ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

18

The Call

ทันที่ที่พวกเขาพ้นแนวป่าของเทือกเขาอคาทรัสและเห็นเมืองอยู่ลิบๆ แสงแดดแรงกล้ายามบ่ายคล้อยส่วงสว่างเผยให้เห็นทัศนียภาพอันแปลกตาปรากฎอยู่เบื้องหน้าเหล่าคณะเดินทาง อาคารบ้านเรือนต่างสร้างขึ้นมาจากอิฐสีขาวแกมฟ้า จึงทำให้เมืองนี้ดูส่องสว่างอย่างประหลาด แต่ความงดงามเหล่านี้ก็หาได้เข้าไปเกาะกุมจิตใจ หรือดึงดูดสายตาของเหล่าสมาชิกนักเดินทางเท่าไหร่นัก ด้วยความเหนื่อยล้าที่เดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอดทั้งวัน ด้วยเกรงจะไม่ทันอาทิตย์ตกดิน

" อา .... นี่น่ะเหรอ ? เมือง ลักซ์ เอล ยูคาล สวยจริงๆ " เคอิลกวาดสายตาไปทั่วเมือง ทันทีที่ผ่านกำแพงอิฐสีขาวเข้ามา ความครึกครื้นของที่นี่ได้ปลุกความอยากรู้อยากเห็นของเขาให้ตื่นเต็มตัว ที่นี่คือ ลักซ์ เอล ยูคาล เมืองท่าทางตอนเหนือของอาณาจักรโทเทีย ที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างโทเทียและโลอาเมียเข้าด้วยกัน เมืองท่าแห่งนี้จึงครึกครื้นตลอดเวลา เสียงสนทนาดังเซ็งแซ่ไปทั่วทุกสายถนน ร้านรวงผุดขึ้นรองรับนักเดินทางราวกับดอกเห็ด

" ฮ้าว !!! ง่วงจังเลย ผมไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อนเลยนะครับ " เซราฟยกแขนขึ้นเต็มเหยียด ประกายน้ำตาเคลือบดวงตาสีเขียวสดบางๆ แสดงถึงความอ่อนล้า และง่วงเต็มที

" งั้นก็หาที่พักกันเถอะ โรงแรมอยู่ไหนกันนะ ?" ซิสิเลียหันรีหันขวาง

" แต่ว่าพวกผมไม่มีเงินกัน " เคอิลเอ่ยขึ้น เงินของพวกเขาหมดไปเมื่อครั้งที่มีเรื่องกับเทซซ่า

" จะไปกลัวอะไรกัน นี่พวกเธอมากับราชองครักษ์เชียวนะ เรื่องเงินน่ะ เรื่องเล็ก " ซาเวียร์ยกถุงหนังหนาหนักขึ้นเขย่า มีเสียงโลหะกระทบกันดังกรุ๊งกริ้ง เงินในนั้นต้องมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว

" แต่ว่า ... จะดีเหรอครับ ..." เคอิลเอ่ย น้ำเสียงเกรงใจ

" ไม่ต้องเกรงใจน่า " ซิสิเลียคว้าคอเคอิลกึ่งลากกึ่งพาไปหาโรงแรมที่พัก

แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มก้าวเท้า ฝ่าเท้าของทุกคนก็คล้ายกับรู้สึกถึงแรงสั่นจางๆ คล้ายกับฝูงของสัตว์ขนาดใหญ่ที่กำลังวิ่งเข้ามา เสียงสนทนาหยุดลงอย่างพร้อมเพรียงไม่ต่างจากเสียงของเหล่าร้านรวงที่เงียบลงเช่นกัน ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับแรงสะเทือนเล็กๆที่เท้า ทว่าแรงสั่นจางๆนั้นค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น กินเวลาเพียงไม่นานก็ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองโดนเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกระหน่ำทั่วทั้งเมือง อาคารบ้านเรือนไหวเอนเล็กน้อย ผู้คนรอบข้างต่างหวีดร้องด้วยความตระหนก บ้างก็ล้ม บ้างก็วิ่งหนี เหล่าคณะเดินทางเองก็ตระหนกตกใจจนทำอะไรถูก

" ทุกคนหมอบลง !!!" อักเนสตั้งสติได้เป็นคนแรก เธอตะโกนก้อง น้ำเสียงของเธอสะกดให้ผู้ฟังทุกคนทรุดกายลงนาบพื้น ไม่เว้นแม้แต่ประชาชนรอบข้าง เธออาจจะกำลังใช้เวทมนตร์แห่งเสียงก็เป็นได้

เศษฝุ่น และอิฐขาวคลุ้ง ร่วงกราวจากอาคารรอบๆ เสียงสั่นไหวของแผ่นดินดังขึ้นข้างหูที่แนบลงกับพื้น ไม่ต่างกับเสียงคำรามของอสูรยักษ์ใต้พื้นพิภพที่กำลังจะได้รับอิสระ แผ่นดินไหวครั้งนี้ทวีความรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก

" ครืน !!!!" อาคารหลังเล็กๆหลังหนึ่งใกล้ๆไม่อาจทนแรงสั่นได้ไหว มันถล่มลงมาห่างจากที่ที่คณะเดินทางหมอบอยู่เพียงไม่กี่เมตร" เค ........ อิล ........" นักเวทย์หนุ่มได้ยินเสียงหนึ่งดังมาพร้อมๆกับเสียงแผ่นดินไหว

" เคอิล ........!!!" เสียงนั้นตวาดก้องลึกลงไปใต้ผิวดิน

" เสียงนี้ มันเหมือนกับ .... เหมือนกับมันดังมาพร้อมๆกับเสียงของแผ่นดินไหว " เคอิลคิด

" จง .... มา ........... จง .... มา .......... หา .... ข้า .......... เคอิล ................."

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เสียงที่เคอิลได้ยินไม่เหมือนเสียงของมนุษย์ ไม่เหมือนเสียงอะไรที่เขาเคยได้ยินมาทั้งนั้น มันเหมือนกับแผ่นดินไหวออกมาเป็นเสียงนั้นๆ ราวกับเสียงคำรามของแผ่นดินที่ออกมาเป็นคำพูด มันดังกึกก้องไปรอบตัวเขา

" ได้ยินไหม เจ้าได้ยินอย่างที่ข้าได้ยินไหม ?" นักเวทย์หนุ่มตะโกนถามเซราฟที่หมอบอยู่ข้างตัว แข่งกับเสียงของแผ่นดินไหว

" อะไร ? ได้ยินอะไร ?" นักบวชตัวน้อยตะโกนตอบ แต่เสียงตะโกนกลับสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว น้ำตา

เม็ดโตใส เริ่มหยอดเผาะๆลงบนแผ่นดินที่ไหวสั่นรุนแรง

" ผมกลัว ........ กลัว ..... เมื่อไหร่จะจบเสียที " เซราฟตะโกนกลับมาด้วยความกลัว คว้ามือของเคอิลมาแนบใบหน้าพร้อมกับบีบมือของเขาไว้แน่น

" มา ..... เถิด ......... จง ...... มา ..... า ...... า ........ เคอิล . เอย ... ย .. ย .. ย .. ย "

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการสั่นที่กระแทกเข้ามาอีกระลอกจนทำให้อาคารอีกหลังพังครืนลงมา ฝุ่นควันตลบคละคลุ้งไปทั่ว เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างดังขึ้นพร้อมกับที่เซราฟบีบมือของเขาแน่นขึ้นอีกด้วยความกลัวพร้อมกับน้ำตาที่เปื้อนทั่วใบหน้า

" คิดสิ ทำยังไงดี ? เสียงนั่นเรียกข้า ข้าควรทำอย่างไร ?" เคอิลกัดริมฝีปากล่างพร้อมกับใช้ความคิด

และแล้วมโนสำนึกของนักเวทย์หนุ่มก็สว่างขึ้นวูบหนึ่งในห้วงความคิดของเขา นั่นอาจจะเป็นความคิดที่บ้าระห่ำ แต่ก็สายเกินไปที่จะเปลี่ยนใจ เคอิลดึงมือออกจากเซราฟที่กำแน่น ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พยายามทรงตัวให้ได้บนพื้นดินที่เคยมั่งคงแต่บัดนี้กลับสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ล้ม พร้อมกับถ่มเศษอิฐและฝุ่นที่เข้าปาก รอบกายห้อมล้อมด้วยฝุ่นควันสีขาวจากอาคารที่ถล่มลงมา เคอิลสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด พยายามกลั้นอาการไอที่เกิดจากการสูดฝุ่นเข้าไปด้วย เขากักลมไว้พักหนึ่ง ก่อนที่จะตะโกนก้องสุดเสียง แข่งกับเสียงคำรามของแผ่นดินไหว

" ข้าอยู่นี่แล้ว !!! ถ้านี่เป็นฝีมือของท่าน ได้โปรดหยุดเถิด ! ข้าอยู่นี่แล้ว " เสียงของเคอิลตะโกนก้อง

" ท่านคือยิมิร์ใช่มั้ย ?" ประโยคนี้หลุดออกจากปากของเคอิล เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบของสายลม

ทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของประโยคหมดลง ความมืดมิดก็ห่อหุ้มตัวของเคอิลไว้ทุกด้าน แผ่นดินไหวหยุดลงแล้วหรือ ? หรือว่าตัวเขาเองกันแน่ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทุกอย่างรอบข้างมืดสนิท ไม่มีแสง ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น

" ข้า ... ตายแล้วรึ ?" เคอิลถามตัวเองอย่างประหวั่น พลางใช้มือลูบคลำตัวเองในความมืด แม้แต่ฝ่ามือรวมไปถึงร่างกายของเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ มันมืดสนิทไปหมด

.........................................................

เมื่อมือที่เซราฟกุมไว้แน่นถูกสะบัดหลุดออก ความกลัวก็เข้ามาครอบงำจิตใจของนักบวชหนุ่มทันที เขาเห็นเท้าของเคอิลที่ยันกายลุกขึ้นยืน แต่ฝุ่นควันทำให้เขาไม่สามารถแหงนมองหน้าของเคอิลได้ชัดเจน เท้าของนักเวทย์

หนุ่มเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ล้ม ยืนมั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงตะโกนของเคอิลดังก้อง

" ข้าอยู่นี่แล้ว !!! ถ้านี่เป็นฝีมือของท่าน ได้โปรดหยุดเถิด ! ข้าอยู่นี่แล้ว " เสียงของเคอิลตะโกนก้องไปทั่ว

สิ้นประโยคเพียงอึดใจ แผ่นดินไหวก็สะเทือนลั่นชนิดที่เรียกได้ว่า โลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆก็ไม่ปาน แต่สิ่งที่เซราฟเห็นนั้นน่าตกตะลึงกว่ามาก เท้าของเคอิลที่นั้น บัดนี้กลับลอยสูงจากพื้นที่สั่นไหวราวคืบ ถึงแม้แรงสั่นจะทำให้ภาพที่เห็นดูพร่ามัว แต่ไม่ผิดแน่ ! เท้าของเคอิลลอยสูงขึ้น ไม่สิ ! ร่างกายของนักเวทย์หนุ่มกำลังลอยสูงขี้นจากพื้นดิน

แรงสั่นมหาศาลกินเวลาเพียงอึดใจ และแล้วก็สงบลงในทันที เสียงคำรามก้องของพื้นพสุธาหยุดลง เหลือไว้แต่เพียงเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เสียงร่ำไห้ และเสียงกรีดร้อง ฝุ่นควันต่างๆทิ้งตัวลงเบื้องล่าง หมอกควันจางลง ภาพต่างๆรอบตัวค่อยๆชัดขึ้น เซราฟยกกายลุกขึ้นยืน ฝุ่นควันสีขาวจางลงช้าๆ เผยให้เห็น เคอิลซึ่งบัดนี้ลอยคว้างอยู่เหนือพื้น เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทที่ดูเหม่อลอยทอดสายตาขึ้นไปเบื้องบนอย่างไร้จุดหมาย ร่างกายของนักเวทย์หนุ่มลอยคว้างดั่งขนนกที่กระบิดกระบวนไม่ยอมลงมาสัมผัสพื้นดิน เหล่าเซราฟิมทั้งสี่ที่เข้ามาสมทบเองก็แทบไม่เชื่อสายตา

" ค ... เคอิล ..." เซราฟยื่นมือเข้าไปหมายจะคว้าตัวไว้ เมื่อปลายนิ้วกำลังจะแตะถูกฝ่ามือข้างขวาซึ่งสวมถุงมืออยู่นั้น ก็เกิดประกายพลังบางอย่าง แลบแปลบปลาบออกมาลามเลียปลายนิ้วของเซราฟ นักบวชน้อยชักมือกลับทันที พลังนั่นสร้างความเจ็บปวดแก่เขาไม่น้อย มันเหมือนเป็นเครื่องเตือนว่ามิให้เข้าใกล้ สี่สาวเซราฟิมและเซราฟเองจึงได้แต่เพียงยืนมองเคอิลที่ลอยคว้างอยู่อย่างนั้น

..........................................................................

" นี่ข้าตายแล้วรึ ?" นักบวชหนุ่มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืดที่เข้ามาปกคลุมรอบกาย

" ยังหรอก .... เด็กน้อย ...." เสียงหนึ่งตอบกลับมาจากความมืดอย่างแผ่วเบา เสียงนั้นจับทิศทางที่มาไม่ถูก

" เจ้าเด็กน้อย .... บัดนี้เจ้าเข้ามาใกล้ข้าขึ้นทุกที .. ทุกที ..." เสียงลึกลับดังขึ้นอีก

เสียงนั้นฟังดูคุ้นหู ไม่ผิดแน่ เสียงนี้ ! เสียงที่เหมือนกับเสียงในธรรมชาติที่ดังขึ้นพร้อมๆกันจนเป็นประโยค เสียงน้ำ เสียงฝน เสียงลม เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว เสียงอะไรต่อมิอะไรที่สอดประสานคล้องจองกันจนเกิดเป็นภาษาสำเนียงที่เคอิลได้ยินและเข้าใจ

" ท่านคือ ... ยิมิร์ ?" เคอิลถามย้ำ รอคอยคำตอบที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ

" ใช่ ! ข้าคือยิมิร์ !!! จงมาหาข้า เด็กน้อยเอ๋ย ! จงมา !!!" เสียงนั้นดังก้องไปทั่วภายใต้ความมืดมิด ความกลัวจางๆแล่นเข้าสู่จิตใจของเคอิล เขาไม่ชอบเลยเวลาที่ได้ยินเสียงซึ่งไม่สามารถหาที่มาได้ชัดเจนแบบนี้

" ถ้าเช่นนั้น แผ่นดินไหวนี่ ความวุ่นวายทั้งหมดนี่ ท่านก่อขึ้นรึ ?" นักเวทย์หนุ่มรวบรวมความกล้า ถามขึ้น

" ข้าเอง " เสียงนั้นตอบกลับอย่างเรียบเฉย สะท้อนก้องไปมาอยู่ในห้วงความมืด

" ได้โปรดหยุดเถิด ผู้คนต่างหวาดกลัว และทุกข์ทรมานมากแล้ว " เคอิลวิงวอน

" ทุกข์ทรมานงั้นรึ !!!" เสียงนั้นตวาดก้อง จนเคอิลรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนในร่างกาย

" ข้าต่างหากที่ต้องทุกข์ทรมาน !!! พวกมนุษย์อย่างเจ้าน่ะรึจะมาเข้าใจ นี่ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ข้าได้รับ " ยิมิร์ตวาดก้อง น้ำเสียงดุดัน ความยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ในนั้น ความหวาดกลัวแล่นเข้าจับหัวใจของเคอิลเสียแล้ว

" เจ้าจึงต้องมาหาข้า เด็กน้อย ... จงมา ... แล้วเรื่องเลวร้ายนี้จะจบลง ... จงมาหาข้า " เสียงนั้นดูอ่อนลงเหมือนจะปลอบประโลม

" แต่ว่า .."

" จงมาหาข้า ..... จงมา ...... จง .... มา ...... จ ..... ง ...... ม ...... า ......" เสียงนั้นแผ่วลงช้าๆ พร้อมกับสติของเคอิลที่ค่อยๆดับวูบลง

..............................................................................

สัมปชัญญะของนักเวทย์หนุ่มคืนมาช้าๆ ดวงตาของเขาค่อยๆ เปิดออก แสงสว่างทำให้ดวงตาพร่าเลือน เคอิลหรี่ตาลงเล็กน้อย คอยให้สายตาปรับตัวจนรับแสงได้ กินเวลาซักพักหนึ่ง ภาพจึงชัดขึ้น พบว่าตัวของเขาอยู่ในห้องพักเล็กๆ โดยมีเซราฟที่นั่งเกาะอยู่ข้างเตียงด้วยดวงตาแดงก่ำ ที่แสดงถึงการร้องไห้มาไม่น้อยทีเดียว ศีรษะของนักบวชตัวน้อยยังมีเศษฝุ่นสีขาวจับตามเรือนผมสีทองประกาย นักเวทย์หนุ่มยันกายครึ่งนั่งครึ่งนอน ร่างกายของเขาราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว กล้ามเนื้อทั้งร่างกายอ่อยล้าไปหมด

ทันทีที่เซราฟเห็นว่าเคอิลได้สติแล้ว ก็โผเข้ากอดพร้อมกับปล่อยโฮออกมา นักเวทย์หนุ่มสิ้นเรี่ยวแรงแรงแม้แต่จะปัดป้อง เขามองไปรอบห้องเห็นเซราฟิมทั้งสี่นั่งอยู่รอบห้อง ภายนอกหน้าต่างนั้น เมืองลักซ์ เอล ยูคาลสีขาวสะอาด ที่บาดเจ็บหนักจากการโจมตีของแผ่นดินไหว ต้องแสงสีส้มอมแดงของตะวันยามอัสดง ดูราวกับว่าเมืองทั้งเมืองตกอยู่ในกองเพลิงขนาดมหึมาก็ไม่ปาน

" นี่ข้า ... เป็นอะไรไป ?" เคอิลเอ่ยปากถามขึ้น เพียงแค่การบังคับลมให้ลอดผ่านริมฝีปากในตอนนี้ ก็สามารถทำได้อย่างยากลำบาก

" ก็อยู่ๆ เจ้าก็ .... ลุกขึ้นมา ..... ฮึก !.... ตะโกน ...... ซิกๆ ... แล้วก็ ครืน !!!! ฮึก ! พอหยุด เจ้าก็วิ้งๆ ! ... ฟืด .... แล้วพอผมจะ ...... ฮึก !...... มันก็เปรี๊ยะ ! ใส่ผม ...." นักบวชตัวน้อยคลายอ้อมกอดลง ( นั่นทำให้เคอิลสามารถหายใจได้ทั่วปอดอีกครั้งหนึ่ง ) พร้อมกับพรั่งพรูคำบรรยายอันยากเข้าใจเพราะปนเสียงสะอื้นไห้

" ด ... เดี๋ยว ..... ค่อยๆพูด ข้าไม่เข้าใจ " เคอิลพยายามบังคับให้ลมในปอดลอดช่องคอออกมาจนเกิดเสียง

" ก ... ก็พอเจ้าลุกขึ้นตะโกน แล้วแผ่นดินไหวก็ไหวรุนแรงมาก พอหยุด ... ซิก ... ควันจางลง ข้าก็เห็นเจ้าลอยอยู่ จริงๆนะ เจ้าลอยอยู่ แต่เหมือนกับไม่มีสติ ฮึก !.... พอข้าพยายามจะแตะเจ้า ก็มีพลังอะไรบางอย่างขวางข้าไว้ " เซราฟพยายามเรียบเรียงประโยคใหม่อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สามารถฟังได้ใจความขึ้นมาก

" แล้ว ... ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง " นักเวทย์หนุ่มพยายามถามอีก แต่แค่พูด ก็ทำให้เขาเหนื่อยมากแล้ว

" พวกเราแตะต้องตัวเจ้าไม่ได้ ก็เลยยืนดูอยู่ห่างๆ เจ้าลอยอยู่อย่างนั้นราวๆสิบห้านาทีได้ แล้วก็หมดสติทรุดลงกับพื้น ดีนะที่ข้าพุ่งเข้าไปรับทันเวลา " ซิสิเลียตอบกลับมา

" อา ... แต่ว่าข้า ..." เคอิลต้องการจะเล่าเรื่องที่เขาพบเจอให้ทุกคนฟัง แต่ร่างกายก็ไม่ยอมฝืนมากไปกว่านี้อีกแล้ว เรี่ยวแรงที่จะพูดหายไปหมดสิ้น

" เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าเห็นว่าเจ้าเพลียมาก นอนพักซักคืนคงจะหาย " ซาเวียร์ท้วงขึ้นพร้อมกับเดินมาผลักให้เคอิลนอนราบไปบนเตียง เธอยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายของเขาไว้

" หลับเถอะ พวกข้าก็จะอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ " อักเนสเอ่ยขึ้น แต่สายตาของนางมองทอดไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น

เคอิลค่อยๆผ่อนคลายช้าๆ เขายกมือขึ้นมาลูบเอาเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามเรือนผมของเซราฟออกไปก่อนที่จะยิ้มให้ เป็นการบอกว่า เขาไม่เป็นอะไร และดูเหมือนนักบวชน้อยเองก็เข้าใจ เขาส่งยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับวางศีรษะพาดไปกับท่อนแขนที่วางอยู่ข้างเตียง แล้วค่อยๆหลับลงช้าๆ พร้อมกับเคอิล เซราฟเองก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน

" หลังจากนี้ไป พวกเราเองก็คงต้องเจออะไรไม่น้อยเลยทีเดียว " เดโรนิกาเอ่ยขึ้นเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศอัน

แสนเศร้าสร้อยของเมืองที่ผ่านโศกนาฏกรรม

เหล่านักรบสาวทั้งสี่ต่างค่อยๆหลับพักผ่อนทีละคน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่จะมีในวันรุ่งขึ้น

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.