"มนุษย์เทียม?" เซราฟ และเคอิลอุทานแทบจะพร้อมกันด้วยความสงสัย
"ใช่! หรือที่เรียกว่าโฮมุนคิวลัส" เทซซ่าพูด แต่สายตาของเธอก็ยังไม่ละจากสมุดบนตัก
"อธิบายให้ละเอียดกว่านี้เถอะ เด็กๆยังไม่เข้าใจกันเลย" ซองจีเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กทั้งสอง
เทซซ่าเงยหน้าขึ้นจากสมุด พ่นลมหายใจออกมาทางจมูกเบาๆ
"โฮมุนคิวลัส หรือมนุษย์เทียม คือศาสตร์หนึ่งในการเล่นแร่แปรธาตุที่สรรค์สร้างชีวิตเทียมขึ้นมาให้ใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด ฉันเองก็พูดอะไรมากไม่ได้หรอกนะถึงวิธีการสร้าง เพราะมันเป็นศาสตร์โบราณอันต้องห้าม และชั้นเองก็พยายามที่จะลองสร้างขึ้นด้วยตนเองดูซักครั้ง" เทซซ่าอธิบายอย่างรวบรัด
"แล้วมันต่างจากโกเลมตรงไหนล่ะครับ?" เคอิลขัดขี้น
"โกเลม? คืออะไรเหรอครับ?" นักบวชตัวน้อยถามด้วยความงุนงง เขาตามการสนทนาอันแปลกประหลาดนี้ไม่ทัน
"ถ้างั้นชั้นไปชงชามาก่อนดีกว่า" ซองจีขอตัวก่อนที่จะเดินออกจากวงสนทนาไป
เทซซ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกลับตวัดตารอบเพดานอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น "โกเลม (Golem) น่ะ ก็คือการสร้างข้ารับใช้โดยผงคลีดิน ด้วยการปั้นให้เป็นรูปร่างคล้ายคนพร้อมกับลงอักษรอาคมเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ โกเลมมีจิตใจ(Mind) นึกคิดและตัดสินใจได้เอง แต่ไร้วิญญาณ(Nonsoul) ต่างจากมนุษย์เทียมคือมีเพียงร่างกาย(Body) ไร้ซึ่งจิตใจ และวิญญาณ เหมือนเป็นถังเปล่าๆที่มีไว้บรรจุวิญญาณและจิตใจ"
"เอ่อ... ขอโทษนะครับ" เซราฟขัดขึ้นอีกครั้ง คิ้วขมวดมุ่นด้วยความงุนงง "ช่วยอธิบายเรื่อง วิญญาณ กับจิตใจอะไรนั่นทีครับ ผมไม่เข้าใจ"
"สมแล้วที่เป็นแค่นักบวชฝึกหัด" เทซซ่าเหน็บก่อนที่จะสาธยายต่อ "สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปจะประกอบด้วยสามสิ่ง คือ ร่างกาย (Body) จิตใจ (Mind or Spirit) และวิญญาณ (Soul) โดยจิตใจจะเป็นบุคคลิกของสิ่งนั้นๆ เป็นตัวตัดสินใจ หรือแสดงลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ แต่การที่จิตจะดำรงอยู่ได้นั้นต้องอาศัยพลังงานจากวิญญาณ และจิตใจจะแสดงออกหรือตอบสนองความต้องการได้โดยผ่านทางร่างกายเท่านั้น แต่ทำไมโกลเลมถึงสามารถมีจิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีวิญญาณน่ะรึ?" เทซซ่าเลิกคิ้ว ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ "เพราะว่ามีพลังเวทมนตร์ที่มาจากอักขระอาคมคอยให้พลังงานแทนวิญญาณอยู่น่ะสิ"
"ว่าแต่พวกเธอเถอะ มาที่นี่กันทำไม? คงไม่ใช่อยากจะมาปราบผีหรอกนะ?" เทซซ่าเป็นฝ่ายถามบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายตอบอยู่เสียนาน
"พวกเราออกมาตามหาร่องรอยของยิมิร์ครับ" เคอิลพูดขึ้น
สมุดเล่มหนาหนักตกจากมือของเทซซ่าทันที เธอมองเด็กสองคนอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
"พวกเธอ.... รู้เรื่องของยิมิร์จากไหน?" เทซซ่าถามเสียงสั่น เหมือนพยายามข่มความตื่นเต้นไว้
"จากความฝันครับ" นักเวทย์ตัวน้อยตอบเสียงเรียบ
"ทำหน้าเหมือนคุณซอนญ่าตอนได้ยินชื่อยิมิร์เลยนะครับ" เซราฟพูดกับเคอิล
ประโยคที่ออกมาจากปากของเซราฟยิ่งทำให้เทซซ่ามีสีหน้าที่ตกตะลึงยิ่งขึ้นกว่าเก่า
"นี่พวกเธอรู้จักซอนญ่าด้วยรึ?" สารยเวทสาวถามเสียงดัง เธอเริ่มเก็บอาการไว้ไม่ได้
"ถ้าหมายถึงมหาปราชญ์แห่งโลอาเมียแล้วล่ะก็นะครับ" เคอิลบอกเธอ ยังคงสงสัยในอาการราวเสียสติที่เกิดขึ้นกับสารยเวทสาว
"แล้วนางบอกอะไรบ้าง? นางพูดถึงยิมิร์ว่าอย่างไรบ้าง?" เทซซ่าถามราวกับเสียสติ น้ำเสียงคาดคั้น
"เธอไม่ได้พูดอะไรเลยครับ หลังจากที่เราไปปรึกษากับเธอ วันรุ่งขึ้นเธอก็กลับโลอาเมียไปโดยไม่ร่ำลา" เคอิลอธิบายต่อไป พยายามทำให้น้ำเสียงเย็บยาบ เพื่อระงับอารมณ์ของคู่สนทนา
"ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณเทซซ่า เราเองจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่ใจเย็นๆกว่านี้หน่อย" เซราฟพยายามทำให้เธอสงบลง
เคอิลเริ่มเล่าความฝันของเขาอย่างละเอียด จนไปถึงการที่พวกเขาไปปรึกษาท่านโฮร่าและซอนญ่าเพื่อออกตามหายิมิร์ แต่เขาข้ามเรื่องที่ชายตาบอดลึกลับเข้ามาพูดเรื่องบิดาของเขาไป เป็นการดีกว่าที่จะไม่เอาเรื่องนี้เที่ยวพูดให้ใครต่อใครฟัง เทซซ่าฟังอย่างใจจดจ่อ เธอคว้าสมุดที่ตกอยู่ขึ้นมากางบนตักอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นจดบันทึกข้อความลงไปอีก เคอิลเล่าทุกอย่างจนจบ เทซซ่าถอนหายใจด้วยความอิ่มใจ
"แล้วทำไมต้องมีทีท่าตกอกตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ?" เซราฟเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าเทซซ่าเย็นลงมากแล้ว
"ก็เพราะว่า..." เทซซ่าพูดพลางเหน็บปอยผมสีม่วงเข้ากับหลังใบหู
"ถึงแม้ว่าโลอาเมียจะเป็นเมืองแห่งนักปราชญ์และนักเล่นแร่แปรธาตุก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองกลุ่มจะปรองดองกันดีหรอกนะ อย่างที่รู้กันดีว่าตอนนี้โลอาเมียถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งนักปราชญ์ไปเสียแล้ว พวกเราชาวสารยเวทก็เหมือนแค่ผู้อาศัยเท่านั้น" เทซซ่าพูดเสียงเนือยๆ
"แต่ว่า รู้มั้ยว่าทำไมโลอาเมียถึงไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของแอมโบรเซีย?" เทซซ่าถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
เด็กทั้งสองนิ่งเงียบ
"ทำไมล่ะ? ทั้งที่มีแต่เพียงนักเวทย์นักปราชญ์ และนักเล่นแร่แปรธาตุ ที่ล้วนแต่เป็นหนอนหนังสือเท่านั้น ทำไมถึงไม่เป็นเมืองขึ้นต่อแอมโบรเซีย ที่เต็มไปด้วยนักรบกองทหาร" เทซซ่ายังคงกระซิบอยู่ แต่น้ำเสียงของเธอเข้มขึ้นเรื่อยๆ เธอโน้มร่างเข้าหาทั้งสองช้า
"เพราะว่ากษัตริย์แห่งโลอาเมียได้ปกครองสมบัติอันล้ำค่า สิ่งวิเศษที่นำมาซึ่งอำนาจ ของหายากที่มีเพียงหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวเท่านั้น" เทซซ่าพูดเสียงดังขึ้น จนไม่เป็นการกระซิบ
"มันคืออะไรเหรอครับ?" เคอิลขมวดคิ้วอย่างใคร่รู้
"ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอกนะ แต่ว่าข่าวลือที่น่าเชื่อที่สุดว่ากันว่า สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายในปราสาทแห่งโลอาเมียนั้นคือ หัวใจแห่งยิมิร์ (Heart of Ymir) ซึ่งเป็นขุมอำนาจซึ่งบันดาลบารมีและคุ้มเมืองโลอาเมียไว้ ชั้นล่ะอยากได้มันมาเหลือเกิน มันคงจะไขความกระจ่างเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์เทียม หรือแม้กระทั่งการสร้างทอง หรือยาอายุวัฒนะแน่ๆ" เทซซ่าพูดอย่างกระหาย
"แต่ว่าท่านซอนญ่าไม่เห็นจะพูด..." เซราฟขัดขึ้น
"ก็เพราะซอนญ่าเป็นมหาปราชญ์ในวังหลวงน่ะสิ เรื่องภายในนางต้องรู้แน่ๆ ไม่งั้นนางคงไม่รีบกลับไปทันทีที่ได้ยินเรื่องจากปากของเธอหรอก แล้วไหนจะจดหมายข้อความประหลาดๆที่เธอเขียนอีกล่ะ" เทซซ่าพูดด้วยแววตามุ่งมั่นกับเด็กน้อยทั้งคู่
"แล้วพวกเราจะไปที่โลอาเมียกันได้อย่างไรล่ะครับ" เคอิลถาม
"ทางเดียวคือเดินเท้า เพราะมีแต่บริการวาร์ปออกจากเมืองเท่านั้น ไม่มีที่ไหนที่มีบริการวาร์ปไปยังโลอาเมียได้เลย" เทซซ่าถอนหายใจ
"แต่ว่า ผมเคยได้ยินมาว่าระหว่างทางมัน..." เคอิลมีน้ำเสียงไม่แน่ใจ
"ไม่ราบรื่นเสียเลยจ่ะ" เทซซ่าต่อประโยคให้ ริมฝีปากเธอยกขึ้น เหมือนจะยิ้มเยาะๆ ปล่อยให้ซองจีที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชาในมือได้แต่งงงวย
.............................................................
แผ่นปัง กับเหล้าองุ่นถูกแจกจ่ายไปยังผู้เข้ามาร่วมพิธีมิสซาในเช้านี้ นักบวชผู้ประกอบพิธีนั้นคือลูคาริมนักบวชหนุ่มรูปงามผมสีเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลคมกริบ เขาดำเนินพิธีกรรมไปอย่างเงียบขรึมเป็นทางการ เสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่ใช้ในการประกอบพิธีก็บรรเลงได้อย่างไพเราะ เหล่าคณะประสานเสียงที่ฝึกซ้อมกันมาอย่างดี ทั้งยังมีเสียงเสียงหนึ่งซึ่งเด่นชัดไพเราะสะดุดหู แต่อ่อนละมุนราวกับเสียงสวรรค์นั้นออกมาจากริมฝีปากของนักบวชชายที่รูปสวยเสียยิ่งกว่าสตรี ลอเรียตหนุ่มหน้าสวย ผมสีเหลืองทองเป็นลอนยาวยืนอยู่กลางคณะประสานเสียง ขับร้องอย่างงดงามตามท่วงทำนองอันศักดิ์สิทธิ์
หลังเสร็จพิธี เหล่าศาสนิกชนต่างทยอยเดินออกจาโบสถ์ไปอย่างสงบ ขณะที่ลูคาริมกำลังเดินลงจากปะรำพิธี ลอเรียตก็วิ่งเข้ามาหา
"ลูคาริม!!! รอเดี๋ยว!" ลอเรียตตะโกนเรียก เส้นผมสีทองประกายของเขาโบกไหวไปตามฝีเท้า
"อะไรกันอีก เบาๆหน่อย นี่โบสถ์นะ" ลูคาริมหันควับ ส่งสายตาคมกริบปรามไว้
"ขอโทษที ใช้เสียงจนเคยน่ะ อ้อ! นี่จดหมายจากเซราฟฝากมาให้" ลอเรียตยื่นซองจดหมายสีขาวแก่ลูคาริม เขารับมันไว้ทันที
"จากเซราฟงั้นเหรอ? ได้มาจากไหน? ไปเจอพวกเขาได้ยังไง?" ลูคาริมยิงคำถามทันที แต่ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย
"เอ่อ... คือเจอที่พิเมนต้าไง ก็ข้าผ่านไปแถวนั้นพอดี" ลอเรียตพูดตามที่ได้ตกลงกันไว้กับเซราฟ
"ขอบใจมากนะ" ลูคาริมกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะของลอเรียต ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มน้อยๆฉาบอยู่
ลอเรียตหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขจนกระทั่งฝ่ามือของลูคาลิมพ้นศีรษะเขาไป จึงกล่าวลา พร้อมกับวิ่งออกไปทางประตูโบสถ์ เส้นผมสีเหลืองทองพลิ้วกระเพื่อมตามแรงวิ่ง
"บอกกี่ครั้งแล้วนะ ว่าอย่าวิ่งในโบสถ์" ลูคาริมบ่นพึมพำ คร้านที่จะตะโกนไล่หลังไป
เขาหันหลังกลับไป เดินเข้าไปทางหลังโบสถ์ตรงสู่ห้องทำงาน ภายในห้องเล็กๆนั้นมีเพียงโต๊ะทำงานที่ประกอบจากไม้สีน้ำตาลเข้มขัดเป็นมันเงางาม หลังโต๊ะมีตู้หนังสือตั้งตระหง่าน ภายในมีหนังสือปกหนังเล่มหนาวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ นักบวชหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ไม้บุกำมะหยี่สีน้ำเงิน พนักพิงแกะสลักไว้อย่างสวยงาม เขาแกะครั่งที่ผนึกซองไว้ หยิบจดหมายที่บรรจุอยู่ข้างใน กางออกอ่าน
พี่ลูคาริมที่รักยิ่ง
ระหว่างที่พี่กำลังอ่านจดหมายของผมอยู่นั้น ผมคงกำลังเดินทางอยู่ที่ไหนซักแห่ง เพราะขณะที่เขียนอยู่ ผมกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อเคอิลซึ่งเป็นนักเวทย์ กำลังตัดสินใจจะออกเดินทางกันครับ ผมต้องขอโทษพี่จริงๆที่ละทิ้งหน้าที่ภารกิจไป แต่เพราะผมต้องการจะค้นหาความจริง เพราะว่าเคอิลได้ฝันถึงยักษ์ที่ชื่อยิมิร์ ซึ่งเป็นผู้ที่เทพโอดินตามความเชื่อของพวกเขาฆ่าเพื่อนำร่างกายมาสร้างเป็นโลกแห่งนี้ พี่ครับ... แล้วที่ว่าพระเจ้าสร้างโลกในเจ็ดวันล่ะครับ ผมไม่ทราบแล้วว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ผมจึงต้องออกเดินทางไปด้วยเพื่อพิสูจน์ หวังว่าพี่คงจะไม่บอกคุณพ่อนะครับ แล้วผมจะพยายามเขียนจดหมายมาอีกนะครับ
ป.ล. เคอิลเป็นคนดีครับ พี่ไม่ต้องห่วง ลาพิซที่พี่ให้ผมยังเก็บไว้อย่างดีเลยครับ
รักและเคารพ
เซราฟ มารีอา เดอ กาลิเซีย
ลูคาริมถอนหายใจเฮือกใหญ่ วางจดหมายลงบนโต๊ะ สายตามองทอดไปยังนอกหน้าต่าง
"เซราฟที่ขี้กลัวขนาดนั้น กล้าออกเดินทางได้นี่ พี่ต้องมองเธอใหม่ซะแล้ว" ลูคาริมคิด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะสั้นๆ โดยไม่รอการตอบรับจากเจ้าของห้อง ประตูถูกเปิดออก แขกที่เข้ามาคือบาทหลวงชราท่านหนึ่ง เส้นผมเป็นสีขาวทั้งศีรษะ เดินก้าวเข้ามายังโต๊ะทำงานของนักบวชหนุ่ม ลูคาริมลุกขึ้นทันที เขาก้าวออกมาคุกเข่าลง พร้อมกับประทับริมฝีปากไปยังหลังมือขวาของบาทหลวง แล้วลุกขึ้น
"ท่านสังฆราช พระองค์เสด็จมาด้วยกิจอันใด?" ลูคาริมพูดอย่างเป็นทางการ
"พูดกับเราอย่างปกติเถิด ที่นี่ไม่ใช่ท้องพระโรง หรือโบสถ์อะไร" สังฆราชาพูดขึ้นอย่างอารี
ทั้งสองพูดคุยกันถึงกิจการศาสนาอยู่ซักพัก จนสังฆราชาสังเกตเห็นจดหมายบนโต๊ะ พระองค์คว้าขึ้นมาอ่านทันที
"จดหมายจากเหล่าผู้ศรัทธารึ?" องค์สังฆราชาพูดขึ้นก่อนที่จะลดสายตาลงไปอ่าน
หัวใจของลูคาริมหล่นวูบลงไปที่ปลายเท้า จดหมายนั่น! จดหมายของเซราฟ!
"สายไปเสียแล้ว" ลูคาริมคิด ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดที่วางจดหมายของเซราฟทิ้งไว้บนโต๊ะได้นะ
"นี่มันอะไรกัน!!!" สังฆราชาอุทาน พยายามข่มน้ำเสียงให้ใจเย็นอย่างที่สุด
"เอ่อ... คือว่า พระองค์ ได้โปรด..." ลูคาริมพยายามแก้ต่าง แต่คงจะไม่เป็นผล ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงจนมันเหมือนกับจะพุ่งออกมาทางปาก
"ให้เด็กคนนี้ออกเดินทางกับนักเวทย์งั้นรึ! ถ้าเกิดหมดศรัทธา แล้วไปเข้าฝ่ายนอกรีตจะทำอย่างไร? นี่คือความหวังของศาสนจักรเชียวนะ เด็กคนนี้อาจจะได้ก้าวขึ้นเป็นสังฆราชาองค์ต่อไป แล้วนี่..." พระสังฆราชกำจดหมายไว้แน่น ท่อนแขนทั้งลำสั่นด้วยแรงเกร็ง
"ข้าจะต้องนำเด็กนี่กลับมาให้เร็วที่สุด!!!" พระองค์พูดพร้อมกับสาวเท้าออกไปจากห้อง กระแทกประตูดังสนั่น
"ยกโทษให้พี่เถอะ ศิษย์น้องที่รัก พี่น่าจะเก็บไว้อ่านทีหลัง" ลูคาริมรำพึง สีหน้าทุกข์ใจฉาบทั่วใบหน้าอันคมคายของเขา