ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

10

Exorcism

"พระเจ้ายืนขึ้นแล้ว!" เสียงอันทรงพลังถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเอมิเลีย "ปฏิปักษ์แห่งพระองค์จักมลายหายไป ผู้ที่ไม่ยอมรับในพระองค์จักต้องถอยหนีบารมีแห่งพระองค์ เฉกเช่นเดียวกับหมอกควันอันขุ่นมัวจักถูกขับไล่ไป ฉันใดก็ฉันนั้น ความหยาบช้าจักต้องสูญสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์ผู้เป็นหลักชัยแห่งชาวเรา" เอมิเลียประกาศก้อง ทันทีที่หนังสือกางออกในมือเธอก็เกิดลำแสงสีขาวส่องสว่างเป็นรูปไม้กางเขนอยู่เหนือศีรษะ

ระหว่างที่เอมิเลียกำลังสวดอยู่นั้น เซราฟกลับรู้สึกมีแรงกดดันประหลาดม้วนตัวอยู่ในอก มันเหมือนกับก้อนอะไรซักอย่างที่พยายามดันตัวเองออกมาจากปากของเซราฟ และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...

"ด้วยกางเขนอันชอบธรรม! ด้วยศักดิ์และสิทธิ์แห่งพระองค์ จงขับไล่ศัตรูผู้หยาบช้า!" เซราฟประกาศบ้าง เขาแปลกใจในสิ่งที่เขาเพิ่งได้กล่าวออกไป ราวกับมันออกมาจากปากของเขาเอง ด้วยเสียงสวดร่ายของเด็กหนุ่ม ลำแสงสีขาวรูปกางเขนเหนือศีรษะของเอมิเลีย ก็ทอประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้น

"เจ้าอสรพิษผู้กลิ้งกลอก! เจ้าได้กระทำการบังอาจในการหลอกลวงเหล่ามนุษย์ ทรมานบุคลที่พระเจ้าเลือกเฟ้นดุจแป้งสาลี พระเจ้าขอสั่งเจ้า!!! ปีศาจชั่วช้าที่แฝงอยู่ในร่างของชายผู้นี้ ด้วยความบังอาจของเจ้า เจ้ายังคงอ้างสิทธิ์ที่จะขอความเท่าเทียม พระบิดาขอสั่งเจ้า!!! พระบุตรขอสั่งเจ้า!!! พระจิตขอสั่งเจ้า!!! คำแห่งพระคริสต์ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นปฐมบทแห่งเลือดเนื้อขอสั่งเจ้า!!! ผู้ปกป้องชาวเราจากความริษยาของเจ้า! พระองค์ทรงประกาศกับประตูแห่งนรกที่อยู่ตรงข้ามว่า ไม่มีทางจะมีชัยเหนือศาสนจักร ด้วยกางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ขอสั่งเจ้า!!! ด้วยโลหิตแห่งผู้ยึดมั่นและศรัทธาแห่งนักบุญทั้งหลายขอสั่งเจ้า!!!" ทั้งเอมิเลีย และเซราฟสวดร่ายบทขับไล่พร้อมกัน แสงสว่างรูปกางเขนทอแสงคล้อยต่ำลงมาใกล้กับชายผู้นั้น

เสียงครางของเขาแผ่วเบาลงเมื่อกางเขนโน้มต่ำลงมาหาเขา แต่มันก็แผ่วเบาได้ไม่นานนัก ราวกับสิ่งที่สิงสู่อยู่ในร่างกายของชายหนุ่มกำลังต่อต้าน เสียงครางของเขาก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆอีกครั้ง ตอนนี้เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ คนในห้องถอยผงะด้วยความกลัว

"ด้วยเหตุนี้คำสาปแห่งสิ่งชั่วร้ายจากนรกอันเร่าร้อน พวกเราทำสัญญากับพระเจ้า ด้วยพระเจ้าที่แท้จริง ด้วยพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพระเจ้าผู้ทรงให้อภัยแก่บุตรของพระองค์และประทานชีวิตหลังความตาย หยุดหลอกลวงคนผู้นี้เสีย เจ้าสิ่งโสมม! และจงออกไปจากการครอบงำเขา เจ้าพิษแห่งความชั่วร้าย! หยุดการทำให้ศาสนจักรเจ็บปวดและคืนอิสรภาพให้เขา"

เสียงอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง เคอิล และคนของโรงแรมต่างยืนตกตะลึงในภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า

"จงออกไป! ซาตานผู้ประดิษฐ์และนำความโป้ปดหลอกลวง ศัตรูแห่งการชำระ ภายใต้ศาสนจักรเจ้าไม่อาจจะกระทำการใดๆได้ สถานที่อันเป็นหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์ เผยแพร่ และเป็นหนึ่ง หยุดแสดงความต่ำข้าของเจ้า ด้วยหัตถ์แห่งพระเจ้า จงตระหนกและหนีไปเมื่อเขาอ้อนวอนต่อพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ นามอันทำให้นรกต้องสะเทือน นามที่แม้เทวฑูตชั้น เวอร์ชัว พาวเวอร์ส และ โดมิเนชั่นแห่งสวรรค์ต้องให้ความเชื่อฟัง นามที่เชรูบิมและเซราฟิมแห่งสวรรค์แซ่ซ้องสรรเสริญ ศักดิ์สิทธิ์! ศักดิ์สิทธิ์! ศักดิ์สิทธิ์! พระเจ้าแห่งชาวเรา!"

เอมิเลีย และเซราฟร่ายบทขับไล่พร้อมกัน เสียงของเขาทั้งสองฟังแล้วช่างดูมีอำนาจอย่างประหลาด สิ้นเสียงการร่ายบทขับไล่ กางเขนแห่งแสงก็โน้มลงทาบทันร่างของชายผู้นี้ เสียงครางกระเส่าเมื่อซักครู่ กลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่ทว่าเสียงนั้นหาใช่เป็นเสียงของชายผู้นั้นไม่ มันเป็นเสียงของผู้หญิง!!!

ลำแสงรูปกางเขนยังคงส่องสว่างทาบทับอยู่บนร่างชายหนุ่ม เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดค่อยๆแผ่วเบาจนหยุดลง แต่ดวงตาของชายผู้นั้นกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน และเปล่งเสียงพูดออกมาเป็นเสียงของสตรี เสียงของปีศาจที่สิงสู่อยู่ในตัวของเขา หญิงสาวที่เป็นแม่บ้านหลบไปยืนอยู่ข้างหลังของพนักงานชายทั้งสองด้วยความกลัว

"เจ้านักบวชชั่ว!!! อ๊าก!!!" เสียงเล็กแหลม กรีดร้องออกมาจากร่างของชายหนุ่ม กางเขนแสงสีขาวยังคงส่องสว่างบนร่างนั้น "บังอาจมาขัดขวางมื้อค่ำของข้า! เจ้าจะต้องได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดเช่นเดียวกับข้า กรี๊ด!!! คอยดู! คืนพรุ่งนี้! คืนพรุ่งนี้! ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้านักบวชเลว!!!" มีกลุ่มหมอกควันสีเทาหม่นลอยออกมาจากปากหนุ่มผู้นั้น และแทรกตัวออกไปทางหน้าต่าง สิ่งที่สิงสู่อยู่นั้นได้หลุดลอยออกไปแล้ว ลำแสงกางเขนดับลง ร่างของชายผู้นั้นก็สงบลงเช่นกัน

ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมชั่วอึกใจ ทุกคนในห้องต่างตกตะลึกจนลืมแม้กระทั่งหายใจ ความเงียบสงัดถูกทำลายลงด้วยเสียงของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย เขาได้สติแล้ว และกำลังตระหนกเมื่อแขนขาของเขาถูกมัดอยู่กับเสาเตียง เอมิเลียเข้าไปดูอาการพร้อมกับสั่งให้แก้เชือกออก นางพยุงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา สีหน้าของเขามีอาการไม่สู้ดี

"นี่... นี่ข้า... ข้าเป็นอะไรไป?" ชายหนุ่มคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงอิดโรย

เอมิเลียล้วงเข้าไปในผ้าคลุม หยิบขวดแก้วใสที่บรรจุน้ำอยู่ภายใน เปิดฝาไม้คอร์คที่ทำเป็นรูปกางเขนออก ยื่นให้เขา

"ดื่มนี่ซะ! คนที่ถูกออกจากการล่อลวงกลางคันจะต้องเปลี่ยนเป็นผีดิบ แต่นี่จะช่วยเจ้าได้" เอมิเลียยื่นขวดมาจ่อกับปากของเขา

ชายผู้นั้นรับมาดื่มอย่างกระหาย เขายกขึ้นดื่มจนหมดขวด แล้วยื่นกลับให้เธอ

"อย่าเพิ่งลุกนะ รออีกซักพัก" เอมิเลียยกมือขึ้นขวาง เมื่อเขาทำท่าจะลุกขึ้น

"อุ๊ก!!! อึ่ก...คึ่ก...." ชายผู้เคราะห์ร้ายยกมือขึ้นกุมลำคอสีหน้าพะอืดพะอมสุดกลั้น

"อย่าฝืน ปล่อยมันออกมา อย่าไปฝืน!" เอมิเลียตะโกนบอก ลูบหลังของชายผู้นั้นขึ้น

"โอ๊ก!!!" หนุ่มเคราะห์ร้ายอาเจียนออกมาตัวโก่ง แต่สิ่งที่ถูกสำรอกออกมานั้นกลับกลายเป็นก้อนเนื้อสีดำขยุกหนึ่ง มันกำลังดิ้นกระดุบๆราวกับมีชีวิต ส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาอย่างร้ายกาจ แม่บ้านสาวกรีดร้องด้วยความขยะแขยง

เจ้าก้อนเนื้อดิ้นพราดๆ เหมือนพยายามจะเอาชีวิตรอด เอมิเลียหยิบขวดน้ำมนต์อีกขวดหนึ่งขึ้นมาเปิดฝาและราดรดลงไปบนก้อนเนื้อนั่น มันบิดตัวดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด กลิ่นไหม้จางๆลอยมาแตะจมูกทุกคนในห้อง ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกจากปากทุกคน ทั้งหมดต่างจับจ้องอยู่ที่ก้อนเนื้อประหลาดจนกระทั่งก้อนเนื้อนั้นเหลือเพียงรอยไหม้บนพื้น

"เรียบร้อยซะที เอาล่ะ! ทุกคนไปนอนกันได้แล้ว ขอบใจมาก ไปพักผ่อนเถอะพรุ่งนี้ยังต้องมีศึกหนักอีก" เอมิเลียพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับสิ่งที่เพิ่งผ่านมานั้นคือการทำอาหารในครัว "ส่วนนายก็นอนให้มากๆ พรุ่งนี้จะรู้สึกดีขึ้นเอง"

ชายหนุ่มพยักหน้ารับด้วยงุนงง แต่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ทุกคนจึงเดินออกจากห้องแล้วแยกย้ายกันกลับห้องของตน

"ปีศาจเมื่อกี้คือก้อนเนื้อนั่นเหรอครับ?" เคอิลถามขึ้นระหว่างทางเดิน

"ไม่ใช่หรอก นั่นเป็นเพียงส่วนที่มันทิ้งไว้เท่านั่นล่ะ ว่าแต่พวกเจ้าไปนอนเถอะ พรุ่งนี้พี่จะอธิบายให้ฟัง มันต้องกลับมาแน่ๆ คืนพรุ่งนี้เตรียมตัวรับศึกได้เลย!" เอมิเลียยกหมัดขึ้นมาตรงหน้าด้วยท่าทีฮึกเหิม

"แต่เมื่อกี้นี้ผม..." เซราฟยังสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทุกๆประโยคที่ออกจากปากเขาตอนนั้น เหมือนกับไม่ใช่ตัวเขาเอง

"พรสวรรค์ไงจ๊ะ พี่พูดได้คำเดียว เพราะมีเซราฟมาช่วยนะเนี่ย ทุกอย่างเลยราบรื่น" เอมิเลียส่งยิ้มให้เขา

"เอาล่ะถึงเวลานอนแล้ว!!! ไปนอนกันได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์จ้ะ เด็กดื้อทั้งหลาย!" เอมิเลียต้อนเด็กเข้าห้อง ก่อนที่เธอจะเดินฮัมเพลงจากไป

ทั้งสองคนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ไม่ฝัน ไม่ตื่นขึ้นกลางดึกเลย อาจจะเป็นเป็นเพราะความเพลียที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน

......................................

เด็กหนุ่มทั้งสองตื่นขี้นมาในเช้าที่สดใส แสงแดดสีเหลืองนวลทอประกายราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น ตลอดวันนั้นทุกคนดูเป็นปกติ ทั้งพนักงานที่ทักทายเขาทั้งสองอย่างสนิทสนม เจ้าของโรงแรมที่คอยถลึงตาใส่เหล่าพนักงานที่ทำงานไม่ถูกอกถูกใจ พี่เอมิเลียที่ดูสดชื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังชายเคราะห์ร้ายคนเมื่อคืนที่ดูหน้าตาสดใสขึ้นมากก็มาทักทายเขา พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณเป็นการใหญ่ ในช่วงบ่ายของวัน พี่เอมิเลียได้ขอตัวไปศาสนจักร ทั้งยังชวนเซราฟไปด้วย แต่นักบวชน้อยก็ปฏิเสธทันที

เวลาล่วงเลยมาถึงเวลาอาหารเย็นเคอิล เซราฟ และเอมิเลียกำลังนั่งรวมกันอยู่ที่โถงห้องอาหารของโรงแรม รับประทานอาหารเย็นกันอย่างเงียบๆ แสงแดดสีแดงส้มกำลังทอแสงลอดช่องหน้าต่างพาดผ่านพื้นห้อง และพื้นโต๊ะอย่างอาลัยในยามเย็น ข้างกายของเอมิเลียมีกระเป๋าหนังใบใหญ่สีดำสนิท ติดสัญลักษณ์กางเขนสีทองเด่นตัดกับพื้นหนัง นักบวชน้อยจดจำได้ดี นั่นคืออุปกรณ์สำหรับไล่ผี บนโต๊ะมีไม้เท้าเงินด้ามยาววางอยู่บนโต๊ะข้างนักบวชสาว ปลายไม้เท้าข้างหนึ่งตบแต่งเป็นรูปกางเขน เซราฟรู้ถึงอำนาจของไม้เท้านั้นดี โลหะเงินมีอำนาจทางเวทมนตร์สูงเป็นอันดับต้นๆ รองจากแร่มิทริว และทองคำ แต่โลหะเงินสามารถหาได้ง่าย ราคาถูก และแข็งแรงคงทนกว่า จึงเป็นที่นิยมในการนำมาผลิตอุปกรณ์เวทมนตร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ขับไล่ภูติผี เพราะเงินนั้น มีอำนาจในการชำระล้าง และทำลายพลังด้านมืดชะงัดนัก การที่พี่เอมิเลียเตรียมอุปกรณ์ครบครันขนาดนี้ แสดงว่าปีศาจที่ต่อกรด้วยนั้น ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

"พี่ยังไม่ได้เล่าให้ผมฟังเลยนะครับ ว่าเจ้าปีศาจนั่นคืออะไร" เซราฟเริ่มการสนทนาทันทีที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ

"เอาล่ะๆ พี่จะเล่าให้ฟัง" เอมิเลียหยิบผ้ามาเช็ดปาก แล้วเลื่อนจานของทุกคนออก เท้าศอกลงบนโต๊ะประสานมือกันแล้วเอาคางเกยลงไป

"รู้จักแวมไพร์ (Vampire) มั้ย?" เอมิเลียถามเป็นการเปิดประเด็น พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

"รู้ครับ! ก็พวกผีดูดเลือดที่แปลงเป็นค้างคาวได้ อืม.... แล้วก็ทำอะไรได้อีกนะ?" เคอิลขมวดคิ้วครุ่นคิด

"สามารถแปลงร่างเป็นหมอกควัน กับกลัวแสงอาทิตย์ครับ" เซราฟเสริมขึ้นมา พร้อมกับยกมือขึ้นโบกเหมือนอยู่ในห้องเรียน "แต่ว่า... ถ้าเป็นแวมไพร์ธรรมดา โดนบทขับไล่ขนาดนั้น น่าจะ..." คราวนี้นักบวชตัวน้อยสงสัยบ้างแล้ว

"ใช่! ถ้าเป็นแวมไพร์ธรรมดาป่านนี้ไม่เหลือแล้วล่ะ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องต่อกรด้วยเก่งกาจกว่านั้นมาก มันไม่ใช่แค่ผีดิบดูดเลือด แต่เป็นผู้สร้างผีดิบเหล่านั้น เป็นปีศาจชั้นสูงที่มีอำนาจมาก มันคือ ซัสคิวปัส (Suscupus)" เอมิเลียเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม

เด็กหนุ่มทั้งสองยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักปีศาจตนนี้เลย ยังคงมองหน้ากันและกันด้วยความสงสัย แล้วหันกลับไปทางเอมิเลียเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม และก็ราวกับนางรู้ในสิ่งที่ทั้งสองต้องการ นางเริ่มอธิบายต่อไป "ถ้าจะพูดแล้ว เรื่องมันก็ยาว แรกเริ่มทีตามพระคำภีร์"

เคอิลขยับกายเข้าหาโต๊ะมากขึ้น และพยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่นักบวชสาวกำลังบรรยาย เรื่องเล่าตามพระคัมภีร์ เป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับเขามาก นักเวทย์น้อยฟังอย่างใจจดจ่อ

สตรีคนแรกคือ อีฟ (Eva) ใช่มั้ย?" เอมิเลียถามขึ้น โดยไม่ต้องรอคำตอบ เธอก็อธิบายต่อไปทันที "แต่ว่ามันไม่ใช่! สตรีคนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาคือลิลิธ (Lilith) พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นพร้อมๆกับอาดัม (Adam) แต่นางกลับมีจิตใจที่หยาบช้า ถึงแม้จะรูปงามแต่ก็ฝักใฝ่ในความมืด พระผู้เป็นเจ้าจึงต้องขับไล่นางออกจากเอเดน (Eden) สวนสวรรค์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ให้ลงไปสู่ก้นบึ้งแห่งความมืดมิด เถลิงนามเป็นราชินีแห่งนรก ผู้อยู่เคียงข้างซาตาน" เอมิเลียพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำลง

ทั้งสองคนต่างตั้งใจฟังในสิ่งที่นักบวชสาวพูด ดวงตาของเด็กหนุ่มทั้งสองแทบไม่กระพริบ พวกเขาแทบจะลืมหายใจด้วยซ้ำ

"นางมีตัณหาราคะอันมากล้น เที่ยวสมสู่กับสัตว์นรก ปีศาจ แม้กระทั่งมนุษย์ นางให้กำเนิดบุตรมากมาย ล้วนแต่ออกมาอัปลักษณ์ เลวทราม น่าขยะแขยงพวกมันเป็นปีศาจชนิดต่างๆที่เที่ยวเพ่นพ่านอยู่ในนรก และโลกมนุษย์ แต่กลับมีอยู่สายพันธุ์เดียวที่มีรูปโฉมงดงาม สืบสายเลือดออกมาใกล้เคียงกับนางมากที่สุด เป็นบุตร-บุตรีที่นางรักและไว้ใจมากที่สุด" เอมิเลียกล่าวต่อ เหมือนไม่หายใจ

"คือซัสคิวปัสเหรอครับ?" เคอิลถาม เขาแทบจะข่มความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เรื่องราวในพระคัมภีร์แบบนี้ หาไม่ได้ในเมืองพิเมนต้า

"เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งขัด" เอมิเลียหัวเสีย แต่ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น เธอเริ่มอธิบายต่อ "มันมีรูปโฉมโนมพรรณอันงดงาม แต่ยิ่งงามก็ยิ่งร้ายกาจ อาหารของมันคือจิตของมนุษย์ ยิ่งเป็นจิตที่สะอาดและบริสุทธิ์แล้ว สำหรับมันคืออาหารทิพย์อันโอชะทีเดียว แต่การกินของมันนั้นไม่เหมือนปีศาจทั่วไปที่กินผ่านร่างเนื้อ มันมีแผนการที่แยบยลและต่ำช้ากว่านั้น" นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน

"เหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหรอครับ?" เซราฟถามบ้าง

"เพราะการกินเหยื่อของมัน คือการลอบเข้าไปในห้วงฝันของเหยื่อ" นางยังคงพูดต่อไป "และที่น่ารังเกียจที่สุดคือ ในห้วงฝันนั้นมันจะล่อลวงเหยื่อให้มาสมสู่ร่วมรักกับมันจนเสร็จกิจ"เอมิเลียพูดด้วยน้ำเสียงกุกกัก

เด็กสองคนก็เช่นกัน ต่างก็ก้มหน้างุดนั่งฟังต่อไป โดยเฉพาะเซราฟที่หูของเขาแดงอย่างเด่นชัดตัดกับสีผม

"ช่วงเวลาที่เหยื่อเสพสุขอยู่กับจุดสูงสุดของกามกิจนั่นเอง ที่จะเป็นโอกาสให้พวกมันสูบดึงเอาวิญญาณ และพลังชีวิตออกมาดื่มด่ำจนหมด ส่วนเหยื่อนั้นก็จะมีสภาพกลายเป็นศพแก่ชราแห้งกรอบไป" เอมิเลียพักกลืนน้ำลาย แล้วเริ่มอีกครั้ง

ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง ทำไมเด็กหนุ่มทั้งสองจึงพบกับศพที่แห้งกรังในห้องพัก และทำไมหนุ่มผู้รอดชีวิตรายคนนั้นถึงครางกระเส่าดังระงมเมื่อคราวที่เอมิเลียประกอบพิธีขับไล่

"แต่ถ้าพวกมันออกไปจากการหลอกล่อกลางคัน ก็จะทำให้เหยื่อกลายเป็นแวมไพร์ช้าๆ อย่างแยบยล หรือแม้กระทั่งให้เหยื่อที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ได้อีกด้วย และเด็กที่เกิดมานั้นจะมีอำนาจประหลาด เป็นมหาเวทย์ผู้มีอำนาจล้นพ้น ปีศาจตนนี้ เพศชายเรียกว่าอินคิวบัส (Incubus) เพศหญิงเรียกว่าซัสคิวปัส (Suscupus)" เอมิเลียเท้าคางอีกครั้ง บ่งบอกว่าเธอได้อธิบายจบแล้ว ท้องฟ้านอกหน้าต่างเป็นสีน้ำเงินเข้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาทั้งสามก็แทบจะไม่ได้สังเกตุเห็น

"แล้วรูปร่างที่ว่างดงามน่ะ เป็นยังไงเหรอครับ?" เคอิลถามอย่างสงสัย

แต่ก่อนที่เอมิเลียจะได้กล่าวอะไรออกไปนั้น เธอก็หันควับไปยังโถงทางเดิน มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในชุดคลุมแบบมีหมวกทำจากผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนกผืนยาว สวมหมวกคลุมปิดศีรษะตรงมาทางพวกเธอ แขกผู้มาเยือนเป็นสตรีเพศ สังเกตได้จากท่วงท่าการเดินที่ชดช้อย อ้อนแอ้น

"อาจหาญมากที่มาอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้" เอมิเลียส่งสายตาชิงชังไปยังผู้แปลกหน้า

"ทุกคนออกไปให้หมด!!!" เธอตะโกนลั่นห้องโถง ผู้คนที่นั่งกันอยู่ต่างสะดุ้งแต่ก็วิ่งออกไปจนหมด อาจเพราะพวกเขาได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้ เด็กหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นยืน เพ่งมองไปยังแขกผู้มาเยือน

"อ้าว! ไปกันหมดก็หมดสนุกน่ะสิ" ผู้มาเยือนคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงปนหัวเราะ เสียงหวานหยาดหยด แต่เย็บเยียบจับสันหลัง

"มันเป็นเรื่องระหว่างแกกับชั้น อย่าเอาคนอื่นมายุ่ง!" เอมิเลียตวาดกระแทกเสียง

"เมื่อคืนทำแสบนักนะ นังนักบวชชั่ว!" เสียงของผู้แปลกหน้าเริ่มกรีดแหลม

เอมิเลียไม่รอช้า เธอลุกขึ้นยืนจังก้า ตรงหน้าของผู้มาเยือน สิ่งที่เธอเกลียดที่สุด ก็คือปฏิปักษ์แห่งคริสตจักร และผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจทีเดียว

"อย่ามัวแต่พ่นน้ำลายอยู่! จะทำอะไรก็ลงมือซะสิ!" เอมิเลียตะคอกอย่างแข็งกร้าว

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าคลุม เป็นมือของหญิงสาวที่ขาวเนียนสวยงาม เล็บมีการตบแต่งอย่างดีทาสีแดงเลือดนกไว้ มือข้างนั้นกางออกเกิดลูกพลังทรงกลมสีดำค่อยๆใหญ่ขึ้นจนขยายเต็มฝ่ามือ เธอตวัดมือครั้งหนึ่ง ลูกพลังทรงกลมสีดำนั้นพุ่งเข้าหานักบวชสาวอย่างรวดเร็ว

โดนที่ไม่ทันตั้งตัว เอมิเลียรับแรงกระแทกเข้าไปเต็มเปา ตัวเธอกระตุกด้วยแรงปะทะก่อนจะผงะถอยหลังไปสองสามก้าว

"อย่างนี้ก็สนุกน่ะสิ" เอมิเลียพูดมีสีหน้าท้าทาย คว้าไม้เท้าเงินที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากระชับมั่นในมือ

ทางด้านปีศาจสาวเองก็สะบัดผ้าคลุมออก ร่างที่ปรากฎนั้นช่างเป็นปีศาจที่งดงามนัก รูปร่างของนาง เหมือนสาวรุ่นที่เพิ่งแตกสาว ผิวพรรณเต่งตึงงดงาม เส้นผมสีทองยาวนุ่มสลวยเหมือนเส้นไหม บริเวณศีรษะมีเขาเล็กๆโง้งออกมาข้างหน้าหนึ่งคู่ ดวงหน้าคมคาย ริมฝีปากอิ่มเอมสีแดงสดสวย ดวงตาสีแดงสดที่กลมโตแวววาวภายใต้ขนตายาวงอนงาม ชุดที่เธอสวมใส่ช่างล่อแหลมและเย้ายวนใจยิ่งนัก มันปกปิดแต่เพียงจุดสงวนไว้อย่างหมิ่นแหม่ ช่างเหมาะกับปีศาจที่ล่อลวง และคลุกคลีอยู่กับตัญหาราคะเสียจริง

ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน เคอิลและเซราฟยืนหลบอยู่ตรงมุมห้องคอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ

ซัคคิวปัสสาวแสยะยิ้ม ปีกค้างคาวสีดำทะมึนสยายออกจากกลางหลังของเธอ มันโบกช้าๆราวกับลองเชิงคู่ต่อสู้ ปีศาจสาวกรายเท้าช้าๆอย่างระมัดระวัง สายตาของทั้งคู่ประสานจับจ้องอย่างไม่ละสายตา ความเงียบเข้าปกคลุมรอบห้องอาหารพักใหญ่ จนกระทั่ง....

"ฟามิลิอา ธรองก์!!! (Familia Throng!!!)" นางตะโกนก้อง ปีกทั้งคู่กางแผ่ออกจนสุด ในแผ่นปีกสีดำทะมึนราวราตรีกาลนั้น ก็เกิดค้างคาวฝูงใหญ่พุ่งเข้ามากลุ้มรุมเอมิเลีย

ฝูงค้างคาวบินล้อมตัวเอมิเลียราวกับกลุ่มเมฆฝนที่ตั้งครึ้ม เสียงแหลมสูงของพวกมันดังระงม และเริ่มเข้ามารุมจิกทึ้งเธอเรื่อยๆ เด็กทั้งสองต่างยืนดูด้วยความตกใจไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยได้ นักบวชสาวก้มหมอบลงต่ำ คลานช้าๆไปยังโต๊ะอาหารที่เธอวางกระเป๋าสัมภาระไว้ ตอนนี้เนื้อตัวเธอมีริ้วรอยเล็กน้อย เสื้อผ้าเริ่มมีรอยฉีกขาดจากการโจมตีของฝูงค้างคาว ระหว่างเธอเอื้อมมือออกไปคว้ากระเป๋ามา มีค้างคาวตัวหนึ่งโจมตีที่แขน แขนเสื้อฉีกขาดเป็นรอยยาวเผยให้เห็นบาดแผลเป็นทางยาว เลือดไหลซึม

เอมิเลียกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับ นักบวชสาวปล่อยมือออกจากไม้เท้าเงิน เธอควานมือเข้าไปในกระเป๋าหนังสีดำขลับ คว้าขวดน้ำมนต์ออกมา มืออีกข้างถอดสายประคำที่คล้องอยู่ที่เอว

"ด้วยความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระจิตอันบริสุทธิ์!" เธอตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเล็กแหลมของฝูงค้างคาวที่เข้าห้อมล้อมเธอไว้ ขณะที่กำลังราดรดน้ำมนต์ไปยังสายประคำ ท่ามกลางความดำมืดของฝูงค้างคาว ประกายแสงเล็กๆส่องสว่างออกมาจากสายประคำ

เอมิเลียเหวี่ยงหวดสายประคำไปรอบตัว ทุกที่ที่สายประคำตวัดผ่าน ค้างคาวก็แตกกระจายกลายเป็นผุยผงไปทันที ฝุ่นสีเทาฟุ้งตลบคละคลุ้งรอบกายเอมิเลีย เสียงกรีดแหลมของค้างคาวค่อยๆเบาลงทุกครั้งที่เสียงแหวกอากาศของสายประคำดังขึ้น

ฝูงค้างคาวแตกกระจายไม่เป็นทิศ มันบินฝ่ากลุ่มควันสีเทาออก ต่างตัวต่างเอาชีวิตรอด ฝูงปีศาจตัวจ้อยเหลือรอดเพียงกระจุกเล็กๆ พวกมันต่างบินอย่างระเห็จระเหินกลับไปหาปีศาจสาวที่กำลังยืนกัดฟันอย่างเคืองขุ่น ปีกสีดำสั่นระริกด้วยความโกรธ

กลุ่มควันทิ้งตัวจางลง เอมิเลียยกกางเขนที่ติดอยู่ปลายสายประคำขึ้นมาจุมพิต ก่อนที่จะคล้องเหน็บไว้ที่สะเอวตามเดิน นักบวชสาวก้มลงคว้าไม้เท้าเงินขึ้นมากระชับมั่นอีกครั้ง มันยังคงเงาวับแวววาว เธอยกไม้เท้าขึ้นมาชื่นชม ก่อนที่จะร่ายเวทย์รักษาตัว ทันใดนั้นบาดแผลของเธอก็สมานจนหายสนิท

"เอาล่ะ มาต่อกันเลย!" นักบวชสาวเลิกคิ้วท้าทาย "ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงชัย ของท่านจงอำนวยพร!" เธอพุ่งเข้าไปหาซัสคิวปัส

"ลูกๆของข้า" ปีศาจสาวคร่ำครวญ ค้างคาวตัวสุดท้ายแทรกกายเข้าไปในเงาปีกของนาง แล้วจึงพุ่งเข้าหาเอมิเลียเช่นกัน

เอมิเลียเป็นคนลงมือก่อน ไม้เท้าเงินถูกเหวี่ยงหวดเข้าไปยังสีข้างของนางปีศาจ ซัสคิวปัสกระเด็นออกไป ปีศาจสาวกางปีกพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้มลง แล้วถีบตัวพุ่งเข้าหา เอมิเลียอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว

ไม้เท้าเงินกระทบกับกรงเล็บส่งเสียงเคร้งคร้าง การต่อสู้เป็นไปอย่างชุลมุน รวดเร็วเสียจนยากที่จะมองออกว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ นักบวชสาวเหวี่ยงไม้เท้าหมายให้ถูกศีรษะ ปีศาจสาวยกมือขึ้นรับ เสียงเนื้อไหม้ดังขึ้นทันทีที่ฝ่ามือของปีศาจเกาะกุมที่ไม้เท้าเงิน กลิ่นไหม้ลอยแตะจมูกของเอมิเลีย ซัสคิวปัสเหวี่ยงไม้เท้าสุดแรงด้วยความเจ็บปวด พาให้นักบวชสาวที่อยู่อีกด้านของไม้เท้าตัวลอยตามแรงเหวี่ยง พุ่งเข้ากระแทกโต๊ะและเก้าอี้ล้มระเนระนาด ปีศาจสาวกางมือทั้งสองออกด้วยความเจ็บปวด รอยไหม้สีน้ำตาลคล้ำปรากฎเป็นแถบยาวบนฝ่ามือเรียวสวย

เอมิเลียใช้ไม้เท้ายันกายลุกขึ้น เธอหายใจหอบเหนื่อย ก่อนที่จะเขม้นมองศัตรูด้วยความโกรธเคือง นักบวชสาวล้วงเอาขวดน้ำมนต์ที่ติดกายออกมา

"ปีศาจก็ยังคงเป็นปีศาจวันยังค่ำ รสชาติของเงินเป็นยังไงบ้าง?" เอมิเลียแค่นหัวเราะ แต่เธอเองก็บาดเจ็บไม่น้อย

"ลัสทรัล เบเนดิคติโอ!!! (Lustral Benedictio!!!)" นักบวชสาวราดน้ำมนต์ลงไปยังไม้เท้าในมือ เกิดแสงสีขาวจางๆบนอาวุธของเธอ การกระทำเช่นนี้คือการเพิ่มความศักดิ์ให้แก่อาวุธด้วยการอาบน้ำมนต์

ปีศาจสาวรู้ในสิ่งที่เอมิเลียทำลงไป แค่โลหะเงินก็สร้างความเจ็บปวดแก่นางได้ไม่น้อย แล้วนี่ยังมีน้ำมนต์อีก การปะทะซึ่งๆหน้าอาจจะไม่เป็นผลดี เธอโบกกระพือบีกลอยตัวเลียบเพดานของห้อง เส้นผมสีทองพริ้วไหวไปตามแรงกระพือ

"ไม่อยากกินเหยื่อแบบนี้เลยให้ตายสิ" เธอบ่นแล้วใช้เท้าเตะผนังห้องพร้อมกับลู่ปีกของเธอ พุ่งมาทางเอมิเลียด้วยความเร็ว เธอพุ่งโฉบไปมาด้วยการถีบตัวกับผนังห้องโถง เสียงพุ่งแหวกอากาศดังเป็นระยะ เด็กน้อยทั้งสองก้มตัวหลบด้วยความกลัว อาจจะเป็นเพราะแรงโทสะทำให้ปีศาจสาวไม่สังเกตเห็นเขาทั้งสอง

ด้วยความคมของเล็บที่อยู่บนปีกและความเร็วที่พุ่งเข้ามา เอมิเลียก็ได้รับบาดแผลไม่น้อยทีเดียว เธอพยายามก้มและพลิกตัวหลบ พลางหวดไม้เท้าไปมากลางอากาศ ถึงแม้วาวุธในมือจะมีประสิทธิภาพร้ายแรงขนาดไหน แต่ถ้าไม่สามารถใช้งานได้ก็ไร้ค่า

ภาพของปีศาจสาวที่เข้าจู่โจมเอมิเลียที่หวดไม้เท้าไปมาในอากาศอย่างสิ้นหวังปรากฎขึ้นตรงหน้าของเซราฟ

"พี่เอมิเลีย.... ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดเมตตาและเกื้อหนุนลูกด้วย!" เซราฟพร่ำบอกกับตนเอง เด็กหนุ่มวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เขาเองสามารถช่วยพี่เอมิเลียได้บ้าง.... ไม่มากก็น้อย

ราวกับความฝันที่ผุดขึ้นในใจ ราวกับเสียงเรียกจากดินแดนอันไกลโพ้น ถ้อยคำอันเปี่ยมด้วยพลังถูกถ่ายทอดมายังเซราฟจากที่ไหนซักแห่ง.... อาจเป็นสรวงสวรรค์

"อิลูมินุส ซังโต!!! (Illuminus Sancto!!!)" เซราฟลุกขึ้นตะโกนก้อง เกิดแสงสว่างไสวเจิดจ้าปรากฏเหนือศีรษะของเขาสว่างวาบไปทั่วทั้งห้อง เป็นเวลาเดียวกับที่ซัคคิวปัสกำลังถีบตัวพุ่งจากผนังเข้าหาเอมิเลียอีกครั้ง แสงสว่างส่งผลให้ปีศาจสาวเสียหลัก

"โดนซักทีเถอะน่า!" เอมิเลียเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายได้เปรียบ นักบวชสาวหวดไม้เท้าเงินฟาดสวนกับซัคคิวปัสที่กำลังพุ่งเข้ามาหา

"ผลั่ก!" การโจมตีครั้งนี้เป็นผล มันกระแทกเข้ากับหัวไหล่ของปีศาจสาวอย่างจัง ปลายไม้เท้าของเธอฟาดเข้าที่ปีกซ้ายของนางปีศาจเต็มแรงร่างของนางเสียหลักพุ่งเข้าชนกับเครื่องเรือนในห้องเสียงดังสนั่น

ซัสคิวปัสสาวยันกายลุกขึ้นกุมไหล่ของนางไว้ ใบหน้าขาวซีดที่ดูงดงามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดูท่าว่านางจะบินอีกไม่ได้แล้ว ปีกซ้ายของนางปีศาจได้รับความเสียหายอย่างมาก มันลู่ลงข้างลำตัว สั่นระริกเพราะพิษบาดแผล

"อาวุธนั่น... มันศักดิ์สิทธิ์... ทั้งยังแสงนั่นอีก การโจมตีแบบนั้นไม่น่ารุนแรงขนาดนี้" นางปีศาจกัดฟันกรอด

ที่นางปีศาจยับเยินได้ขนาดนี้หาได้เป็นเพราะอาวุธเงินอาบน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียวไม่ ความรุนแรงจากโลหะเงินและน้ำมนต์นั้นสูงจริง แต่นั่นยังไม่เท่าแสงสว่างที่เซราฟเปล่งออกมา "อิลูมินุส ซังโต" แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์รุนแรงไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ มันทำให้ร่างกายของภูติผีอ่อนแอลง

"เจ็บปวดดีไหมเล่า" เอมิเลียเยาะเย้ย จัดเส้นผมสีครีมของเธอให้เข้าที่ "ขอพระองค์ทรงอวยชัยเถิด!!!" เธอให้พรตนเองแล้วพุ่งเข้าหาซัคคิวปัสอีกครั้ง หวังให้เป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ นักบวชสาวกระแทกปลายไม้เท้าซ้ำเข้าไปที่ไหล่ของซัสคิวปัส ส่งผลให้นางปีศาจทรุดกายลงนั่งด้วยความเจ็บปวด

ทันทีที่เอมิเลียยืนคร่อมร่างปีศาจสาว มือข้างที่ถือไม้เท้ากดตัวนางปีศาจไว้แนบพื้น มืออีกข้างขวดแก้วกลมใสบรรจุน้ำมนต์ชูขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่จะหวดมือเหวี่ยงขวดแก้วลงกระแทกพื้น

"บาซิลิกา พรีซิงโต!!! (Basilica Precincto!!!)

ขวดน้ำมนต์กระทบพื้นแตกกระจาย น้ำมนต์ที่บรรจุอยู่ภายในแตกกระสานซ่านเซ็น ละอองฟองฝอยกระจายตัวลงสัมผัสพื้นไม้ เพียงไม่กถึงชั่วอึดใจ พื้นบริเวณที่เปียกด้วยน้ำมนต์ก็เกิดแสงสีขาวส่องสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้นรอบเท้าของเอมิเลียเป็นวงกว้าง นางปีศาจไม่ทันตั้งตัวรับการโจมตีครั้งนี้ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างขึ้นมา

บาซิลิกา พรีซิงโต ทักษะชั้นสูงของนักบวชที่สร้างอาณาเขตจากน้ำมนต์ ส่งผลให้บริเวณนั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างจากอาณาเขตของศาสนจักร

นางปีศาจสาวทรุดลงนั่งกับพื้น สภาพร่างกายยับเยิน เกิดรอยไหม้ขึ้นตามตัวเธอเป็นจ้ำๆ เนื้อตัวกระตุกสั่นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นระคนเจ็บปวด เส้นผมสีทองยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง กลิ่นไหม้ลอยจางไปทั่วทั้งห้อง

"ทนจริงนะ แต่คงจะทนได้อีกไม่นานแล้วล่ะ" เอมิเลียกระแทกเสียงอย่างเป็นชัย เมื่อเห็นร่างของปีศาจที่สั่นระริกอยู่แทบเท้า "ขอให้พระองค์จงชำระดวงวิญญาณของผู้ผิดบาปเหล่านี้เถิด" เอมิเลียพูดด้วยน้ำเสียงปนหอบ ยกไม้เท้าขึ้นมาเหนือศีรษะหมายจะจบชีวิตของนางปีศาจสาว

เซราฟไม่อาจทนดูภาพนั้นได้ หันหลังไปซุกอยู่กับอกของเคอิลที่กำลังมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ

ซัคคิวปัสสาวเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาทันที นางก้มหน้าลงตัวสั่นเทา ถึงจะเป็นชีวิตที่เกิดจากความชั่ว ความดำมืด แต่ชีวิตทุกชีวิตย่อมรักตัวกลัวตาย

"ข้าแต่ลิลิธ พระมารดาแห่งข้า!!! ช่วยด้วย" นางตะโกนสุดเสียงอย่างสิ้นหวัง ปีศาจที่งดงาม สูงส่ง และแสนสง่าต้องมาสิ้นท่าเช่นนี้หรือ?

ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...

น่าแปลก ปีกของนางปีศาจกลับตวัดกางออกและแผ่กว้างออกไปทุกทีเหมือนภาพลวงตา เอมิเลียตกใจผงะไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ปีกคู่นั้นยังคงขยายตัวแปรเปลี่ยนเป็นความมืดเหมือนกับมีแผ่นผ้าสีดำสนิทกางออกมาปกคลุมทั่วทั้งห้อง ความมืดมิดได้เข้าปกคลุมโถงนี้ไว้ จนทั้งเซราฟ เคอิล และเอมิเลียก็ไม่สามารถมองเห็นฝ่ามือตนเองได้ ไม่ต่างจากคนตาบอด

"นี่มัน..." เอมิเลียพึมพำ เธอยังคงอยู่ในอาการตะหนก

"ขอบคุณ ท่านแม่... " เสียงของนางปีศาจดังแว่วอยู่ในความมืด "ครั้งนี้ข้าขอฝากไว้ก่อนเถอะ นังพรีสต์ชั่ว!!! ทำแสบนัก แล้วข้าจะกลับมาเอาคืน" เสียงนั้นเหมือนจะลอยห่างออกไปทุกที

"บ้าจริง!นี่มัน... ภาพลวงตา" เอมิเลียหัวเสีย ที่แท้มันเป็นเพียงภาพลวงตา บั้นปลายของการต่อสู้ ไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง

ความเงียบสงัดเข้าเกาะกุมห้องโถง เอมิเลียยืนอยู่กลางห้อง ดวงตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย ความมืดยังคงเกาะกุมปกปิดทัศนวิสัยของเธออยู่ แต่ก็เพียงไม่นาน เหมือนกับกลุ่มควันที่ถูกสายลมพัดเป่า ความเด่นชัดของภาพก็ค่อยๆปรากฎแก่นักบวชสาว ห้องโถงเหลือแต่เพียงเครื่องเรือนล้มระเนระนาด และเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนเก้ๆกังๆด้วยความเป็นห่วง มีเพียงร่องรอยของการต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อซักครู่เท่านั้นที่เหลือไว้เป็นหลักฐาน

"เป็นอย่างไรบ้างครับ?" เซราฟถามด้วยเสียงกังวล เขาตรงเข้าไปหาเอมิเลียทันทีที่จับสังเกตได้ว่าเธอกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

"ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวรักษาหน่อยก็หาย" เอมิเลียตอบน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าของเธอช่างอิดโรยเหลือเกิน ชุดสีน้ำเงินที่คลุมกายมีร่องรอยฉีกขาดเผยให้เห็นแผลอยู่ทั่วร่าง

เคอิลและเซราฟช่วยกันพยุงเอมิเลียขึ้นไปที่ห้องของพวกเขาเพื่อปฐมพยาบาล เจ้าของโรงแรมกับพนักงาน และบรรดาแขกเหรื่อที่สนอกสนใจ ต่างวิ่งเข้าไปซักถาม

"อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลยครับ ให้เขาพักผ่อนก่อนเถิด" เคอิลกันคนเหล่านั้นออกไป แล้วเดินขึ้นบันได ระหว่างทางได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหลังพวกเขา เป็นเสียงเจ้าของโรงแรมตะโกนโหวกเหวกเสียงดังราวกับเสียสติเมื่อได้เห็นสภาพห้องโถง

"ไปหากล่องพยาบาลมาเร็ว!" เคอิลบอกกับเซราฟ เมื่อวางเอมิเลียลงบนเตียง

ขณะที่นักบวชน้อยกำลังจะก้าวขาวิ่งออกไป เอมิเลียก็คว้าชายเสื้อของเขาไว้

"พี่เป็นนักบวชนะ ลืมไปแล้วเหรอ?....อุ๊บ!" เอมิเลียชะงัก เอามือกุมหน้าอกไว้แน่น ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบเบิกโพลง "เอาน้ำมนต์มาเดี๋ยวนี้! เร็วเข้าสิ!" เธอสั่งอย่างร้อนรน

เซราฟวิ่งไปที่กระเป๋าของเธอ คว้าขวดที่ฝาสลักเป็นกางเขนยื่นให้เธอโดยเร็ว เอมิเลียคว้ามันมา เปิดฝายกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ไม่นานนัก นักบวชสาวก็อาเจียน สำรอกจนเจ้าก้อนเนื้อสีดำถูกขย้อนออกมาเหมือนกับที่ชายคนนั้นเป็น

"บาดแผลจากมันก็สามารถทำให้กลายเป็นแวมไพร์ได้ด้วยรึ ร้ายกาจ..." เธอเอาน้ำมนต์ที่อยู่ก้นขวดหยดลงไปที่ก้อนเนื้อจนมันมอดไหม้ไปหมด

นักบวชสาวยกมือขึ้นเหนือบาดแผลตามร่างกาย ตั้งใจจะร่ายเวทย์รักษา แต่ก็ไม่เกิดประกายแสงสีขาวออกมาเลย "อา... ไม่ไหว พลังวิญญาณคงจะหมดไปตอนที่สู้กัน"

"งั้นเป็นหน้าที่ผมเอง" เซราฟยื่นมือเข้าช่วย เขายกมือขึ้นมาเหนือศีรษะของเอมิเลีย เกิดประกายแสงสีขาวนวล และไออุ่นประหลาดขึ้นรอบตัวเธอ บาดแผลต่างๆสมานปิดกัน เหลือเพียงรอยขีดข่วนเล็กๆเท่านั้น แต่เสื้อผ้าของเธอก็ยังคงขาดวิ่นเป็นริ้วๆอยู่

"ผมทำได้เท่านี้แหละครับ ถึงแผลจะไม่หายสนิทแต่ก็พักซักหน่อยนะฮะ พี่เอมิเลีย" เซราฟเสียใจ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้

"เก่งมากแล้วจ้ะ พ่อคนเก่ง" เอมิเลียขยี้ศีรษะเซราฟอย่างเอ็นดู

"อา... เสื้อตัวเก่งชั้นด้วยสิ คงซ่อมไม่ได้แล้วล่ะ ว่าแต่นี่เตียงใครเนี่ย?" เอมิเลียถามขึ้น

"เตียงผมฮะ" เซราฟบอก

"งั้นพี่ยืมเตียงวันนึงนะ คงกลับโบสถ์ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว อยากนอนเหลือเกิน เซราฟไปนอนเตียงเคอิลได้มั้ย?"

เคอิล และเซราฟมองหน้ากันครู่หนึ่ง

"ได้ครับได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่หลับให้สบายเถอะครับ" เคอิลตอบเสียงเขินๆ เขาเองก็ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับใครมาก่อน

และแล้วทั้งคู่ก็ดับไฟ ขึ้นนอน เหมือนกับว่าเคอิลได้ยินเสียงเซราฟเอ่ยขออนุญาตเบาๆ ก่อนจะขึ้นเตียงเสียด้วย

"ดูๆไปเซราฟนี่ก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆเหมือนกันนะ ท่าทางขี้อ้อนดี" เคอิลคิด แล้วทั้งสามคนก็หลับใหลตลอดราตรีที่มืดมิด

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.