ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

21

Guardian

พลบค่ำ เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกนำมาไว้ยังห้องรับรองแขกบ้านแขกเมืองแห่งโลอาเมีย ห้องพักมีบรรยากาศอันแสนอบอุ่น แต่ก็แฝงไปด้วยมนตร์ขลังแห่งอดีตกาล บรรดาเครื่องเรือนที่ประกอบจากไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรงดงาม เตียงสี่เสาขนาดใหญ่สองหลังพร้อมกับมุ้งผ้าลูกไม้บางๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่าตนเป็นกษัตริย์ของเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งทีเดียว แต่ขณะนี้เด็กน้อยทั้งสองกลับไม่ได้ใส่ใจในความงดงามเหล่านั้นแม้แต่น้อย

" ป่านนี้แล้ว พวกพี่ๆเซราฟิมจะเป็นยังไงกันบ้างนะ ?" เซราฟกระสับกระส่าย เดินวนไปรอบห้อง " แล้วเรื่องของยิมิร์ล่ะ ? เราจะทำยังไง ?"

" ใจเย็นๆสิ เจ้าเลิกเดินก่อนได้ไหมข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว " เคอิลเคอิลเอ็ดเซราฟ เขาเองก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนักทีเดียว

เซราฟทำตามที่เคอิลบอก เขาหยุดยืนครุ่นคิดเรื่องต่างๆมากมาย เพียงไม่กี่อึดใจประตูห้องก็เปิดออก เหล่าเซราฟิมทั้งสี่เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา สีหน้ายังคงอิดโรยเพราะพิษของฮาร์ปี นักบวชตัวน้อยเจ้าของเรือนผมสีทองโผเข้าไปกอดสี่สาวนักรบทันทีด้วยความดีใจ

" ท่านเซราฟ ไม่เป็นไรใช่ไหม ?" ซิสิเลียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง พลางสำรวจทั่วเรือนร่างของนักบวชหนุ่ม

" ผมไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่พวกพี่ๆเถอะ " เซราฟสบตาเหล่าราชองครักษ์ทีละคน พวงนางยังคงมีสีหน้าอิดโรย

" พวกเราก็ไม่เป็นไรมากหรอก พักอีกซักคืนก็คงจะหายดี " อักเนสเอ่ย

" ว่าแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมนักปราชญ์คนนั้นต้องทำร้ายเราด้วย ?" ซาเวียร์เริ่มคำถามขึ้นมา

เด็กน้อยทั้งสองก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆขณะที่กำลังถูกนำตัวมาจนถึงโลอาเมียให้ฟังจนหมด

" แล้วท่านซอนญ่า ก็อนุญาตให้เราพักได้แค่คืนนี้เท่านั้น หลังจากนั้นท่านกำชับให้เรากลับไปทันที " เคอิลปิดการเล่าเรื่องด้วยคำสั่งของซอนญ่าที่ทิ้งไว้

" บ้ารึเปล่า ! ถ้าเช่นนั้นที่เราเดินทางมาตั้งไกลก็เสียเปล่าน่ะสิ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าของที่เราต้องการอยู่ที่นี่ ยังไงข้าก็ต้องพาพวกเจ้าออกไปค้นหาสิ่งนั้นให้ได้ " ซิสิเลียหุนหันขึ้นมาทั้งๆที่อาการยังไม่หายดี ร่างกายโอนเอนดวงตาหรี่ปรือ พิษของฮาร์ปียังไม่หายสนิท

" พักก่อนเถอะ ตอนนี้พวกเราน่ะไม่ไหวกันหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยหาทางกันอีกที " เดโรนิกาออกความเห็น แม้แต่บนใบหน้าอันแสนเรียบเฉยของเธอก็ยังมีความอิดโรยเหนื่อยล้าฉายฉาบอยู่จางๆ

" นั่นสิครับ พวกพี่ๆไปพักกันก่อนเถอะนะครับ " เซราฟเห็นด้วย ท้องฟ้าภายนอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

เหล่าอัศวินสาวได้ทิ้งคราบนักรบไปจนหมด ต่างทิ้งกายลงนอนบนเตียงสี่เสาหลังหนึ่ง ซึ่งขนาดทั้งสี่คนลงไปนอนแล้ว ยังมีที่มากพอเหลือให้นอนได้อีก ๓ - ๔ คนทีเดียว เพียงเวลาไม่นาน เหล่านักรบสาวต่างก็ตกอยู่ในห้วงแห่งนิทราเสียสิ้น

" งั้นเราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ " นักเวทย์หนุ่มปลดผ้าลูกไม้คลุมเตียง ก่อนที่จะลากตัวเซราฟออกมานอกห้อง

" จะออกไปได้เหรอ ? ผมว่าต้องมีคนเฝ้าพวกเราอยู่แน่ๆ " เซราฟทัก พยายามงับบานประตูให้เบาที่สุด

เด็กน้อยทั้งสองเดินมายังประตูใหญ่หน้าบ้านพักรับรอง มีนักสารยเวทชายสองคนยืนเฝ้าอย่างแข็งขัน

" พวกเจ้าออกไปไม่ได้ ! นี่คือคำสั่งของท่านซอนญ่า " สารยเวทหนุ่มนายหนึ่งประกาศลั่น จึงทำให้ทั้งสองต้องหันหลังกลับไป

" ไม่ให้ออกทางประตู พวกเราก็ออกทางหน้าต่างก็ได้ " ความคิดในหัวของเคอิลแล่นปราด

พวกเขาตรงกลับเข้าไปที่ห้องพักอย่างเงียบกริบ เหล่าเซราฟิมยังคงหลับสนิทอย่างมีความสุข เคอิลค่อยๆแง้มหน้าต่างช้าๆ พยายามไม่ให้เกิดเสียงบานหน้าต่างเสียดสีกัน ก่อนที่จะปีนขึ้นไปและกระโดดออกออกห้องอย่างเงียบกริบ

" เอ้า ! ลงมาสิ เร็วๆ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า " เคอิลส่งเสียงกระซิบกระซาบท่ามกลางความมืด ภายนอกนั้นเริ่มมืดแล้ว เส้นผมสีดำสนิทของเขาแทบจะกลืนหายไปกับบรรยากาศ

เซราฟเกาะขอบหน้าต่างไว้แน่น เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบที่ขอบหน้าต่างไว้แล้ว แต่อีกข้างหนึ่งก็ยังอยู่ในห้อง

" ผมกลัวนี่นา " นักบวชหนุ่มตัวสั่นน้อยๆ ร้องขึ้นมา

" กระโดดลงมาเถอะ เดี๋ยวข้ารับเอง " เคอิลผายมือทั้งสองข้างออกออก เป็นสัญญาณว่าให้กระโดดมาทางเขา

" ไม่เป็นไรแน่เหรอครับ ?" เซราฟถามซ้ำ

นักเวทย์หนุ่มส่ายศีรษะพร้อมกับผายมือออกกว้าง ส่งสายตาไปยังเซราฟ

นักบวชตัวน้อยตัดสินใจกระโดดลงไปหาเคอิล เขารับเซราฟไว้ได้ สองมือของเขาโอบรอบตัวนักบวชน้อยไว้ ทั้งคู่ล้มกลิ้งกันอยู่บนพื้นหิน ใบหน้าอยู่ใกล้กันจนลมหายใจรดใบหน้า

" ตัวเจ้าเบากว่าที่คิดไว้แฮะ " เคอิลเอ่ยทั้งๆที่เซราฟยังคงนอนคร่อมร่างเขาไว้

" อ๊ะ ! ขอโทษครับ " เซราฟรีบยันกายลุกขึ้นทันที

" ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย " นักเวทย์หนุ่มลุกขึ้นปัดฝุ่นออกไปจากผ้าคลุมของเขา

และแล้วทั้งคู่ก็ได้ออกมายังนอกอาคาร กลางเมืองโลอาเมียที่งดงาม และเมื่อได้สัมผัสกับความมืดยามค่ำคืนก็ยิ่งขับให้ตัวเมือง ดูน่าเกรงขามมากขึ้นเท่านั้น เมืองทั้งเมืองเป็นสีน้ำตาลอมเทา และตามพื้นดิน ผนังอาคาร และวัสดุตบแต่ง ก็ล้วนแต่มีอักษรแปลกๆเรืองแสงสีเขียวอ่อนๆ แสงจากอักษรไม่เจิดจ้า มันส่องสว่างนวลตา และสว่างเพียงพอที่จะช่วยให้มองเห็นในยามค่ำคืน

" อักษรรูน !!!" เซราฟโผเข้าหาผนังของอาคารหลังหนึ่งทันที ดวงตาสีเขียวเข้มจับจ้องไปตามตัวอักษรอย่างไม่วางตา นิ้วมือเรียวยาวลูบไปตามแนวอักษร ดูเหมือนต้องการให้อักษรเหล่านั้นละลายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปลายนิ้ว

" ที่หอคอยของพิเมนต้า เจ้าก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ?" เคอิลถามอย่างสงสัย แต่ตัวเขาเองก็ยังคงตื่นตะลึงไปกับบรรยากาศรอบข้างเช่นกัน

" ที่พิเมนต้าน่ะ เขียนขึ้นเพื่อใช้ในเชิงเวทมนตร์ แต่ที่นี่มัน ... ดูสิ ! อักษรเหล่านี้ถูกแกะขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆมากกว่าที่จะใช้ในเชิงเวทมนตร์ " เซราฟตอบกลับทันควัน ทั้งที่ดวงตาที่ส่องประกายความอยากรู้อยากเห็นยังจับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรต่างๆ

" นี่เจ้าอ่านมันออก อย่างนั้นเหรอ ?" นักเวทย์หนุ่มถามขึ้น คิ้วสีดำขลับของเขาขมวดอย่างแปลกใจระคนสงสัย

" ไม่มากหรอก ผมเองก็ยังศึกษามาไม่มากพอ " เซราฟตอบแบบขอไปที ตอนนี้สมาธิของเขาอยู่ที่ตัวอักษรเท่านั้น ดวงตาสีเขียวมรกตสะท้องแสงจากอักษรยิ่งทำให้สีมรกตเป็นประกายงดงาม

" ไม่นึกเลยว่าเห็นเจ้าน้ำตาขนาดนี้ เจ้าจะมีความสามารถที่น่าทึ่ง " เคอิลกระซิบให้กับตัวเองซึ่งก็ดูเหมือนว่าเซราฟเองก็ไม่ได้ยิน

" และแล้ว เทพบิดรโอดินก็เอ่ย .... เฮลบุตรีแห่ง โลคิ ..... จงลงไป .... เบื้องล่าง ........ ปกครองเหล่าคนตาย ......... หว๋า ! เสียดายจังตรงนี้ผมอ่านไม่ออก อืม ....... อ่านไม่ออกเลยแฮะ ... จนมาถึงตรงนี้ " เซราฟตั้งหน้าตั้งตาอ่านเหล่าตัวอักษรที่อยู่บนผนังอย่างกระท่อนกระแท่น " อา ... ตรงนี้ผมได้ โอดินจับงูยักษ์ ....... โยน .... .... อืม .... โย ..... โยมุงกานด์ .... ลงใน .... มหาสมุทร ........ งู .... ใหญ่ขึ้น ........ โอบล้อมแผ่นดิน ............ อ่านยากจริง ! ............. มันงับ ...... หางมัน ...... รอคอยวันแห่งการรบครั้งสุดท้าย ......" นักบวชตัวน้อยพยายามแกะอักษรเหล่านั้นออกมาเป็นประโยค

" นี่บ่นอะไรของเจ้าน่ะ ข้าฟังไม่รู้เรื่อง " เคอิลที่อดทนยืนฟังอยู่นานก็ทนไม่ไหวจนต้องเหน็บขึ้นมา

" ผมอ่านได้เท่านี้ก็เต็มกลืนแล้วนะครับ อย่าว่ากันสิ " เซราฟเริ่มหงุดหงิด เขาเองพยายามอ่านตัวอักษรโบราณเหล่านี้อย่างยากเย็น

" แต่เราต้องไปต่อแล้วนะ เราต้องออกตามหายิมิร์ จำไม่ได้เหรอ ?" เคอิลเป็นฝ่ายหัวเสียบ้างแล้ว เซราฟเองมันแต่สนุกอยู่กับอักษรโบราณเสียจนลืมวัตถุประสงค์หลักไป

" ขออีกแป๊ปเดียวนะครับ " เซราฟต่อรอง แต่ไม่หันกลับมามองเคอิลเลยแม้แต่นิด

ท่ามกลางแสงสว่างอันรำไร เด็กหนุ่มผมดำสังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งเดินตะคุ่มมายังพวกเขาไม่ไกลนัก

" หลบก่อนมีคนมา !" เคอิลฉุดกระชากเซราฟให้หลบเข้าไปในอาคารหลังนั้น หลังที่เซราฟอ่านข้อความยากที่จะเข้าใจจากผนังด้านนอกนั่นเอง

เมื่อเท้าของทั้งคู่ได้สัมผัสกับพื้นหินอ่อนภายในอาคาร กลิ่นที่คุ้นจมูกก็แตะประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว กลิ่นของกระดาษ ทั้งคู่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองทีเดียว ภายในอาคารหลังนั้นเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ที่กินพื้นที่เพียงไม่มาก หากแต่ผนังทุกด้านถูกบดบังไปด้วยชั้นหนังสือจนไม่สามารถมองเห็นผนังที่เป็นหินสีเทาหม่นได้เลย ภายในชั้นต่างๆก็มีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มไปหมด ชั้นแต่ละชั้นก็สูงจนจรดเพดานทีเดียว แสงสว่างเพียงแห่งเดียวในห้องเล็กๆนี่ก็คือแสงไฟจากเพดาน มันส่องสว่างจากเพดานทั้งผืนโดยไม่มีกองไฟใดๆเลย เผดานทั้งแผ่นส่องแสงสว่างสบายตาเหมาะต่อการอ่านหนังสืออย่างยิ่ง

ทั้งคู่ต่างยืนตกตะลึงอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จนเซราฟตั้งสติได้ ก็โผเข้าหาชั้นหนังสือที่ใกล้ที่สุดทันที ตามติดมาด้วยเคอิลที่ตรงเข้าสำรวจชั้นถัดมา

" นี่มัน ... เหมือนฝันชัดๆ มีแต่หนังสือเต็มไปหมด " นักเวทย์หนุ่มไล่นิ้วสำรวจชื่อตามสันหนังสือ

" ให้ผมอยู่นี่ทั้งวันก็ได้เลยนะเนี่ย ผมว่าภายในเมืองนี้ ยังต้องมีห้องสมุดที่อื่นอีกแน่ๆ " เซราฟเอ่ยอย่างร่าเริง พวกเขาทั้งสองคนต่างสนุกสนานและตื่นเต้นกับหนังสือจำนวนมากเสียจนลืมสิ้นทุกสิ่ง

สิ่งที่สะดุดตาที่สุด เห็นจะเป็นชั้นหนังสือที่อยู่กลางห้อง ชั้นนี้สูงเพียงระดับเอวเท่านั้น แต่สิ่งที่ตั้งอยู่บนชั้นนั้นตระการตายิ่งนัก เป็นหนังสือปกหนังสีแดงเข้มแถวหนึ่ง โดยเฉพาะที่หัวแถว และท้ายแถวมีที่พิงหนังสือรูปมังกรทำจากหินสีดำสนิท ปีกลู่อยู่ข้างกายท่าทีสงบเสงี่ยม ดูราวกับว่ามันเป็นเทพอารักษ์ของหนังสือชุดนี้ก็ไม่ปาน

เด็กหนุ่มทั้งสองละสายตาจากหนังสือตรงหน้า เดินเข้าไปยังชุดหนังสือชุดนั้นทันที ที่สันหนังสือทุกเล่มขึ้นหัว ตัวหนังสือสีทองว่า " เทวปกรณัม " และตามด้วยชื่อของหนังสือแต่ละเล่ม

" เอซิร์ (Asir), วานิร์ (Vanir), แอสการ์ด (Asgard), มิดการ์ด (Midgard), อุทการ์ด (Utgard)..... นี่มัน .... เหมือนกับสารานุกรมเลย " เคอิลไล่นิ้วพร้อมกับกวาดสายตาไปตามสันหนังสือ

เซราฟตัดสินใจหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ที่สันเขียนว่า " วัลฮัลลา (Valhalla)" มันหนักพอดูทีเดียว เขาต้องใช้กำลังไม่น้อย เพื่อที่จะลากมันออกมาจากชั้น และอุ้มมันไว้ที่อก ทว่าจู่ๆ รูปสลักมังกรหินสีดำที่ทำหน้าที่เป็นที่กั้นพิงหนังสือก็กางปีกออกกว้าง เสียงหินบดกันดังก้อง มันกระพือปีกเบาๆพร้อมกับยกหัวขึ้นสูง ดวงตาสีดำเช่นเดียวกับกายของมันจับจ้องมาที่เซราฟ มันก้มหัวลงต่ำเตรียมพร้อมจู่โจม ก่อนจะกางปีกเหยียดออกจนสุด ยาวราวๆหนึ่งช่วงแขนได้

" วางมันลง !!!" เคอิลตะโกนสุดเสียง แต่สายเสียแล้ว ... เจ้ามังกรพุ่งถลาตรงมายังเซราฟด้วยกับร่างกายที่เป็นหินของมัน

ปีกที่กางออกกว้าง และกรงเล็บหินสีดำสนิทพุ่งเข้าหานักบวชตัวน้อยหมายจะขย้ำให้แหลกละเอียด เซราฟร้องตะโกนด้วยความตกใจ ก้มลงหมอบกับพื้นพร้อมกับหนังสือที่กอดอยู่ที่อกขณะที่ปลายเล็บของมังกรเฉียดศีรษะของเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เจ้ามังกรหินกระพือปีกตีวงโค้งกลับมา หมายจะจู่โจมซ้ำ แรงลมจากแผ่นปีกหนาหนักทำให้หนังสือบางเล่มที่วางอยู่พลิกเปิดไปมา

" ลุกขึ้น !!! เร็วเข้า !" เคอิลวิ่งเข้าไปพยุงตัวเซราฟ

ทว่า มังกรหินตัวนั้นเข้ามาใกล้เกินไปเสียแล้ว มันอยู่ห่างจากพวกเขาไม่เกินสองช่วงแขนพร้อมกับกรงเล็บแหลมคม เคอิลคว้าตัวเซราฟมากอดไว้ส่วนแขนอีกข้างยกขึ้นบังตัวเองตามสัญชาตญาณ สองตาหลับสนิท รอคอยแรงปะทะจากการจู่โจม

เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง แรงปะทะจากการโจมตีก็ยังไม่มาถึงนักเวทย์ตัวน้อยลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นมังกรหินสีดำขลับ กำลังยืนนิ่งอย่างสงบเสี่ยมอยู่แทบเท้าของทั้งคู่ ดวงตาสีนิลของมันจ้องอยู่ที่เคอิลไม่วางตา

" อะไรกัน แปลกจริง " นักเวทย์หนุ่มอุทาน พลางสะกิดเซราฟที่กอดหนังสือตัวสั่นอยู่ในอ้อมอกของเขา

เคอิลเอื้อมมือเข้าไปหามังกรหินอย่างหวาดๆ แต่ด้วยท่าทีที่สงบเสี่ยมของมันพร้อมกับปีกที่หลุบลู่ จึงทำให้เขาเกิดความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย

" ระวังนะ ..." เซราฟเอ่ยเตือนเบาๆขณะที่เคอิลยื่นมือใกล้ตัวมังกรมากขึ้น นักบวชตัวน้อยยังคงกอดหนังสือแน่นอยู่ในอกของเคอิล นักเวทย์หนุ่มพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับ พอดีกับที่มือของเขาสัมผัสกับส่วนหัวของมังกรศิลาได้พอดี

พลันปลายนิ้วของเคอิล ก็รับเอาความรู้สึกอันปิติล้นพรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ ความรู้สึกที่คุ้นเคย และเป็นกันเองจากมังกรหินสีดำสนิท

" มังกรตัวนี้เป็นผู้พิทักษ์หนังสือชุดนี้ " เคอิลพูดขึ้นเบาๆ เขารับเอาความรู้สึกของมังกรตัวนี้เข้ามาในจิตใจ เหตุใดหนอ ? เขาจึงสามารถสัมผัสถึงจืตใจของมันได้

เซราฟวางหนังสือหนาหนักในมือเขาลองกับพื้น พร้อมกับเลื่อนไปตรงหน้าของมังกรหิน

" ผมคืนให้ก็ได้ครับ ขอโทษฮะ ผมไม่ได้ตั้งใจ " นักบวชผมทองตัวน้อยเอ่ยอย่างหวาดๆ

มังกรหินใช้จมูกดันหนังสือเข้าหาเคอิล เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า " ท่านสมควรแก่การอ่าน "

" ขอบคุณครับ ผมจะอ่านอย่างระมัดระวัง " เคอิลกล่าวอย่างนอบน้อม

" อะไรกัน ลำเอียงจัง ทีผมไม่ให้แตะ " เซราฟตัดพ้อ

" งั้นก็เอาไปอ่านสิ ข้าอนุญาต " เคอิลยื่นหนังสือให้ ก่อนที่จะลุกขึ้นสำรวจหนังสือในชั้นอื่นๆ

เซราฟรับหนังสือปกหนังสีแดงเข้มเล่มนั้นมาไว้ในมือ พร้อมๆกับส่งสายตาไปสังเกตมังกรที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า มันยังสงบดีอยู่แสดงว่าคำอนุญาตของเคอิลมีผล ดวงตาสีดำขลับใสแป๋วจับจ้องมองเขาอย่างน่าเอ็นดู แทบไม่น่าเชื่อว่าไม่ถึงสิบนาทีก่อน มันเกือบจะฆ่าเขาแล้วด้วยซ้ำ

" ทำไมกันนะ ? ทำไมมังกรถึงเข้ามาทำร้ายผม แต่ไม่ทำร้ายเคอิล " เซราฟขบคิด แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หนังสือปกสีแดงเข้มในมือของเขามันเรียกร้องมากกว่านัก

ปกหนังสีแดงเข้มพิมพ์ตัวหนังสือสีทองว่า " วัลฮัลลา (Valhalla)" นักบวชน้อยพลิกเปิดหน้าปกออก กลิ่นอับของกระดาษโชยเข้ามาแตะจมูก แผ่นกระดาษหนาเป็นสีเหลืองบ่งบอกถึงอายุอานามของมัน ตัวหนังสือเป็นหมึกสีดำเขียนด้วยลายมือจากปากกาคอแร้งอย่างประณีตบรรจง

ทางเคอิลเองก็ได้พบกับหนังสือน่าอ่านเช่นกัน เขาคว้าเรื่อง " คำพูดศักดิ์สิทธิ์ อำนาจแห่งภาษา " มาพลิกเปิดอ่านอย่างตั้งใจ พลางย่อตัวลงนั่งกับพื้น

ท่ามกลางความสุขเล็กๆน้อยๆของทั้งสอง หายนะอันยิ่งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.