้าของท่านโฮร่าซึ่งยิ้มแย้มเสมอ

"ท่านโฮร่ามีบทบาทต่อหมู่บ้านเหลือเกิน แล้วท่านผู้อาวุโสท่านอื่นๆล่ะ ทำไมถึงไม่ออกมาชี้แนะอะไรบ้างเลย" เซราฟถามด้วยความที่สังเกตมาตั้งแต่เริ่มประชุม

"เจ้ารู้รึเปล่า? ว่]ปฐมธาตุของทุกสิ่งคือ ดิน น้ำ ลม และไฟ" เคอิลเริ่มขึงขัง เหมือนกับอาจารย์ที่กำลังอภิปราย "แต่การที่ปฐมธาตุจะรวมตัวกันเกิดเป็นสิ่งต่างๆได้นั้นต้องอาศัยจิตวิญญาณ เหล่าผู้อาวุโสทั้ง ๕ ก็เช่นกัน ท่านทั้งหมดคือเสาหลักอันเป็นตัวแทนของปฐมธาตุเหล่านั้น ซึ่งได้รับเลือกขึ้นมาจากพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นชะตาลิขิต และท่านโฮร่าเองก็เป็น เสาหลักแห่งจิตวิญญาณ(The core of Spirit) ซึ่งเป็นปฐมธาตุที่สำคัญที่สุดของธาตุทั้ง ๕ และมีบทบาทต่อจิตใจของมนุษย์มากที่สุด เพราะฉะนั้นท่านโฮร่าจึงมีบทบาทหน้าที่และภาระต่อชาวบ้านมากที่สุดในหมู่ผู้อาวุโส"

เคอิลอธิบายอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เซราฟแทบจะไม่สังเกตเห็นการเว้นจังหวะหายใจจากเขาเลย

"แล้วทำไมไม่ตั้งให้ท่านโฮร่าเป็นหัวหน้าแต่เพียงผู้เดียวไปเลยล่ะ?" เซราฟยิ่งสงสัยหนักขึ้น เจตนาของเขาไม่ใช่เพื่อยียวนคู่สนทนา

"หากมีเพียงจิตแต่ไร้รูปร่าง หรือมีรูปร่างแต่ไร้จิต ก็ไม่ใช่ชีวิต เจ้าคงเข้าใจนะ"

เคอิลพูดสั้นๆ แต่ก็ทำให้ เซราฟเข้าใจทุกอย่างดีขึ้นมาก ทุกๆสิ่งในโลกย่อมมีหน้าที่เฉพาะของมัน ซึ่งเซราฟก็เชื่อเช่นนั้น ทุกอย่างย่อมมีการถ้อยทีถ้อยอาศัย

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.