เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ประชาชนชาวเมืองพิเมนต้าต่างพากันมาชุมนุมบริเวณหน้าหอคอยอีกครั้งเพื่อส่งคณะท่านผู้อาวุโส ท้องฟ้ายังเป็นเพียงสีน้ำเงินเข้มบริเวณทิศตะวันออก คงเหลือดาวบางดวงที่สว่างพอส่องแสงรำไรริบหรี่ เหล่าผู้อาวุโสตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ จนท้องฟ้าเริ่มมีสีแดงฉาบทาบไปครึ่งฟ้าแล้ว ก็มีนักบวชหนุ่มผมสีเข้ม หน้าตาคมคายปรากฏกายใกล้ๆกับคณะผู้อาวุโส
"อรุณสวัสดิ์ครับ กระผม ลูคาริม เปาโล เดอ คาลิสเทีย ตัวแทนจากแอมโบรเซียเมืองหลวงของจักรวรรดิโทเทีย มารับหน้าที่ผู้นำทางในการประชุมครั้งนี้ครับ" เสียงที่นุ่มทุ้มกล่าวอย่างเป็นทางการ
"อรุณสวัสดิ์ ไม่ต้องมากพิธีหรอก ตอนนี้ทางเราก็พร้อมแล้ว ไปกันเถิด" ท่านโฮร่ากล่าวอย่างรวบรัด
ลูคาริมเองก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ท่องบทสวดและเปิดประตูวาร์ปขึ้นทันที เหล่าผู้อาวุโสเดินหายเข้าไปทีละคนช้าๆ จนครบทุกคนท่ามกลางเสียงกล่าวอำลาของชาวเมือง เมื่อนักบวชหนุ่มเดินเข้าประตูวาร์ปเป็นคนสุดท้าย ลำแสงสีเงินยวงก็ลับหายไปจากพื้น ประชาชนต่างพากันไปเริ่มชีวิตประจำวันของตนตามปกติ
วันนี้เคอิลก็ออกไปฝึกซ้อมการใช้เวทมนตร์เช่นเคย เซราฟเองก็เตร่อยู่ในบริเวณที่เคอิลฝึกอยู่เช่นกัน บางครั้งที่เคอิลพลาดพลั้งไปก็จะมีเซราฟนี่แหละที่จะคอยใช้เวทย์รักษาให้ วันนี้เองก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้งในตอนกลางวันระหว่างการฝึก ทว่าครั้งนี้กินเวลาเพียงนาทีเศษๆเท่านั้น ทั้ง ๒ คนจึงยังคงอยู่บริเวณรอบตัวเมืองต่อไปจนเย็น
"ครั้งนี้ข้าร่ายได้สูงสุด ๔ จบแล้วล่ะ มีสมาธิมากพอจนสามารถร่ายได้ถึง ๔ จบแล้ว" เคอิลคุยอวดขณะพาเดินกันกลับเข้าเมือง
"ผมเองก็ร่ายเวทย์รักษาจนขึ้นใจเหมือนกันล่ะ คนอะไร! ปล่อยให้ฝูงแมลงไล่กัดอยู่นานสองนาน" เซราฟเหน็บกลับบ้าง
"ก็ข้าไม่มีสมาธิเลยนี่นา หนอยแน่! แซวดีนัก อย่างนี้ต้องโดนซักหมัด!" เคอิลโบกกำปั้นทำท่าจะต่อย เซราฟจึงรีบวิ่งหนีไป ทว่าด้วยชุดของนักบวชที่รุ่มร่ามไม่สันทัดคล่องแคล่ว เขาจึงเหยียบชายผ้าคลุมล้มหน้าฟาดไป
เซราฟลุกขึ้นนั่ง เคอิลที่วิ่งตามเข้ามาเริ่มเห็นประกายของน้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาสีเขียวสดของเซราฟ
"ข้าขอโทษ! ข้าแค่... เอ่อ... จะแกล้งเจ้าเล่นน่ะ" เคอิลรีบขอโทษขอโพยก่อนที่เม็ดน้ำตาจะหยดเผาะตามสองแก้มของเซราฟ
แต่...นักบวชน้อยปาดน้ำตา พร้อมกับลุกขึ้น ส่งยิ้มให้เคอิล
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ผมซุ่มซ่ามเอง รีบกลับกันเถอะ ผมหิวแล้ว" เซราฟเอ่ยขึ้นอย่างเข้มแข็ง ถึงแม้เสียงจะยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย
"ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องร้องไห้โวยวายซะแล้ว" เคอิลถามด้วยความฉงน
"นั่นสิ ปกติผมเองก็น่าจะร้องไห้ไปแล้ว ไม่รู้สินะ...วันนี้รู้สึกเหมือนได้กลิ่นอายของพี่ลูคาริมจางๆ ไม่รู้ว่าเพราะคิดถึงเกินไปรึเปล่า? ก็เลยเข้มแข็งขึ้นล่ะมั้ง" เซราฟพูดพลางยักไหล่เบาๆ
ทั้งสองต่างเดินกันกลับบ้านและรับประทานอาหารเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างมื้อเย็นนั้นเอง ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงจนทำให้แก้วน้ำบนโต๊ะถึงกับล้มกลิ้ง
"หยุดซะที!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ร้อยวันพันปีไม่เคยเป็นอย่างนี้" เฟลิน่าบ่นอย่างหัวเสียพลางใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำที่เปียกไปทั่วโต๊ะ
"ขอให้ท่านโฮร่ากลับมาแจ้งข่าวเร็วๆเถิด ข้าอยากรู้ถึงที่มาของอาเพศภัยนี่จริงๆ"นางบ่นก่อนที่จะเดินหายไปในครัวเพื่อเก็บกวาด
"นั่นสิ ข้าชักจะหวั่นใจเสียแล้ว ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ" เคอิลกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
เซราฟเองก็รู้สึกไม่ดีกับแผ่นดินไหวครั้งนี้เลย การไหวแต่ละครั้งก็ดูเหมือนจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ
"เอ้า! เด็กๆไปนอนดีกว่านะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่นา เดี๋ยวจานชามแม่เก็บกวาดเอง" เฟลิน่าต้อนเด็กๆ พลางขมวดผมสีน้ำตาลเป็นลอนสวยของนางให้เป็นมวยมุ่นอยู่ที่ท้ายทอยอย่างหลวมๆ
"ท่าทางแม่จะไม่สบายใจมาก" เคอิลหันมาพูดกับเซราฟขณะเดินขึ้นบันได "ยิ่งแม่ไม่สบายใจจะยิ่งทำงาน มันคงจะทำให้หายเครียดล่ะมั้ง" เคอิลหันไปมองแม่ในครัวด้วยสีหน้ากังวล นางกำลังผูกผ้ากันเปื้อนเข้ากับเอวตน แล้วก็เริ่มบรรเลงฝีไม้ลายมือการล้างชามของนางอย่างเมามัน
"เอาเถอะครับ ยังไงพรุ่งนี้ท่านโฮร่าก็จะกลับมาแล้ว คงได้ความอะไรบ้างล่ะนะ" เซราฟพูดขึ้นเพื่อคลายความกังวล
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน และเปิดประตูเข้าสู่ห้องนอน ห้องของทั้งคู่เป็นห้องกว้าง พร้อมกับเตียงสี่เสาสองเตียง ตู้ลิ้นชักไม้ และโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆตั้งอยู่ ทั้งสองคนต่างแยกกันขึ้นเตียงของแต่ละคน เซราฟคุกเข่าลงข้างเตียงเพื่อสวดอ้อนวอนก่อนนอน
"เจ้านี่เคร่งดีจังเลยนะ เห็นสวดทุกคืนเลย ถ้าข้าเป็นพระเจ้าคงรักเจ้ามากเลยล่ะ" เคอิลกล่าว เมื่อเสียงสวดของเซราฟหยุดลง
"เพราะอย่างนี้ผมถึงมาเป็นนักบวชอย่างไรล่ะ นอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ราตรีสวัสดิ์นะ" เซราฟล้มตัวลงนอน ยกผ้าห่มมาคลุมตัว ภายในเวลาไม่นาน ก็มีเสียงกรนเบาๆจากเตียงเซราฟ
"เจ้านี่มันหลับง่ายดีแฮะ อย่างกับเด็กเล็กๆเลย" เคอิลพึมพำพลางล้มตัวลงนอนบ้าง
นักเวทย์หนุ่มนอนคิดถึงเรื่องต่างๆซักพักจนสติกำลังจะหลุดลอยไปเพราะความง่วง ความมืดสนิทเข้ามาแผ่ปกคลุมระยะสายตาจนมืดมืดไปหมด
"เด็กน้อยเอ๋ย...." เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึกของเคอิล
"จงมาเถิด.... เด็กน้อยเอ๋ย..... จงมาหาข้า...... เคอิล..." เสียงก้องอยู่ในความมืด เสียงนั้นยากที่จะจับได้ว่าดังมาจากทิศใด หรือแม้กระทั่งเสียงนั้นเป็นเสียงของมนุษย์หรือไม่ น่าแปลกที่เคอิลกลับไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
"แก...เอ่อ...ท่านคือใคร?" เคอิลเอ่ยขึ้นอย่างลังเลท่ามกลางความมืด
"ข้าคือทุกสิ่ง.... จงมาหาข้า..... เด็กน้อยเอ๋ย..... ข้าต้องการเจ้า...... จงมาหาข้า...." เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในความมืด ถึงแม้เสียงนั้นจะชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงของอะไร
"แล้วท่านคือใคร บอกชื่อท่านมาเถิด" เคอิลถาม
"ข้าคือทุกสิ่ง.... ข้าคือยิมิร์" ทันที่ที่ชื่อของเจ้าของเสียงถูกเอ่ยขึ้น เคอิลก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบตัว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เส้นผมที่เปียกเกาะตัวกันเป็นลิ่มปรกหน้าผาก เขาสังเกตเห็นท้องฟ้าว่ายังคงดำมืด แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกง่วงอีกต่อไป เคอิลหันไปมองเซราฟที่กำลังละเมอเบาๆ
"ฮือๆ.... พี่ฮะ ผมขอโทษ... คราวหน้าผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว....ฮือๆ...." เซราฟละเมอทั้งยังมีน้ำตาไหลรินออกมาอีกด้วย
"เจ้านี่มันยังกะก๊อกน้ำ ร้องไห้ง่ายชะมัด" เคอิลบ่นพลางส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก เขานั่งอยู่อย่างนั้นและครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อซักครู่จนเช้าตรู่