แสงแดดยามเช้าช่างสวยงาม มันสาดส่องทักทายทุกสิ่งบนพื้นโลกอย่างละมุนละไม ความอบอุ่นจางๆจากแสงทองปลุกคนทั้งสามให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอันแสนสุข
"อา... เช้าแล้วเหรอ? เร็วจังเลย" เอมิเลียลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เนื้อตัวเธอลั่นกร๊อบแกร๊บ
"อรุณสวัสดิ์ครับ!" ทั้งสองคนกล่าวทักทายอย่างสดชื่น
"ไปกินอาหารเช้ากันเถอะ พี่หิวจัง สงสัยเมื่อวานหนักไปหน่อย" เอมิเลียพูดอย่างร่าเริง
ดูเธอชินกับการต่อสู้กับเหล่าภูตผีปีศาจมามาก เหมือนว่านั่นคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอที่ขาดไม่ได้
ทั้งสามคนเดินลงไปยังห้องอาหาร แทบไม่น่าเชื่อว่าสภาพห้องอาหารกลับมาสู่ปกติได้เพียงชั่วข้ามคืน เหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย แต่เคอิลก็สังเกตเห็นว่า พนักงานชายรอบตัวมีสีหน้าอิดโรยและดวงตาหมองคล้ำราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน ในมื้ออาหาร ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จนมื้อเช้าจบลงด้วยของหวาน เค้กมิกซ์เบอร์รี่ ที่เจ้าของโรงแรมจัดให้เป็นการพิเศษแก่เขาทั้งสาม
"น่าเสียดายนะครับที่เมื่อวาน เราจัดการปีศาจตนนั้นไม่ได้" เคอิลถามขึ้นหลังจากที่ตักเค้กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
"แต่มันคงจะออกมาอาละวาดไม่ได้ไปพักใหญ่ๆทีเดียว" เอมิเลียทำหน้าขึงขัง สภาพของปีศาจสาวเมื่อคืนก็ยับเยินอย่างที่เธอว่า
หลังจากจบมื้อเช้าอันอิ่มหนำแล้ว เจ้าของโรงแรมได้เดินมาหาพวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บอกว่าสามารถเข้าพักนานเท่าไหร่ก็ได้ และสามารถเข้าพักได้ทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ถือเป็นคำขอบคุณที่ช่วยขับไล่ปีศาจร้ายออกไปจากโรงแรมของเขา หลังจากเขากล่าวจบก็เดินจากไป พร้อมชี้นิ้วสั่งงานแก่พนักงานด้วยสีหน้ากินเลือดกินเนื้อตามเดิม
"เห็นทีพี่ต้องกลับไปที่โบสถ์แล้วล่ะ ถึงเวลาแล้ว" เอมิเลียเตรียมตัวจะกล่าวลา "ไหนจะชุดที่พังยับเยินอย่างนี้อีก แทบจะหมดงบเบิกแล้วนะเนี่ย"
"เอ่อ... แต่ว่าพวกผม..." เซราฟขัดขึ้น เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้เอมิเลียฟังแค่ว่ากำลังตามหาพ่อของเคอิลเท่านั้น เด็กน้อยตัดสินใจไม่เล่าเรื่องความฝันของเคอิลให้เธอฟัง
"อืม... ถ้าอย่างนั้น ลองไปที่หมู่บ้านโยเรดูสิ ถามหานักพรตชื่อซองจีนะ เธอคนนั้นอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง" เอมิเลียแนะนำ
"หา! ชื่ออะไรนะครับ?" ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกัน
"ซองจีจ้ะ ซอง-จี เป็นภาษาโยเรน่ะ" เอมิเลียพูดสีหน้าตลกในความแปลกใจของเด็กทั้งสอง
"ไปแล้วนะจ้ะ ลาก่อนนะ" เอมิเลียยกมือลา ขยับกระเป๋าของเธอให้กระชับขึ้น
"เดี๋ยวครับ! พี่อย่าบอกใครที่โบสถ์นะว่าเจอผม พี่ก็รู้ว่าจริงๆแล้วผมอยู่ในภารกิจ" เซราฟตะโกนบอก
"รู้แล้วจ้า!!! งานแรกก็หนีเที่ยวเลยนะ พี่มองเธอผิดไปจริงๆ พ่อเด็กดื้อ! ไปแล้วนะ ไม่ต้องห่วงหรอก" เอมิเลียตะโกนทั้งๆที่ยังหันหลังเดินไป
"โชคดีนะคร๊าบพี่!!!" เซราฟตะโกนส่งเธออีกครั้ง
เขาทั้งสองยืนส่งเอมิเลียจนเธอลับตาไป
"เอ่อ... แล้ว... เราจะไปกันยังไงล่ะ? ข้าไม่รู้ทางหรอกนะ" เคอิลเกาศีรษะแกรก
"อ่า... ผมก็..." เซราฟไม่กล้าสบตา เขาเองก็ไม่รู้ทางเช่นกัน
"อืม... ข้าว่าคนของสมาคมนักเดินทางต้องมีวาร์ปไปที่โยเร แน่ๆ" เคอิลพูด
"งั้นเราไปถามกันดู" เซราฟเดินนำด้วยท่าทีร่าเริง
ทั้งสองเดินเข้าไปยังตลาดที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ผู้คนต่างส่งเสียงจอแจ แผ่นดินไหวที่ผ่านมาแทบไม่สามารถทำให้การค้าของที่นี่เงียบเหงาไปเลย สินข้านานาชนิดเท่าที่จะนึกได้ถูกวางขายเกลื่อนกลาด เสียงต่อรองราคา และเสียงเร่ขายของพ่อค้าแม่ขายดังเซ็งแซ่
"ชั้นเดินทางจากโลอาเมียมาที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆนะยะ! มาเจอของแพงขนาดนี้ไม่ไหวหรอก แล้วนี่ชั้นก็มีบัตร 'ผู้มีอำนาจเชิงพาณิชย์' ระดับสิบเชียวนะ! เพราะฉะนั้น จาก ๘,๕๐๐ ชาร์มันก็จะเหลือแค่ ๖,๔๖๐ ชาร์ขาดตัว!!! หรือว่าจะให้ชั้นต่ออีก?" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัวของเคอิลหันเหความสนใจของเด็กทั้งสอง
หญิงเจ้าของเสียงนางนั้นมีผมสีม่วงเข้มมวยเป็นปมขดอยู่หลังศีรษะ สวมชุดเกาะอกสีเทาเข้มยาวเหนือเข่า บนบ่ามีผ้าคลุมที่ปกคอทำมาจากขนสัตว์ดูหนานุ่ม ชายผ้ายาวเพียงสะโพก ที่เอวของเธอมีขวดเล็กๆมากมายห้อยพะรุงพะรังสีสันหลากหลาย กำลังชูบัตรอะไรบางอย่างแกว่งอยู่หน้าแม่ค้าที่ทำหน้าบูดบึ้งใส่เธอ ข้างหลังของหญิงสาวมีรถเข็นที่บรรจุขวดกลมใสใส่ของเหลวสีแดงอยู่จนพูนรถเข็น
"ว่ายังไง? เร็วๆสิ จะขายมั้ย? นี่หาลูกค้าที่ซื้อทีละมากๆอย่างนี้ไม่ได้ง่ายๆนะยะ!" เธอเร่งแม่ค้าที่กำลังมีสีหน้าครุ่นคิด
"นี่ไงอัลเคมิสต์ ( Alchemist - นักเล่นแร่แปรธาตุ) จากโลอาเมียเชียวนะ แต่คนนี้เคี่ยวเหลือเกิน" เคอิลกระซิบให้เซราฟ
นักสารยเวท หรืออัลเคมิสต์ นักเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นที่เลื่องลือ มีความสามารถในเรื่องสมุนไพร การแปลงธาตุ หรือแม้กระทั่งการสร้างชีวิตเทียม กลุ่มของนักสารยเวทอาศัยอยู่ที่โลอาเมียเป็นหลัก เป็นชนชั้นรอง ซึ่งคอยรับคำสั่งจากนักปราชญ์แห่งโลอาเมีย มีจำนวนไม่น้อยที่หลบหนีออกจากโลอาเมียเพราะไม่ต้องการเป็นเบี้ยล่างของนักปราชญ์
เซราฟพยายามชะเง้อมองเขย่งตัวยืนด้วยปลายเท้า จนเสียหลักล้มไปทางอัลเคมิสต์สาว ระหว่างที่ตัวเซราฟกำลังลอยคว้างจวนเจียนจะล้ม มือของเซราฟก็พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะ จนคว้าได้เอวของนักสารยเวทหญิงคนนั้น นางอุทานด้วยความตกใจ ในเวลาเดียวกับที่เซราฟทรงตัวยืนขึ้นมาได้
"อะไรกันยะ? ถ้าจะมาขอทานล่ะก็ ชั้นไม่มีนะ" นางตวาด พร้อมๆกับหันกลับมา
"อ้าว! นักบวชหรอกเหรอเนี่ย? มาทำอะไรเพ่นพ่านที่นี่ ไม่เข้าโบสถ์?" เธอตวัดเสียงสูง ถามเซราฟ ทำเอานักบวชน้อยสะดุ้ง
เคอิลสังเกตเห็นว่ามีขวดแก้วใบหนึ่งที่เอวของเธอ กำลังห้องร่องแร่งจะหลุดลงจากเอวลงมา คงจะมาจากแรงที่เซราฟคว้าเอวเธอเมื่อซักครู่
"เอ่อ... คุณครับ!" เคอิลชี้นิ้วไปที่เอวของนักสารยเวทสาว
สายไปเสียแล้ว ขวดแก้วที่มีสารสีม่วงอ่อนบรรจุอยู่ หลุดจากเอวเธอหล่นกระทบพื้น แตกกระจาย
"ว้าย!!!" เธอยกขาหนีเมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งที่หล่นจากเอวเธอกระทบพื้น
สิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่เพียงเศษแก้วและของเหลวประหลาดเท่านั้น แต่ทว่า ของเหลวเหล่านั้นดูข้นเป็นวุ้น และเหมือนกำลังรวมตัวกัน
"ตายล่ะสิ!" เธออุทานขึ้น
ไม่ทันขาดคำ วุ้นเหลวเหล่านั้นเกาะกลุ่มรวมตัวกันลอยขึ้นกลางอากาศเป็นวุ้นกลมสีม่วงใสขนาดใหญ่พอๆกับผลฟักทอง ที่ใจกลางเป็นก้อนขยุกขยุยเหมือนมันสมองสีม่วงขยับตุบๆอยู่ตรงกลาง
"กรี๊ด!!! ไบโอติก เบิร์สท์! (Biotic Burst)" แม่ค้าคนหนึ่งกรีดเสียงร้องขึ้นมา
ตอนนี้สภาพตลาดดูวุ่นวายพอๆกับเกิดแผ่นดินไหว บรรดาผู้คนรอบข้างต่างวิ่งกระจัดกระจาย พ่อค้าแม่ค้าพยายามเก็บของของตนเข้าสู่รถเข็น เหล่าลูกค้าประชาชนก็ต่างวิ่งหนีกระจิดกระเจิง ขณะนี้ภายในวุ้นกลมที่ลอยเคว้งอยู่นั้น เต้นเร็วขึ้น และเรืองแสงอ่อนๆ
ก้อนวุ้นเพียงก้อนเดียว สามารถทำให้ตลาดอันครึกครื้นแตกตื่นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แน่นอน! ถ้าหากวุ้นก้อนนั้นออกมาจากนักสารยเวท "ไบโอติก เบิร์สท์" คือระเบิดชีวภาพที่พัฒนาโดยนักสารยเวท จุดหมายก็เพื่อการป้องกันตัว หรือเป็นอาวุธ อานุภาพในการระเบิดของมันขึ้นอยู่กับขนาด เพียงเท่าเม็ดอัลมอนด์ก็สามารถทำให้แขนหรือขาของผู้ที่สัมผัส ขาดกระเด็นได้ไม่ยาก แต่ที่ปรากฎอยู่กลางตลาดมีขนาดใหญ่พอๆกับผลฟักทอง แทบไม่อยากจะนึกถึงพลังทำลายล้างของมันที่เดียว
"มันจะระเบิดแล้ว!!!" พ่อค้าคนหนึ่งหันมาตะโกนใส่ทั้งที่มือกำลังคว้าสิ่งของใส่รถเข็นอย่างเร่งรีบ
โดยไร้คำพูดใดๆ นักสารยเวทสาวผมสีม่วงคนนั้นคว้ารถเข็นของเธอที่บรรจุขวดของเหลวสีแดงขึ้น และคว่ำมันจนขวดแก้วตกพื้นแตกกระจัดกระจาย เธอเหวี่ยงรถเข็นครอบเจ้าก้อนวุ้นนั้นจนมิดพร้อมกับล้มลงนั่งทับรถเข็นไว้ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ก็เกิดเสียงระเบิดอู้อี้ขึ้นภายในรถเข็น แรงดันจากการระเบิดในนั้น ดันออกมาจนรถเข็นโป่งพอง บุบบู้บี้ จนไม่สามารถจำสภาพเดิมของมันได้
ทุกคนหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด และเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติดแล้ว บรรดาแม่ค้าพ่อขายก็เปิดแผงขายของต่อไป มีเสียงก่นด่าด้วยความไม่พอใจกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งด้วยความงุนงงอยู่ตรงหน้าของนักเล่นแร่แปรธาตุสาวที่นั่งไขว่ห้างทับรถเข็นบู้บี้ไว้ เธอมองมาทางพวกเขาพลางกระดิกปลายเท้าด้วงท่าทีอันแสนจะยวนยี
เด็กทั้งสองและ อัลเคมิสต์สาวยืนจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ๆ
"จะยืนอย่างนี้อีกนานมะ?" เธอเริ่มถาม น้ำเสียงมีแววเคืองขุ่น ดวงตาคมกริบสีม่วงจับจ้องทั้งคู่อยู่ใต้คิ้วขมวดมุ่น
"เอ่อ... ขอโทษครับ..." เซราฟเอ่ยขึ้น นักบวชหนุ่มนึกไม่ถึงว่าอุบัติเหตุเล็กๆจะนำความโกลาหลมาได้มากถึงเพียงนี้
เธอลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าขึ้งโกรธกว่าเมื่อซักครู่เสียอีก
"แค่ขอโทษเนี่ยนะ! พวกเธอทำตลาดแตก ทำสินค้าชั้นเสียหาย รถเข็นชั้นพัง แล้วจะมาขอโทษแค่นี้เนี่ยนะยะ!" เสียงเธอตวัดสูงลิบจนหน้าแดงก่ำ ตลาดเงียบลงทันที ทั้งสามคนเป็นเป้าสายตาของคนในตลาดไปเสียแล้ว
"แต่ว่า..." เคอิลพยายามเกลี้ยกล่อม "พวกผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แล้วอีกอย่าง... ใครจะไปคิด ว่าจะมีคนพกของอันตรายขนาดนี้เข้ามาในเมือง"
เธอดูสงบลงเล็กน้อย มีแม่ค้าพ่อค้าบางคนพยักหน้าเห็นด้วยกับที่เคอิลพูด
"ถึงยังไง ของของชั้นก็เสียหาย ถ้างั้นพวกเธอมีเงินไหมล่ะ? ชั้นจะเรียกร้องค่าเสียหาย" เธอพูดสีหน้าเรียบเฉย สายตาของเธอแทบจะไม่มองมาทางเด็กทั้งสองด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันที่เขาทั้งสองคนจะได้พูดอะไร เธอก็เริ่มเอ่ยต่อ
"อย่างแรกเลยนะ ชั้นจะไม่คิดค่าขวดไบโอติก เบิร์สท์ที่แตกไป เพราะถือว่าชั้นผิดเองที่เอามันติดตัวเข้าเมือง" สายตาเธอลอยสูงเหมือนกำลังคิดคำนวณอยู่
"งั้นก็มีค่าขวดบรรจุยาที่แตกไป ทั้งหมด ๑๕๐ ขวด ชั้นคิดราคาตลาด ขวดละ ๕๐ ชาร์ละกันนะ รวม ๗,๕๐๐ ชาร์ ค่ารถเข็นที่เสียหายไป ๑๕๐ ชาร์ ค่าเสียเวลาของชั้นอีก ๒,๓๕๐ ชาร์ รวมแล้วก็ ๑๐,๐๐๐ ชาร์พอดี" เธอพูดแทบไม่หายใจ คิดคำนวณออกมาอย่างรวดเร็ว
"จ่ายมา!" นักสารยเวทกางมือพร้อมกับกระดิกปลายนิ้ว
"แต่ว่าพวกผม..." เซราฟเริ่มเสียงสั่น เงินจำนวนมากขนาดนั้น ถ้าเขาจ่ายออกก็ก็ไม่ต่างกับหมดตัว
"หรือว่าจะให้ชั้นเรียกทหารมา?" เธอถาม น้ำเสียงและสีหน้ามีชัย
และแล้วเด็กทั้งสองก็รวมเงินเพื่อจ่ายค่าเสียหายไปโดยดุษฎี คงจะเป็นการดีกว่าถ้าไม่ต้องมีเรื่องถึงหูไปถึงทางการ เคอิลรวมเงินกับเซราฟใส่ถุงหนังแล้วยื่นให้เธอไป เธอคว้าไว้ทันที แล้วใช้ฝ่ามือเขย่าถุงหนังเป็นเชิงกะน้ำหนักชั่งราคา
"ไม่น่าจะขาดนะ แต่ถ้าเกินก็ช่วยไม่ได้" เธอพูดสีหน้าเย็นชา ดวงตาสีม่วงจับจ้องอยู่ที่ถุงหนัง
"หมดเรื่องแล้วนี่ จะไปไหนก็ไปซะสิ หรืออยากจะล้างตลาดอีกหา?" เธอตวัดเสียงอีกครั้งเป็นการประชด แล้วหันกลับไปทางแม่ค้าที่เธอเคยต่อราคาไว้แต่คราวแรก "เอ้า! ๖,๔๖๐ เซนีเมื่อกี้น่ะ จะขายมั้ย?" เธอต่อราคาต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กทั้งสองไม่ยืนอยู่เพื่อรองรับอารมณ์อีกต่อไป พวกเขาหันหลังกลับไปเดินตรงไปทางซุ้มประตูเมืองทิศใต้ เคอิลมีท่าทางหัวเสียอย่างหนัก
"เชอะ! ไม่น่าจะขาดนะ แต่ถ้าเกินก็ช่วยไม่ได้!" เคอิลตวัดเสียงเลียนแบบ อัลเคมิสต์สาวคนนั้นเป็นการระบายอารมณ์ "แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ? เงินก็มีไม่พอค่าวาร์ปแน่ๆ เซราฟนะเซราฟ ทีหลังระวังหน่อยสิ" เขาพูดกับเซราฟอย่างหงุดหงิด
"ก็... ก็มัน..." เสียงสั่นๆออกมาจากปากของนักบวชน้อย
เคอิลหันไปเห็นน้ำตาเม็ดโตกำลังกลั่นออกมาจากดวงตาสีเขียวสวยสดของเซราฟ
"ร้องไห้อีกแล้ว" เคอิลคิด เขาหยุดเดิน
"เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร เรื่องมันแล้วไปแล้ว" เคอิลยกมือขึ้นมาลูบผมสีทองของเซราฟเป็นการปลอบใจ
"จะไม่มีครั้งที่สองแน่นอน ผมสัญญา" เซราฟปาดน้ำตา พูดอย่างมุ่งมั่น
เด็กทั้งสองคนเดินไปยังหน้าประตูกำแพงเมือง หยุดลงตรงหน้าของพนักงานสาวจากสมาคมนักเดินทาง
"สวัสดีค่ะ สมาคมนักเดินทางยินดีต้อนรับค่ะ จะใช้บริการอะไรดีคะ?" เธอถามเสียงสดใส ใบหน้ายิ้มแย้มตามหน้าที่
"เอ่อ... ผมอยากไปที่หมู่บ้านโยเรน่ะครับ" เคอิลเอ่ยขึ้น
"โยเรสองท่าน ราคา..." พนักงานสาวกำลังจะเอ่ยราคา
"ผมแค่มาถามทางน่ะครับ พวกเราไม่มีเงินหรอก" เซราฟขัดขึ้นอย่างอายๆ
พนักงานสาวมีสีหน้าแปลกใจ สบตากับเด็กน้อยทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกล่าวต่อไป
"จริงๆแล้วทางเราไม่มีบริการบอกทางหรอกนะ แต่ก็เอาเถอะ เอาล่ะฟังให้ดีๆนะ จะพูดแค่ครั้งเดียว พวกเธอต้องลงใต้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอทะเลทรายนะ แล้วทางทิศตะวันออกจะติดแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจะเป็นป่า เธอจะต้องข้ามแม่น้ำไปแล้วเดินไปทางทิศตะวันออกซักพักก็จะถึงเมืองโยเรแล้วหล่ะจ๊ะ แต่ว่ามันอาจจะเสียเวลาอยู่ซักหน่อยนะ ต้องใช้เวลาซัก 2-3 วันเชียวล่ะ ถ้าเดินเท้าไป" เธออธิบายอย่างละเอียดให้ทั้งสองฟัง
"ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริงๆ พี่สาวใจดีจังเลย" เซราฟเอ่ยของคุณอย่างใจจริง
"จ้า! ไม่เป็นไรหรอก รีบไปเถอะ เดี่ยวจะเสียเวลา" เธอเร่งรัด แล้วก็หันไปทางลูกค้าคนอื่นๆต่อไป "สวัสดีค่ะ สมาคมนักเดินทางยินดีต้อนรับค่ะ ...."
เด็กทั้งสองเดินผ่านซุ้มประตูทิศใต้ของเมืองแอมโบรเซียออกมา ข้างหน้าของพวกเขานั้นเป็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา บริเวณกำแพงเมืองนั้นเอง ก็มีเหล่าผู้มาชุมนุมกันตรงหน้าประตูเมือง ทั้งมานั่งพักผ่อนบ้าง มาพูดคุยกัน ดูครึกครื้นไม่น้อย
"เราต้องเดินทางลงใต้" เคอิลพูดย้ำกับตัวเอง
"พ่อหนูน้อยจะไปไหนเหรอ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเด็กหนุ่มทั้งสอง เสียงที่ใสดังระฆังแก้ว นักบวชหนุ่มหน้าสวย ลอเรียต กำลังยืนอยู่เบื้องหลังของเขา เส้นผมสีทองเป็นลอยยาวสวยเปล่งประกายราวแสงตะวัน ดวงหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน
"พวกเราจะไปพายอนครับ" เคอิลตอบตะกุกตะกัก นักเวทย์หนุ่มได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวอยู่ในอก
นักบวชรูปงามไม่พูดอะไร แต่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบหินสีน้ำเงินสวยสดขึ้นมา พร้อมกับร่ายบทสวดเปิดประตูวาร์ปขึ้นทันที เคอิลและเซราฟแปลกใจ
"เอ้า! ไปสิ ยืนอยู่ทำไมล่ะ นี่ไง ไปโยเรไม่ใช่เหรอ?" ลอเรียตเอ่ย
ด้วยความประหลาดใจระคนตกใจทำให้ทั้งสองกระโดดเข้าลำแสงไปโดยไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณ