ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

12

Lonesome

ขณะนี้เด็กหนุ่มทั้งสองคนกำลังยืนอยู่หน้าซุ้มประตูรูปร่างประหลาด ซึ่งไม่เคยพบเห็นในแอมโบรเซียหรือพิเมนต้ามาก่อนเลย กระเบื้องเคลือบสีเขียวสดสวยถูกปูมุงเป็นหลังคาทรงแปลกตา หลังซุ้มประตูเป็นสะพานทอดยาวไปจนถึงพระราชวังที่ตั้งอยู่สุดสายตา

"ศิลปะแบบโยเร" เคอิลพึมพำพลางกวาดสายตาไปตามซุ้มประตูที่มุงกระเบื้องสวยงาม มีป้ายที่เขียนด้วยภาษาที่พวกเขาไม่รู้จัก

เมื่อทั้งสองเดินผ่านซุ้มประตูตรงเข้าไปตามทางยาวของทางเดินปูด้วยหินสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดตรงไปยังหน้าพระราชวัง เมืองนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ปกครองตนเอง เป็นอิสระจากเมืองอื่น ผู้คนที่นี่มีเส้นผมและดวงตาที่เข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ แต่ก็ไม่คล้ายเคอิลเลยเพราะหางตาที่ตวัดชี้ขึ้น กับสำเนียงภาษาที่แปลกหู ทั้งยังรูปร่างที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปในอาณาจักรโทเทีย ภาษาของที่นี่แปลกและยากที่จะฟังออก เซราฟบอกว่า นั่นคือภาษาพื้นเมืองของโยเร

เมื่อเด็กทั้งคู่เดินไปจนถึงหน้าพระราชวัง รูปแบบการสร้างและสถาปัตยกรรมที่แปลกประหลาดปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา เสาไม้สแดงสด ต้นใหญ่ขนาดสองถึงสามคนโอบวางตั้งเรียงราย บานประตูไม้ทรงครึ่งวงกลมสีแดงประดับตะปูทองคำยักษ์ และหน้าต่างไม้ฉลุลายงดงาม เมื่อดูจากภายนอก ทั่วทั้งวังมีเพียง สีแดง เขียว และทองเท่านั้น แต่ก็ดูสง่างามและยิ่งใหญ่ในที

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพิจารณาความงามของตัวประสาทอยู่นั้นเอง ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านพวกเขาไป

"ขอโทษนะครับ!" นักเวทย์หนุ่มร้องทัก

เด็กหญิงหันกลับมาตามเสียงเรียกพวงแก้มเป็นสีชมพูสดสวย "หนี่เหมินซื่อเสินเมอ?"

"ขอโทษนะครับ!" เคอิลอุทาน ใจนึกสงสัยว่าเด็กคนนี้จะพูดภาษากลางได้หรือไม่

"ไอ๊ย่ะ! ต้วยปู้ฉี! ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ช่วยคะ คนต่างถิ่น?" เด็กหญิงคนนั้นกลับมาตอบด้วยภาษากลางสำเนียงแปร่งๆ เหมือนกับพูดติดสำเนียงโยเร

"ไม่ทราบว่าเราจะพบคุณ เอ่อ.... คุณซองจี ได้ที่ไหนเหรอครับ?" เคอิลพยายามพูดให้ช้าและชัดที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้

"อ้อ! ท่านซองจีอยู่ที่วัดน่ะค่ะ" เด็กคนนั้นตอบกลับมาด้วยสำเนียงแปร่งๆอีกครั้ง เคอิลและเซราฟพยายามฟังอย่างสุดความสามารถ

"ไม่ทราบว่าวัดอยู่ที่ไหนครับ" นักบวชน้อยพูดช้าๆ

"ทางตอนเหนือของหมู่บ้านน่ะค่ะ เดินอ้อมวังไป" เธอตอบกลับมาแล้วเดินจากไปทั้งที่เด็กทั้งสองยังไม่ทันกล่าวขอบคุณ

เด็กหนุ่มทั้งคู่เดินอ้อมพระราชวังไปทางขวา ระหว่างทางก็เดินผ่านบ้านเรือน ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เล็กและเงียบสงบใกล้ชิดธรรมชาติมาก สิ่งปลูกสร้างส่วนมากก็ทำจากไม้และตบแต่งอย่างงดงามวิจิตร ผู้คนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าพื้นเมืองที่สวยงาม ผิวของพวกเขาขาวนวล โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นสีขาวนวลอมเหลืองแต่ก็มีสีชมพูจางๆ ต่างจากคนในเมืองหลวงมาก ภายในหมู่บ้านมีต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้มให้ร่มเงา ราวกับว่าหมู่บ้านเล็กๆนี้ผุดขึ้นกลางป่าอันสวยงาม เด็กทั้งสองเดินไปจนพบตรอกเล็กๆตัดตรงขึ้นไปยังเนินเขาเตี้ยๆ มีต้นไม้ขึ้นครึ้มดูสบายตา ปิดแผ่นฟ้าเสียมิดราวกับอุโมงค์ต้นไม้

"เอ... แล้ววัดอยู่ไหนล่ะ?" เคอิลบ่นเปรย

ทั้งสองพยายามกวาดสายตาไปมาเพื่อหาวัดที่ว่า จนสายตาสะดุดกับเงาตะคุ่มของคนสองคนที่กำลังเดินลงจากเนินอุโมงค์ต้นไม้ตรงมายังพวกเขา เคอิลและเซราฟพยายามเพ่งมอง จนเริ่มสังเกตได้ว่าที่เดินมานั้นเป็นผู้หญิงสวมชุดสีเหลืองที่ตัดเย็บอย่างแปลกประหลาดแขนเสื้อเป็นแขนยาวเปิดกว้าง สวมหมวกสูงสีเหลืองทรงกระบอกที่ยอดหมวกพับม้วนไปทางด้านหลัง แต่อีกคนที่เดินมาด้วยนั้น ไม่น่าจะเรียกว่าเดิน แต่น่าจะเรียกว่ากระโดดตามมามามากกว่า

"เอ้อ! คุณครับ! ขอโทษนะครับ!" เคอิลตะโกนเรียกพวกเขาทั้งสองคน

ราวกับได้ยินเสียงเรียกของเด็กๆ พวกเธอเดินตรงเข้ามา จนเด็กทั้งคู่สามารถเห็นหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน คนที่สวมหมวกแปลกๆ และสวมชุดสีเหลืองนั้น เป็นสาววัยรุ่นผมม้าสีดำเข้มยาวเหยีดตรง ส่วนอีกคนที่กระโดดตามมานั้น สวมหมวกทรงประหลาด เป็นหมวกปีกตั้งสีดำยอดหมวกเป็นครึ่งวงกลมตรงปลายประดับพู่สีแดงเล็กๆ มีแผ่นกระดาษสีเหลืองที่เขียนอักขระแปลกๆสีแดงแปะอยู่ด้านหน้า ชุดที่เธอสวมก็เป็นสีดำหม่นทั้งชุด ตัดเย็นอย่างสวยงามเหมือนเป็นชุดพื้นเมือง ใบหน้าของเธอนั้นถูกบดบังด้วยแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ติดอยู่กับหมวกแต่ก็เห็นได้ว่าผิวเธอขาวซีดราวกับไม่มีชีวิต ผมสีน้ำตาลเข้มหนายาวถูกรวบถักเป็นเปียอย่างสวยงาม

"มีอะไรเหรอจ๊ะ?" เธอคนที่สวมชุดสีเหลืองถามพวกเขา สำเนียงของเธอชัดเจนอย่างน่าประหลาด ไม่มีแปร่งหูเหมือนชาวบ้านทั่วไป

"พวกผมตามหาคนที่ชื่อซองจีอยู่น่ะครับ" เซราฟถาม

"เธอจุดไต้ตำตอแล้วล่ะจ๊ะ ฉันนี่แหละ ซองจี" เธอหัวเราะเบาๆ

"พี่เอมิเลียแนะนำให้ผมมาหาคุณ" เซราฟบอกแก่เธอ

"อ้าว! รู้จักเอมิเลียด้วยเหรอ? งั้นตามมาเลยจ้ะ ไปคุยกันในวัดดีกว่า" ซองจีพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง แล้วเริ่มออกเดินนำเด็กทั้งสองขึ้นไปตามทางที่ทอดขึ้นเนิน

"แล้วเอ่อ คุณอีกคนล่ะครับ?" เคอิลถามถึงเด็กผู้หญิงสวมชุดดำที่กำลังกระโดดตามเธออยู่

"อ้อ! เธอตายแล้วน่ะ พูดไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก" ซองจีหันมาพูดหน้าตาเฉยก่อนจะก้าวเดินต่อไป

เคอิลและเซราฟขนลุกเกรียว นี่พวกเขากำลังเดินอยู่กับผู้หญิงประหลาดที่มีศพเด็กสาวกระโดดตามเธออยู่! เด็กทั้งสองทิ้งระยะห่างจากเธอทั้งคู่พอดู จนกระทั่งทั้งสามคนกับอีกหนึ่งร่างก็เดินมาจนถึงวัดเล็กๆบนเนินเขา ที่เด็กทั้งสองไม่สามารถมองเห็นวัดจากเบื้องล่างได้อาจเป็นเพราะแมกไม้ที่ขึ้นอยู่รกครึ้มบดบังสายตาไว้ก็เป็นได้ เซราฟสังเกตเห็นถ้ำที่ปากถ้ำมีเชือกพาดกั้นทางเข้าอยู่ อยู่ห่างจากวัดเพียงไม่กี่ก้าว

"ถ้ำนั่น?" เซราฟชี้นิ้วไปที่ถ้ำนั้นด้วยความสงสัย

ซองจีหันไปมองตามปลายนิ้วของเซราฟ "สุสานหลวงน่ะ ที่นั่นแหละ ที่เอมิเลียเข้าไปฝึกฝนวิชาอยู่ร่วมหกเดือน" พูดจบเธอก็ก้าวเข้าวัดไปทันที

..........................................

ถึงแม้ดูจากภายนอกจะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ภายในกลับดูโอ่โถง ด้วยเสาที่เรียงตัวขนานกันเป็นคู่ๆ ทอดยาวออกไป จนถึงพระพุทธรูปองค์โตสีทองอร่ามที่ดูสง่างามแฝงความเมตตาอยู่ในแนวพระเนตรที่ทอดลงมา กลิ่นเครื่องหอมจางๆ ลอยแตะจมูก ปนกับกลิ่นไม้ภายในวัด เพดานด้านบนเปิดโล่งเผยให้เห็นถึงขื่อที่ทอดตัวเรียงรายไปมาอย่างเป็นระเบียบ และแล้วทั้งหมดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปองค์โต

"รอที่นี่ซักครู่นะ ไม่รู้วันนี้วันดีอะไร? แขกมากันเยอะไปหมด" ซองจีพูดแล้วเดินอ้อมไปทางหลังพระพุทธรูป น่าแปลกที่ศพเด็กผู้หญิงกลับยืนนิ่ง ไม่ตามไป

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากหลังพุทธรูปพร้อมกับเสียงวัตถุหนักๆที่ลากเข้ามาด้วย ซองจีเดินก้าวออกมา ตามด้วยแขกอีกคนหนึ่ง เมื่อเด็กทั้งสองหันกลับไปมองก็ต้องตกใจ แขกที่ว่านั้นคือนักสารยเวทสาวผมสีม่วงที่ขมวดมวยมุ่นอยู่ด้านหลัง เดินลากรถเข็นคันเล็กๆเข้ามา

"พวกเธอ!" "คุณ!" ทั้งสามอุทานพร้อมกัน นักสารยเวทสาวคนนั้นยกมือขึ้นบังรถเข็นไว้ เหมือนกลัวว่าพวกเด็กๆก่อเรื่องทำลายมันอีก

"อ้าว! รู้จักกันหรอกเหรอ?" นักพรตสาวถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

"เปล่าหรอก ไม่รู้จัก แต่ว่าเด็กพวกนี้มัน... เอ้อ! ช่างเถอะ" เธอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

"งั้นเรามาแนะนำตัวกันดีกว่ามั้ย?" ซองจีพูดขึ้น "ชั้น ยอง ซองจี เป็นหัวหน้านักพรตของหมู่บ้านแห่งนี้"

"เทซซ่า พรูเดนเทีย นักเล่นแร่แปรธาตุจากโลอาเมีย" เธอเอ่ย เหมือนกับว่าพูดไปตามมารยาทเท่านั้น

เด็กทั้งสองก็เช่นกัน ต่างก็กล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แล้วทั้งหมดก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ จนซองจีรู้สึกอึกอัด

"อ้อ! ส่วนแม่หนูน้อยคนนี้ชื่อว่ามินฟานะ เธอคงลืมแนะนำตัวเองไป" ซองจีพูดพร้อมๆกับผายมือไปทางศพหญิงสาวคนนั้นที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ยิ่งทำให้เด็กทั้งสองขนลุกเกรียว

"จริงสิ เห็นว่าเทซซ่าจะมาหาชั้นเพราะมินฟานี่นา" ซองจีเอ่ยขึ้น

"ใช่ ว่าแต่ว่าเธอคนนี้ตายแล้วจริงๆเหรอ?" เทซซ่าถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ เด็กทั้งสองก็เช่นกัน ต่างรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

จังหวะปะเหมาะพอดีกับที่มีนักบวชกลุ่มหนึ่งถือเก้าอี้แบบไม่มีพนักพิงเข้ามาวางให้แก่แขกเหรื่อและซองจี ทั้งหมดนั่งกันเป็นวงกลมโดยมีมินฟายืนนิ่งอยู่ไม่ห่าง

"ถ้าพวกเธอไม่ติดธุระอะไรจะฟังไปด้วยกันก็ได้นะ" ซองจีหันมาทางเด็กหนุ่มทั้งสอง

"ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือผีดิบหรือผีกัด กวนชี (Kuang Shi) ซึ่งผีเหล่านี้ไม่ใช่ดวงวิญญาณ หากแต่เป็นซากศพแท้ๆที่ลุกขึ้นมาราวกับมีชีวิตอีกครั้ง" นักพรตสาวลุกขึ้นเดินตรงไปทางมินฟาราวกับเธอกำลังบรรยายอยู่ในวิชาการเรียนการสอน

"ศพพวกนี้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเหล่านี้ตายอย่างโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งการประกอบพิธี และการทำบุญ ซึ่งนั่นแตกต่างจากความเชื่อของพวกเธอที่ต้องเอาศพไปฝัง แต่ของพวกเราคือต้องเผา การที่เหล่าผู้ตายไม่ได้รับการประกอบพิธีตามความเชื่อของเขาเหล่านั้น จึงเกิดแรงขับขึ้นภายในดวงจิตอันโหยหา พวกเขาเหล่านั้นจึงลุกขึ้นมาเป็น กวนชี ศพเดินได้อย่างที่เห็นกัน"

"แล้วพวกเขาลุกขึ้นมาทำไมกันครับ?" เคอิลถามขึ้น

"ชั้นเองก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกนะ เพราะยังไม่เคยเป็น กวนชี มาก่อน บ้างก็ว่ากันว่า พวกเขาเหล่านี้ลุกขึ้นมาแก้แค้นเหล่ามนุษย์ที่ทิ้งให้พวกเขาโดดเดี่ยว" ซองจีเอ่ยขึ้นมีสีหน้าเศร้าหมอง

"แม่หนูน้อยคนนี้ก็เช่นกัน เธอถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย เดิมทีเธอเคยอยู่กับคุณยายที่นี่ ที่หมู่บ้านอันแสนสงบแห่งนี้ แต่เพราะช่วงเวลานั้น โรคระบาดกำลังระบาดหนัก คร่าชีวิตผู้คนล้มตายไปมากมาย ยายของเธอ ซึ่งเป็นญาติคนเดียวที่เธอมีก็ติดโรค และจากเธอไป ช่วงเวลาขณะนั้นวุนวายมาก ชาวบ้านพากันอพยพหนีโรค แต่เธอกลับยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป และไม่ช้านาน เธอก็ต้องตายด้วยโรคที่รุมเร้าเธอจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต" นักพรตสาวพูดพลางลูบเปียของมินฟาอย่างเอ็นดู

"แล้วทำไมเธอถึงไม่หนีไปกับชาวบ้านคนอื่นๆล่ะครับ?" เซราฟถาม ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความสงสารอย่าสุดซึ้ง

"ว่ากันว่าเธอรอคอยคนรักของเธออยู่ คนรักที่เธอรอคอยเขาจนวันตาย" ซองจีเอ่ยเสียงเศร้า

"ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไรเลย น่าสงสารเสียด้วยซ้ำ" เทซซ่าเอ่ยขึ้นด้วยความสงสาร ดวงตาสีม่วงของเธอก็ดูชุ่มชื้นด้วยน้ำตา

ซองจีกวาดตาหยั่งเชิงไปยังแขกทั้งสามที่ต่างก็แสดงความสงสารในตัวผีดิบนั้น ดวงตาสีดำขลับราวกับความมืดของราตรีกาลยามไร้เดือนดาว ช่างดูลึกลับ งดงาม แต่ก็น่ากลัว

"หากพวกเขาลุกขึ้นจากความตายมายืนนิ่งแบบนี้ ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตเหมือนครั้งที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่น่ากลัวหรอก หากแต่..." ซองจีพูดพลางเดินอ้อมมินฟาจนวนมาหยุดที่ด้านหลังของผีดิบสาว

นักพรตหญิงเอื้อมมือผ่านคออันขาวซีดของมินฟา กระตุกแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ติดอยู่ที่หมวกตรงหน้าผากของเธอ วินาทีที่แผ่นกระดาษนั้นหลุดออก ดวงตาขุ่นมัวของผีดิบสาวกลับเบิกโพลง อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวยาวคมกริบ เธอยกมือขึ้นมาราวกับจะฉีกทึ้งทุกสิ่งที่ขวางทาง แล้วกระโดดพุ่งเข้าหาเทซซ่าที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที!!!

ด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว ทำให้เข้าถึงตัวเทซซ่าได้แทบจะทันที ด้วยความตกใจ และไม่ทันระวังตัว มืออันขาวซีดก็ตรงเข้าจิกลำคอของสารยเวทสาว นางกรีดร้องด้วยความตกใจ เด็กทั้งสองต่างยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ซองจีเองก็ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ผีดิบสาวแสยะเขี้ยวขาวก้มลงมาหมายจะขย้ำคอของเทซซ่า

"กรี๊ด!!! ออกไปนะ นี่มันอะไรกัน ทำอะไรซักอย่างสิ ช่วยชั้นด้วย!!!" เทซซ่าตะโกนด้วยความตกใจพร้อมๆกับที่เอาฝ่ามือดันศรีษะของมินฟาไว้ไม่ให้ฝังเขี้ยวที่คอของนาง

ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่นาน เคอิลและเซราฟพยายามแกะมือที่ยึดคอของเทซซ่าไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล มันบีบแน่นจนได้ยินเสียงลมหายใจของเทซซ่าที่วิ่งผ่านลำคออย่างยากลำบากดัง "ครืดๆ"

"อุ๊ก! ขึก! อ๊อก!" สีหน้าของเทซซ่าทุรนทุราย น้ำตานางรื้นคลอหน่วย ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ นักสารยเวทสาวเริ่มจะสิ้นเรี่ยวแรงที่จะแข็งขืนต่อคมเขี้ยวของมินฟา ใบหน้าของผีดิบสาวเลื่อนเข้ามาใกล้คอของเทซซ่ามากขึ้นๆ

ในวินาทีที่คมเขี้ยวขาววับกำลังจะฝังลงบนคอของสารยเวทสาว นักพรตซองจีก็นำแผ่นกระดาษสีเหลืองแปะติดกับหน้าผากของมินฟาอีกครั้ง ราวกับร่างของผีดิบนั้นถูกฟ้าผ่า เธอปล่อยมืออันขาวซีดออกจากเรียวคอของเทซซ่าและดีดตัวยืดขึ้น ยืนตรงเหมือนกับตอนก่อนที่แผ่นกระดาษนั้นจะหลุดออกจากหน้าผากของเธอ

ทันทีที่ฝ่ามือของผีดิบสาวพ้นออกจากเรียวคอของเทซซ่าได้ เสียงหายใจที่พยายามจะตักตวงอากาศเข้าไปให้ได้มากที่สุดดังขึ้นพักใหญ่ จนเทซ่าอาการปกติดีแล้วจึงเริ่มส่งสายตาเขียวค้อนมาทางซองจี

"ขอโทษๆ ไม่คิดว่ามินฟาจะเล่นแรงขนาดนี้" นักพรตสาวกางมือทั้งสองข้างเป็นเชิงขอโทษ

ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากของเทซซ่า นางยังคงส่งสายตากรีดแทงมาทางซองจี

"เอาเป็นว่า ชั้นจะเล่าเรื่องที่เธออยากรู้ให้โดยละเอียด เป็นการไถ่โทษนะ วันนี้ชั้นมีเวลาว่าง" ซองจีพยายามคืนดี เธอพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

เทซซ่ามีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย นางผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้ ส่วนเซราฟและเคอิลก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตน

"แต่ก่อนอื่นชั้นจะอธิบายพฤติกรรมของ กวน-ชี ที่มุ่งเข้าทำร้ายคนก่อน" นักพรตสาวเริ่มการบรรยายของเธอต่อไป เทซซ่าล้วงลงไปที่รถเข็น หยิบสมุดเล่มหนาหนักขึ้นมากางออก ตั้งท่าจะจดบันทึก

"พวกเขาเหล่านี้ ตายโดยมีความโดดเดี่ยวอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาโหยหาที่สุด คือความรัก คือความอบอุ่นจากมนุษย์" ซองจีพูดพร้อมกับลูบผมเปียของมินฟาอย่างเอ็นดู

"โดยการกัด ฉีก ตรงเข้าทำร้ายน่ะเหรอครับ?" เคอิลถามขึ้นอย่างอดสงสัยไม่ได้

"แสดงความรักกันแปลกจัง" เซราฟเสริมเบาๆ

"สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำก็คือ ไปหาคนรู้จัก ครอบครัว คนรัก เพื่อน นั่นคือคนที่พวกเขาจะไปหาก่อน จากนั้นก็จะกัดกิน ดูดเลือด พวกเขามุ่งที่จะฆ่าคนที่เขารักยังไงล่ะ" ซองจีพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปไกล

"ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่าผีดิบ เป็นปีศาจกวนชีอันน่ากลัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ตาม... แต่พวกเขายังคงมีความทรงจำตอนเป็นมนุษย์อยู่นะ" ในท้ายประโยค นักพรตสาวพูดพร้อมกับหันมามองพวกเด็กๆและเทซซ่าด้วยสีหน้าแสดงความสงสาร

"ถ้าเป็นเช่นนั้น..." เทซซ่าพูด มีสีหน้าครุ่นคิด "ยิ่งไม่น่าให้อภัย ที่มาทำร้ายคนที่รัก"

พวกเด็กๆผงกหัวเชิงเห็นด้วย

"รู้จักความหมายของการจูบไหม?" ซองจีเอ่ยขึ้น กลุ่มผู้ฟังต่างมีสีหน้าแปลกใจ

"เคยได้ยินคำว่า 'รักจนปานจะกลืนกิน' ไหมล่ะ?" นักพรตสาวพูดต่อ "มันคือความรักที่ขนาดอยากจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไป"

"นี่คือด้านหนึ่งของจิตใจมนุษย์ที่ถูกปิดกั้นด้วยหลักของเหตุและผล ทั้งที่สิ่งนั้นคือการแสดงออกที่ตรงที่สุด น่ากลัวใช่ไหมล่ะ?" ซองจีถามขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้ฟังที่กำลังใจจดใจจ่อ

"คือว่ามัน...." เคอิลเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เงียบเสียงลงไป เขาตัดสินใจว่าไม่พูดจะดีกว่า

"แต่กำแพงเหตุผลนั้นจะหมดไปเมื่อคนเราตายลง ซึ่งการที่พวกเขามุ่งที่จะทำร้ายคนที่เขารักนั้นก็คือการแสดงออกถึงความรู้สึกของพวกเขาที่ปราถนาจะเป็นหนึ่งเดียวกับคนที่เขารัก" ซองจีพูดพร้อมกับลูบเปียของผีดิบสาวอีกครั้งด้วยความเอ็นดู

"สำหรับพวกเขา 'กัดกิน' กับ 'จูบ' คือสิ่งเดียวกัน" เธอทิ้งท้ายประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต่างขนลุก

"แล้วคุณซองจีเจอกับมินฟาได้ยังไงล่ะครับ" เคอิลถามขึ้น

"ชั้นเจอแม่หนูน้อยนี่ที่กลางทะเลทรายเบรุค ตอนนั้นเธอโทรมจนดูเหมือนกิ่งไม้แห้งๆ คิดว่าเธอคงถูกนำไปเป็นสินค้าขายแก่ต่างเมือง แต่แผ่นยันต์ถูกฉีกขาดเสียก่อน เลยอาละวาดยกใหญ่ ท่าทางเธอเหมือนจะกลับมาที่หมู่บ้านโยเรอีกครั้ง แต่ก็มาเจอกับชั้นเสียก่อน เธอพยายามแสดงความรัก เอ่อ...ในแบบของเธอน่ะนะ กับทุกคนที่เธอเจอเชียวล่ะ" ซองจีพูดติดตลก

"งั้นแสดงว่า ที่พวกเขาลุกขึ้นมาได้เพราะแรงขับทางจิต" เทซซ่าที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อพูดพึมพำแต่ได้ยินกันทั่ว พลางขีดเขียนขยุกขยิกใส่สมุดในมือ

"นึกว่าจะเป็นเพียงศพไร้วิญญาณเสียอีก อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการค้นหา" เทซซ่าบ่นกับตัวเองดังขึ้นอีก

"คุณต้องการหาอะไรหรือครับ?" เซราฟถามขึ้นอย่างสงสัย

"ชั้นกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างมนุษย์เทียม" เทซซ่าพูดขึ้นทั้งที่สายตาของเธอยังคงจดจ้องอยู่กับสมุดในมือ

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.