ภายในห้องประชุมอันงดงามตระการตา ณ ปราสาทของเมืองแอมโบรเซีย ตลอดโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตร มีเหล่าผู้ร่วมประชุมนั่งเรียงรายบนเก้าอี้ไม้บุกำมะหยี่สีแดงสวยสด
"วันนี้ฝ่าพระบาทมิสามารถทรงมาร่วมเป็นองค์ประชุมในสภาเฉพาะกิจครั้งนี้ได้ ข้า สังฆราชา ทาเลส ปีเตอร์ เดอ กาลิเซีย จะมารับหน้าที่แทนในการประชุมครั้งนี้" หลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ สวมชุดคลุมสีขาวสะอาดลุกขึ้นเอ่ยต่อหน้าสมาชิกในที่ประชุมทุกคน สมาชิกต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพ
"เป็นที่น่ายินดีที่ทางประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความร่วมมือในการส่งผู้นำมาร่วมในการประชุมครั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ปกติวิสัย จึงต้องเชิญทุกท่านเพื่อมาร่วมถกถึงต้นเหตุแห่งความผิดปกตินี้" สังฆราชทาเลสกล่าวเปิดพิธีพลางผายมือเพื่อให้ทุกท่านนั่งลง
การประชุมดำเนินไปอย่างเรียบง่ายโดยที่สมาชิกแต่ละคนออกมากล่าวถึงความรุนแรงของแผ่นดินไหวในแต่ละเมือง แต่เมื่อดำเนินมาถึงหัวข้อการคาดการณ์ถึงสาเหตุของแผ่นดินไหว กลับเกิดการโต้เถียงกันหนักขึ้น
"ต้องเป็นฝีมือภูตผีซาตานเป็นแน่!" นักบวชรูปหนึ่งในที่ประชุมเริ่มออกความคิดเห็น
"ข้าว่าไม่ใช่! มันน่าจะเกิดจากการที่ผู้คนกระทำผิดบาปจนพระเจ้าทรงพระพิโรธ วันพิพากษามาถึงแล้ว! หายนะมาถึงแล้ว!" นักบวชอีกรูปที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรูปแรกลุกขึ้นกล่าวด้วยท่าทีหวาดผวา
"เทพเจ้าแห่งภูผากำลังพิโรธ" เจ้าต่างเมืองวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าแปลกตา เอ่ยด้วยสำเนียงแปร่งปร่า "เพราะเหมืองของพวกท่านที่ทำการล่วงล้ำขุดเจาะพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์มากกว่า"
"ไม่มีทาง! พื้นดินทั้งหมดพระองค์ทรงประทานมาให้เรา พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตแล้ว" นักบวชที่ออกความเห็นคนแรกค้าน "แล้วเทพเจ้าแห่งภูเขาอะไรนั่นจะไปมีได้อย่างไร? พระเจ้ามีเพียงสูงสุด และหนึ่งเดียว"
"ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง" สาวผมสีเขียวมะกอกลุกขึ้นเอ่ยเสียงเรียบ
"ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมประชุมนั้น สภาสูงแห่งโลอาเมียได้รวบรวมความคิดจากปราชญ์ทั้งหมดในสภาแล้ว ความคิดรวบยอดออกมาว่าน่าจะเกิดจากจิตวิญญาณโบราญอันทรงพลัง" นางเอ่ยขึ้นพลางขยับแว่นตาขนาดเล็กที่ปลายจมูกให้เข้าที่ "แต่ทางโลอาเมียจะขอจัดการเรื่องนี้เอง ขอให้พวกท่านทั้งหมดวางเฉยเสีย แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย"
"เชอะ! ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่รึ" นักบวชคนที่มีทีท่าหวาดกลัวหันกลับมาเหน็บ "ข้าว่าเพราะเมืองของพวกเจ้ามากกว่า โดยเฉพาะพวกนักเล่นแร่อะไรนั่น" นักบวชเค้นเสียงอย่างดูหมิ่น "ชีวิตเทียมเรอะ! ฮึ! เพราะอย่างนี้พระองค์ถึงพิโรธในการที่พวกเจ้าริพยายามมีอำนาจทัดเทียมพระองค์" นักบวชรูปนั้นเอ่ยราวกับเสียสติ
"ไม่เกินไปหน่อยรึ?! ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแขกบ้านแขกเมือง คนของพวกเจ้าจะครอบงำผู้คนทั้งแผ่นดินไม่ได้หรอก ศรัทธาต้องมาจากความรักไม่ใช่การบังคับฝืนใจ" ปราชญ์สาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยาบ แต่แฝงด้วยความโกรธอันคมกริบราวกับคำที่นางพูดจะเป็นมีดพุ่งออกมาทิ่มแทงนักบวชรูปนั้นให้ดับดิ้น
"แล้วพวกเจ้าทำอะไรล่ะ? นอกจากหมกอยู่แต่กับหนังสือ แล้วก็พวกดอกไม้กินคน สัตว์ประหลาด ปรุงยาบ้าบออะไรนั่น!" นักบวชรูปเดิมสวนขึ้นทันทีที่ปราชญ์สาวพูดจบ บรรยากาศในห้องประชุมคุกรุ่นไปด้วยความขัดแย้ง
"ข้าว่าการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อครุ่นคิดหาสาเหตุของแผ่นดินไหวมิใช่รึ? นี่เรากำลังถึงบทไหนของการประชุมกันนี่?" ท่านโฮร่าลุกขึ้นเอ่ยอย่างติดตลกในน้ำเสียง
"ท่านเองก็ไม่น้อยหรอก พวกบูชาธรรมชาติ เทพเทวีอะไรนั่น" นักบวชรูปนั้นเอ่ยเบาๆราวกระซิบแต่ก็ได้ยินกันทั่วพลางตวัดหางตามาที่ท่านโฮร่าอย่างดูแคลน
"พอได้แล้วปาสคาล! อย่าหยาบคายกับแขกสิ" สังฆราชาเอ่ยปรามแบบขอไปที เมื่อเห็นว่า ปราชญ์สาวมุมปากเริ่มกระตุกเพราะความโกรธ เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าคนของศาสนจักรไม่พอใจกับพวกนักเวทย์และนักปราชญ์อยู่แล้ว ด้วยเพราะความขัดแย้งทางความเชื่อ การโต้แย้งและคำดูหมิ่นจึงเป็นเหมือนเรื่องปกติ
"มีแต่พวกนอกรีต" ปาสคาลเอ่ยเบาๆเหมือบจงใจขณะที่กำลังโค้งขอขมาปราชญ์สาวและท่านโฮร่า ก่อนที่จะทรุดกายลงนั่ง
"ไหนเจ้าลองพูดอีกทีดังๆต่อหน้าข้าสิ ถ้าเจ้ากล้าพอ!!!" ปราชญ์สาวสติขาดผึง นางยื่นมือขวาออกตรงหน้ากางเหยียดนิ้วเรียวงาม เกิดประกายแสงสีทองจางๆหมุนคว้างในฝ่ามือของนาง ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างอย่างเดือดดาล
ก่อนที่สงครามขนาดย่อมกำลังจะปะทุ ณ กลางห้องประชุม แผ่นดินไหวก็เข้ามาตัดบทไปเสียก่อน เบนความสนใจของคู่กรณีให้ออกจากสงครามขัดแย้งเล็กๆนี้ได้
เมื่อแผ่นดินไหวจบลง สังฆราชทาเลสจึงลุกขึ้นกล่าวปิดการประชุม เพราะเห็นว่าครั้งนี้ถึงจะประชุมต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น สมาชิกการประชุมก็ต่างแยกย้ายกันออกไป นักปราชญ์สาวเดินตรงเข้ามาหาท่านโฮร่าด้วยสีหน้าบึ้งตึงหงิกงอ
"ยังอารมณ์ร้อนเหมือนเคยนะซอนญ่า " ท่านโฮร่าหันมาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ขอโทษค่ะที่หุนหันพลันแล่นไปหน่อย ถ้าเค้าลงที่หนูก็ไม่โกรธหรอก แต่นี่ปรามาสมาถึงอาจารย์" ซอนญ่ากล่าวขอโทษท่านโฮร่า ที่แท้ทั้งสองเคยเป็นศิษย์ - อาจารย์กันมาก่อน
"เรียกข้าว่า โฮร่า ก็ได้ ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นอาจารย์เจ้าแล้ว ไม่เจอกันนานนะ ท่าทางจะเก่งกาจขึ้นนี่ เป็นถึงตัวแทนพระองค์แห่งโลอาเมียเลยนี่นา" ท่านโฮร่ากล่าวชมเชย
"เพราะหนูได้อาจารย์ดีหรอกค่ะ แล้วนี่อาจา.. เอ่อ ท่านโฮร่าจะกลับเลยเหรอคะ?" ซอนญ่าเปลี่ยนสรรพนามเมื่อท่านโฮร่าหันมาขมวดคิ้วหงอกขาวใส่เธอ แต่เธอก็รู้ว่านี่เป็นเพียงการหยอกเล่นเท่านั้น
"คงจะพักซักคืน ให้เดินทางไปๆมาๆทีเดียวมันเหนื่อยนะ ข้าเองก็ไม่หนุ่มฟ้อเหมือนแต่ก่อนแล้ว คงจะไปพักที่โรงแรมในเมืองนี่ล่ะ"
"เอ... พรุ่งนี้งั้นเหรอ.... ถ้าหนูแวะไปซักครู่จะเป็นไรมั้ยนะ? หนูอยากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนหน่อยน่ะคะ คิดถึงจังไม่ได้ไปนานมากแล้ว" ซอนย่าเอ่ยขึ้นดวงตาสีน้ำเงินเหม่อลอยรำลึกความหลัง
"ไปสิ คนที่นั่นก็คงคิดถึงเด็กสาวผมสีมะกอกแสนซนเช่นกันล่ะ" ท่านโฮร่าเอ่ยพลางฉีกยิ้มกว้างยกมือลูบหัวซอนญ่าเบาๆ ก่อนที่จะพากันเดินตัดตัวเมืองเข้าโรงแรมที่พัก
.......................................
แสงแดดยามเช้าสาดกระทบรูปปั้นบนยอดน้ำพุกลางเมืองแอมโบรเซียเป็นสีทองประกายระยิบระยับ ผู้คนเริ่มเดินไปมากันขวักไขว่ แต่ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นคนต่างวัยสองคนที่กำลังเดินตัดถนนกลางเมืองลงมาทางทิศใต้ เส้นผมสีเขียวมะกอกที่พริ้วไปตามลมโชยอ่อนๆดูเด่นสะดุดตาอยู่ท่ามกลางฝูงชน
"คุณป้าร้านขายขนมปังจะจำหนูได้มั้ยนะ?" ซอนญ่าถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
"ได้สิ เมื่อวันก่อนยังคุยกับข้าเรื่องสมัยที่เจ้ายังชอบขโมยขนมปังอบใหม่ๆในถาดพักเป็นประจำ กับแกอยู่เลย" ท่านโฮร่าหยอก ความทรงจำของแกยังดีเลิศเสมอ
"แหม! ก็มันหอมน่าทานออกอย่างนั้นนี่คะ อีกอย่าง ทานตอนร้อนๆอร่อยกว่านะคะ" ซอนญ่าแก้ตัวอย่างเขินๆ
ทั้งสองเดินไปคุยไปจนกระทั่งถึงจุดนัดพบหน้าประตูเมืองทางทิศใต้
"ต่อไปท่านอานันนาซิส ผู้แทนจากเบรุคครับ" ลูคาริม นักบวชรูปงามยังคงรับหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งเหล่าผู้แทนเช่นเคย
"ท่านโฮร่าจากเมืองพิเมนต้าครับ" สิ้นเสียงของนักบวชหนุ่ม ท่านโฮร่าและซอนญ่าก็ก้าวยาวๆออกมา
"เอ่อ... ตัวแทนจากโลอาเมียต้องรออีกซักพักนะครับ" ลูคาริมเอ่ยขึ้นเมื่อกวาดตาไล่ไปตามรายชื่อในมือ
"ผู้แทนท่านนี้จะผ่านไปยังเมืองพิเมนต้าก่อน เดี๋ยวทางเราจะรับผิดชอบเอง" ท่านโฮร่ารับรอง
"ครับ! ถ้าอย่างนั้น ขอฝากด้วยนะครับ อืม... ท่านซอนญ่าจากโลอาเมียจะแวะพิเมนต้าก่อน" ลูคาริมส่งเสียงงึมงัมพูดกับตนเองในท้ายประโยค พลางขูดขีดใบรายชื่อในมือ
ประตูวาร์ปถูกเปิดขึ้น และทั้งสองก็เดินเข้าไปในลำแสงทีละคน