|
The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
|
Your Gods, My God
หลังจากร่ำลากับลูคาริมแล้วเซราฟก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆตัวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งแปลกตาสำหรับนักบวชฝึกหัดที่มักจะขลุกอยู่แต่ในโบสถ์เท่านั้น นักบวชน้อยเดินผ่านบ้านต่างๆหลังแล้วหลังเล่า ด้วยผังเมืองที่เป็นวงกลมจึงทำให้วนกลับมายืนที่เดิมบริเวณหน้าหอคอยอีกครั้ง
เมืองพิเมนต้านี้แปลกนัก เป็นเมืองเล็กๆที่ถูกรายล้อมด้วยแม่น้ำจนดูเหมือนเกาะ ใจกลางเมืองเป็นหอคอยสูงตระหง่าน และบ้านเรือนต่างๆ สร้างขึ้นรอบหอคอยโดยหันหน้าเข้าหามัน จึงทำให้พิเมนต้านี้ กลายเป็นเมืองวงแหวน อีกทั้งยังพื้นดินบริเวณหอคอย ยังต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอีกด้วย เมื่อยืนอยู่ใจกลางเมืองและมองไปโดยรอบแล้ว จึงดูเหมือนกับยืนอยู่กลางหลุมขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยอาคารบ้านเรือนต่างๆ
"อ๋า! กลับมาที่เดิมอีกแล้ว เมืองนี้เล็กอย่างที่พี่ลูคาริมว่าจริงๆแฮะ เอ... แล้วเราจะไปไหนดีนะ?" เซราฟเหลียวไปมา แต่สิ่งที่สะดุดสายตาเป็นที่สุดก็ไม่พ้นหอคอยสูงตรงหน้า "ไปเดินเล่นในหอคอยก่อนดีกว่า อีกนานเลยกว่าจะเย็น" เด็กน้อยกึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงเข้าไปยังประตูทางเข้าหอคอย
ทันทีที่เซราฟก้าวเข้าไปก็รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างประหลาดที่รายล้อมอยู่รอบกาย เขารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ทว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เป็นไปตามวัยมีมากกว่าความกลัว จึงทำให้ความรู้สึกนั้นค่อยๆหายไปในไม่ช้า ภายในหอคอยที่ปรากฏต่อสายตาของเซราฟนั้น เป็นโถงวงกลมกว้างและมีบันไดเวียนแคบๆอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงพร้อมด้วยป้ายที่บอกว่า "ขึ้น" และ "ลง" ตรงไปนั้นเป็นบันไดอีกแห่งที่ทอดลงไปยังใต้พื้นดินเบื้องล่าง เซราฟพาให้ขาตนเองเดินก้าวไปตามทางที่ทอดไปยังห้องใต้ดิน แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงจ้าสีเขียวบาดตาสลับกับสีแดงหม่นและตามมาด้วยเสียงระเบิดอึกทึกกึกก้องพุ่งแทรกออกมาจากบันไดทางขึ้น หันเหความสนใจของเซราฟไปยังชั้นบนของหอคอยในทันที
"ข้างบนเค้าทำอะไรกันอยู่นะ?" เซราฟเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
เด็กหนุ่มวิ่งขึ้นไปตามบันไดที่ทอดไปยังชั้นบน มีประตูอยู่ตามชั้นต่างๆ บางห้องนั้นประตูเปิดออกกว้างซึ่งสามารถมองผ่านเข้าไปในห้องเหล่านั้นได้ บางห้องก็เป็นห้องเก็บหนังสือที่มีกระดาษปลิวว่อนและนักเวทย์ท่าทางลุกลี้ลุกลนวิ่งไล่ตามเศษกระดาษเหล่านั้นอย่างไม่ลดละพร้อมกับเอะอะโวยวายไม่ได้ศัพท์ บางห้องก็เป็นห้องเปล่าๆ มืดๆ มีเพียงแสงเทียนไหวกระพริบและคนจำนวนหนึ่งนั่งรายล้อมอยู่ภายในเป็นวงกลมส่งเสียงกระซิบกระซาบน่าขนลุก แต่ห้องส่วนใหญ่ก็ปิดประตูมิดชิด ถึงกระนั้นเซราฟเองก็ยังเห็นแสงสีต่างๆ ที่ส่องลอดออกมาตามร่องไม้และวงกบประตูบ่อยครั้ง มีอยู่ห้องหนึ่งทำเอาเด็กหนุ่มตกใจจนเกือบร้องไห้ออกมา เพราะทันทีที่เขาเดินมาที่หน้าประตูก็เกิดเสียงราวกับมีมือนับสิบระดมเคาะประตูห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานประดูก็เปิดผางออกมาพร้อมด้วยลมประหลาดที่พัดพาควันสีส้มสดกลิ่นน่าสะอิดเอียดเข้าคลุมกายเขาอย่างรุนแรงจนแทบจะขาดอากาศหายใจ จนกระทั่งตัวเซราฟหายใจไม่ออกและคิดว่าต้องขาดอากาศตายเสียก่อนที่จะได้เจอหน้าพี่ลูคาริมอีกครั้ง บรรดาควันและลมที่ถาโถมเข้ามาก็หยุดลงพร้อมกับประตูที่งับปิดเสียงดังสนั่น เด็กน้อยได้หายใจหายคอไปได้ซักพักก็ราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น หลังประตูบานนั้นช่างเงียบสงบราวกับห้องร้างเสียก็ไม่ปาน แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่เป็นหลักฐานว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงก็คือกลิ่นของควันอันน่าสะอิดสะเอียนยังติดอยู่ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของเขาอยู่จางๆ
"โอย... แล้วนี่จะซักออกไหมเนี่ย อะไรก็ไม่รู้ เหม็นมากเลย" เซราฟโอดครวญกับตัวเอง
เด็กน้อยเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวไปในหอคอยจนเดินมาถึงห้องบนสุดโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ภายในห้องนั้นเป็นโถงกว้างอีกเช่นกัน และมีบันไดอยู่บริเวณทั้งสองฟากของห้องซึ่งเป็นทางขึ้น กับทางลง เซราฟสังเกตเห็นว่าพื้นห้องที่เป็นวงกลมนั้น มีวงเวทย์และอักษรเวทย์มนตร์ต่างๆสลักอยู่เต็มไปหมด
"อา... นี่มัน อักษรรูน(Runic Alphabet) นี่นา" เซราฟอุทานอย่างตื่นเต้น ใช้ปลายนิ้วลูบคลำไปตามตัวอักษรที่เรืองแสงสีม่วงอ่อนจางๆ "ทางนี้ก็เป็นรูนโบราณ (Ancient Rune) นั่นก็เป็นเธบาน (Theban Alphabet) ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นที่นี่" เซราฟพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม
"ที่นี่เป็นเมืองนักเวทย์นี่นาพ่อหนู การที่จะมีอักษรเวทมนตร์เหล่านี้ก็ไม่เห็นแปลกอะไร" น้ำเสียงชราแหบพร่าแต่ฟังดูอบอุ่นในทีดังขึ้นมาจากด้านหลังของเซราฟ เขาสะดุ้งสุดตัวหันไปเห็นชายชราร่างสูงผู้หนึ่ง เส้นผมหงอกทั้งศีรษะ ดวงตาสีเทาหม่นสวมผ้าคลุมแบบมีหมวกสีม่วงเข้ม รอยยับย่นบนดวงหน้าบ่งบอกความชราภาพ แต่รอยยิ้มที่ฉาบทับอยู่กลับทำให้ชายชราผู้นั้นดูหนุ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด
"เอ่อ... ท่าน... คือว่า... ผม... ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจจะมายุ่มย่ามฮะ คือผมเห็นว่าที่นี่...." เซราฟพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"ไม่เป็นหรอกเด็กน้อย" ชายชราโบกมืออย่างอ่อนโยน "ใครจะมาว่าเจ้ากัน? ที่นี่คือหอคอยแห่งปัญญาและพลัง ใครๆก็ได้มาศึกษาหาความรู้ที่นี่ จะกลัวไปทำไม?" ชายชราผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารี ทำให้เซราฟรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยในตัวชายชราผู้นี้อย่างรวดเร็ว
"ห้องนี้คือ..." เซราฟออกปากถาม ซึ่งตัวเขาเองก็ประหลาดใจที่กล้าถามคำถามกับคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก
"ยอดของหอคอย ห้องซึ่งดูแลผลึกที่ลอยอยู่ด้านบนอย่างไรล่ะ" ชายชราเอ่ยขึ้น
"ผลึก! หินสีม่วงอันเบ้อเริ่มที่ลอยอยู่ข้างบนน่ะเหรอฮะ?" เซราฟพูดอย่างตื่นเต้น "แล้วมันมาจากไหนล่ะครับ?"
"เห็นใช่มั้ย? เด็กน้อย ว่าเมืองพิเมนต้าแห่งนี้มีลักษณะเป็นหลุมลึกลงไปโดยมีหอคอยเป็นใจกลาง การที่เมืองนี้เป็นหลุมนี่ไม่ใช่เพราะมนุษย์ขุดขึ้นหรอกนะ แต่ในตำนานกล่าวว่าเกิดจากการพุ่งชนของดวงดาวบนฟากฟ้าที่ร่วงหล่นลงมาต่างหาก และดาวดวงนั้นก็คือหินผลึกที่ลอยอยู่เหนือหอคอยอย่างไรล่ะ" ชายชราอธิบายด้วยน้ำเสียงรุกเร้าน่าตื่นเต้น "หินสีม่วงนั้นคือ อเมธิสต์ (Ametyst) อัญมณีอันหมายถึง ปัญญาอันสูงส่ง และความรู้อันแสนมีค่ายิ่ง"
"เป็นอย่างนี้นี่เอง... แต่ว่าเมืองเป็นหลุมอย่างนี้น้ำจะไม่ท่วมเอาเหรอฮะ?" เซราฟถามเสียงซื่อพลางยื่นหน้าออกไปทางหน้าต่างเพื่อชมตัวเมือง ภาพของพิเมนต้าในมุมสูงก็ยิ่งงดงามนัก
"โฮ่ๆๆ ช่างคิดดีนี่ เด็กน้อย" ชายชราหัวเราะชอบใจในคำถามอันแสนซื่อของเซราฟ "อย่าลืมนะว่าที่นี่เป็นเมืองของนักเวทย์แค่น้ำท่วมไม่สร้างปัญหาให้เราได้เท่าไหร่หรอก"
"แล้วทำไม..." เซราฟหันกลับมา ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำถามต่อไปชายชราคนนั้นก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว เขาหายไปอย่างเงียบเชียบ ไร้ร่องรอย ปล่อยเด็กน้อยยืนงุนงงอยู่กลางโถงกว้างเพียงลำพัง
..................................
เซราฟยังคงเดินดูความตระการตาภายในโถงที่เปี่ยมไปด้วยอักษรเวทมนตร์ซักพักก็ตัดสินใจเดินลงจากหอคอย คราวนี้ เซราฟมีความระมัดระวังกับประตูห้องตามชั้นต่างๆมากขึ้น กลิ่นของกลุ่มควันสีส้มสดนั้น ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขา เด็กหนุ่มเดินลงตามขั้นบันไดหินไปทีละขั้น...ทีละขั้น
"เคร้ง! ครืด...ครืด...ครืด..." วัตถุใสคล้ายขวดทดลองกลิ้งลงมาตามบันไดช้าๆ เซราฟก้มลงหยิบขวดแก้วขึ้นมาดู เขาพิจารณาขวดแก้วใบนั้นด้วยความประหลาดใจ มันมีแสงสีน้ำเงินจางๆ เป็นประกายกระจายไปทั่วทั้งขวด เขาเดินขึ้นไปตามทางเก่า เพื่อหาเจ้าของขวดนั้น เมื่อเกือบจะถึงประตูของชั้นที่เพิ่งเดินผ่านมาก็มีชายหน้าตาบึ้งตึง จ้ำพรวดๆลงมาตามขั้นบันได ตรงเข้าหาเขา เซราฟทราบได้ทันทีว่าเขาเป็นนักเวทย์ โดยสังเกตได้จากไม้เท้าเก่าคร่ำคร่าที่เหน็บอยู่ที่เอว
"ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!! วางมันลง!!! เอามือของแกออกจากของของข้า!!!" ชายวัยกลางคนหน้าตาราวกับโกรธแค้นใครมาทั้งชีวิตตะคอกใส่เซราฟขณะที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาเขา
"แกมันนักบวชของศาสนจักรนี่! มาทำอะไรที่นี่? อย่ามาแตะต้องของของข้า! พลังของแกมันทำให้ข้าหงุดหงิด วางมันลงเดี๋ยวนี้!" เขาตะโกนพลางชี้นิ้วสั่งเซราฟทั้งที่ยังรักษาระยะห่างไว้ ไม่น่าเปลกใจที่คนอื่นจะมองปราดเดียวแล้วทราบว่าเซราฟเป็นนักบวชจากศาสนจักรได้ทันที เพราะกฏข้อบังคับเรื่องการแต่งกายของนักบวช ทั้งยังสายประคำกางเขนที่ห้อยอยู่ที่คอของเขา
เซราฟตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยื่นขวดที่มีประกายแสงสีน้ำเงินให้แก่นักเวทย์
"แกเป็นใคร?" นักเวทย์ตะคอกถามอย่างมาดร้าย
"ผ...ผมมาจากศาสนจักรแห่งแอมโบรเซีย มาทำงานในนามแห่งพระผู้สร้างและพระเจ้าของเรา" เซราฟหลุดปากออกไปด้วยความประหม่า ความเคยชินในการเอ่ยนามพระผู้เป็นเจ้าของเขา บัดนี้กลับนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้เขาเป็นแน่ คำเตือนของหลวงพ่อที่ให้ไว้ก่อนที่จะออกเดินทางก้องอยู่ในหูของเขา ยังไม่ทันจะข้ามวัน เซราฟก็ละเมิดคำเตือนของหลวงพ่อเสียแล้ว
แทบจะทันทีที่เซราฟพูดออกไป นักเวทย์คนนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าบูดบึ้งมากขึ้นไปอีกราวกับเคยโกรธแค้นเขามาจากชาติที่แล้วก็ไม่ปาน
"เจ้ากำลังพูดอะไร!!!!!!!" นักเวทย์คนนั้นตะโกนสุดเสียงจนเซราฟรู้สึกได้ว่าหอคอยสั่นอยู่นิดๆ จากแรงตะโกน
"ไม่มีทั้งนั้น!!! ทั้ง เอโลฮิม! ยะโฮวาห์! หรือพระเจ้าองค์ไหนๆ ไม่มีทั้งนั้น!!! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาดูถูกมหาเทพโอดิน บิดาแห่งเทพทั้งปวง จ้าวผู้สร้างโลก จ้าวผู้ให้ชีวิตทุกสรรพสิ่งในจักรวาล" นักเวทย์คำรามก้อง
น้ำตาของเด็กหนุ่มหยาดหยดมาเป็นเม็ดประกายใสประพรมเต็มสองแก้มอย่างไม่รู้สึกตัว เซราฟรู้สึกทั้งกลัว งุนงง และโกรธระคนกันจนไม่สามารถโต้ตอบนักเวทย์ที่ยืนปรามาสเขาอยู่ปาวๆตรงหน้า
"ท่านซีซาร์ครับ! ผู้อาวุโสโฮร่าเรียกพบครับ" เสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านหลังของนักเวทย์คนนั้น เด็กหนุ่มรูปร่างสมส่วน สีผมและสีตาดำสนิท สวมชุดของนักเวทย์ฝึกหัดที่เป็นผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนวิ่งลงมาตามบันได
"แต่เด็กนี่มัน... ข้าต้อง...." ซีซาร์นักเวทย์ผู้กราดเกรี้ยวลังเล
"ไปก่อนเถอะครับ ท่าทางท่านโฮร่าจะมีเรื่องสำคัญ" นักเวทย์หนุ่มย้ำ แต่เซราฟสังเกตเห็นเขาขยิบตาให้ หรือว่าเซราฟตาฝาดกันแน่นะ?
"ก็ได้ๆ! ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีมากนะ เทวีเฟรย์ย่าคงจะเอ็นดูเจ้ามาก แต่คราวหน้าข้าเจออีกจะลงโทษให้หนักทีเดียว" ซีซาร์พูดใส่อารมณ์ ชี้มาทางเซราฟก่อนที่จะเดินกระทืบเท้าขึ้นไปตามขั้นบันไดจนลับตา
"เกือบไปแล้วนะ นักบวชบ๊อง นี่เจ้าบ้ารึเปล่าที่ไปเอ่ยนามพระเจ้าองค์อื่นให้ท่านซีซาร์ฟัง" เด็กหนุ่มผมดำถามแกมหยอก
"ก็... ก็ผมน่ะ..." เซราฟพยายามอธิบายเสียงสั่นเครือ แต่สำหรับนักบวชฝึกหัดที่ยังอ่อนต่อโลกอย่างเขา เรื่องรุนแรงเช่นนี้ต้องใช้เวลาทำใจไม่น้อยทีเดียว
"อ๋า! ไม่ต้องร้องแล้วล่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะหาว่าข้ารังแกเจ้า" นักเวทย์หนุ่มโบกมือไหวๆ เมื่อเห็นทำนบน้ำตาของเซราฟมีทีท่าจะพังครืนลงมาอีกครั้ง "เจ้าก็โชคดีเหลือเกินนะ ไปคุยกับท่านซีซาร์ แต่ก่อนแกก็ดีอยู่หรอก แต่เพราะห้องทดลองระเบิดคราวนั้น เลยทำให้สติสตางค์ไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่างที่เห็นนี่แหละ อย่าไปถือสาอะไรเลย" นักเวทย์หนุ่มปลอบใจด้วยดวงตาที่เป็นประกายสีดำขลับ
"อื้ม!" เซราฟรับคำพลางปาดน้ำตา
"ถ้างั้นเจ้าเดินลงไปกับข้าก็แล้วกัน มีอะไรข้าจะได้เตือนเจ้าอีก ส่วนขวดนั่นไม่ต้องถือแล้วล่ะ วางไว้แถวนั้นแหละ เดี๋ยวท่านซีซาร์แกก็มาเก็บไปเอง ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ?" นักเวทย์หนุ่มถามด้วยท่าทีกระตือรือร้น พลางเดินลงตามบันไดเวียนไปช้าๆ
"เซราฟ ผมชื่อเซราฟ มารีอา เดอ กาลิเซีย" เซราฟแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ พลางวางขวดลงไว้ข้างตัวแล้วเดินตามไปด้วย
"เซราฟงั้นเหรอ? เพราะจังนะ เหมาะกับเจ้าที่มาจากศาสนจักรจริงๆ ข้าชื่อ เคอิล ยินดีที่ได้รู้จักนะ" นักเวทย์หนุ่มแนะนำตัว
"เคอิล ผมก็ยินดีที่ได้รู้จักคุณ" เซราฟตอบกลับตามมารยาท
"เจ้ามาจากเมืองหลวงใช่มั้ย? มาทำไมเหรอ?" เคอิลเริ่มยิงคำถาม
"ใช่ครับ! ผมมาจากเมืองหลวง มาทำงานให้ศาสนจักรน่ะ" เซราฟตอบ
"บันไดนี่น่ะ เดินขึ้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอเดินลงนี่สิ มันทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้ทุกทีเลย" เคอิลเอ่ยอย่างเป็นกันเอง ขณะที่กำลังเดินไปตามบันไดที่ทอดยาวหมุนวนราวกับไม่สิ้นสุด
เซราฟไม่อยากที่จะคิดรำคาญเด็กหนุ่มคนนี้เลย แต่เขาช่างถามและก็ช่างสงสัยไปเสียหมดจริงๆ เขาพิจารณาดูเคอิล เห็นว่ามีสีผมดำขลับเป็นเงางามระยับ และสีตาที่ดำเป็นประกายตัดกับสีผิวที่เป็นสีขาวอมเหลือง ทั้งยังอยู่ในผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนยิ่งขับให้สีผมและสีตาดูเด่นยิ่งขึ้น
"เคอิลมาจากต่างเมืองเหรอ?" เซราฟถามขึ้นเมื่อเห็นสีผมของเขา
"อ้อ! ผมนี่น่ะรึ ข้าเกิดที่นี่แหละ และแม่ข้าก็เป็นคนของที่นี่ แต่ผมนี่สิ ไม่รู้มาจากไหน ท่าทางคงจะมาจากพ่อข้าล่ะมั้ง!" เคอิลอธิบายพร้อมกับเล่นปอยผมตัวเองไปด้วย
"ทำไมต้อง 'มั้ง' ด้วยล่ะ?" เซราฟสะดุดกับคำตอบแปลกๆของเคอิล
"ก็ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าก็อยู่กับแม่แล้วล่ะ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพ่อข้าซักครั้งเลย ถามท่านแม่ก็ไม่ยอมพูดอะไร" เคอิลอธิบาย แต่สายตาก็ยังคงจดจ่อไปที่ปลายเท้าตนเองซึ่งกำลังก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง
"ผมขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะ..." เซราฟรีบเอ่ยคำขอโทษ เกรงว่าจะสะเทือนใจของคู่สนทนาที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน
"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก ข้าชินแล้วล่ะ แล้วอีกอย่างข้าก็มีท่านแม่ มีท่านโฮร่า แล้วก็ชาวบ้านทุกคนที่รักข้า แค่นี้ข้าก็มีความสุขมากพอแล้ว" เคอิลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
และแล้วทั้งสองคนก็เดินมาถึงทางออกของหอคอยยักษ์ เซราฟสังเกตเห็นว่ามีร่างของคนคนหนึ่งในชุดคลุมสีม่วงเข้มยืนอยู่ที่ทางออก
"ท่านโฮร่าครับ! ผมมีเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ" เคอิลโผเข้ากอดพ่อมดชรา พลางอธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"อ้อ! เด็กน้อยนี่เองรึ? ข้าเจอกับเขาที่โถงชั้นบนสุดแล้วล่ะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ออกไปอย่างกะทันหัน บังเอิญว่าข้ามีธุระน่ะ" ท่านผู้อาวุโสกล่าวแก่เซราฟ
"สวัสดีครับ!" เซราฟรีบทักทาย เพราะเกรงว่าท่านโฮร่าจะหายตัวไปอีกครั้ง
"เจ้ามาจากศาสนจักรสินะ ในนามของผู้ดูแลเมืองแห่งนี้ ข้าขอต้อนรับเจ้าอย่างเป็นทางการ" ท่านโฮร่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผายมือทั้งสองออกกว้าง
"ขอบคุณครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ" เซราฟฝากตัวด้วยความนอบน้อม
"แล้วเจ้ามีที่พักรึยัง? มากับใครล่ะ? แล้วจะมาอยู่นานไหม?" เคอิลระดมคำถาม จนท่านโฮร่าหันมาอมยิ้มกับความกระตือรือร้นของเขา
"เอ่อ... ผมมาคนเดียว อยู่แค่ราวๆหนึ่งเดือน เลยคิดว่าจะไปพักที่โรงแรมครับ" เซราฟตอบคำถามของเคอิล
"งั้นมาพักที่บ้านข้าเลยก็ได้! ยังมีห้องว่างอยู่ มาเถอะนะ! ข้าอยากมีเพื่อนเล่น แล้วก็อยากเห็นเวทย์ของพวกนักบวชด้วย" เคอิลรบเร้าด้วยดวงตาที่เป็นประกายสีดำของเขา มันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนลูกสุนัขตัวเล็กๆที่ร่าเริงตลอดเวลา
เซราฟเองก็เห็นด้วยกับเคอิลในใจ เพราะเป็นอีกทางที่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปมาก และที่สำคัญเซราฟเองก็อยากจะศึกษาเวทย์มนตร์ของพ่อมด และเรียนรู้อักษรเวทย์มนตร์ต่างๆด้วย
"ก.. ก็ได้ ถ้าไม่เป็นการรบกวนนะ" เซราฟรับคำอย่างเกรงใจ
"ไม่หรอก ไม่กวนเลย! งั้นมาที่บ้านข้าเลยละกันนะ ยินดีต้อนรับ" เคอิลยื่นมือซ้ายมาเพื่อจับมือแสดงมิตรภาพ
เซราฟประหลาดใจที่อีกฝ่ายยื่นมือซ้ายมาให้ เขาสังเกตเห็นว่ามือขวาของเคอิลสวมถุงมือสีเทาอมม่วง และถ้าตาเขาไม่ฝาด ราวกับว่าจะมีอักษรเวทมนตร์บางอย่างอยู่บนถุงมือนั่น แต่เขาก็ยื่นมือซ้ายไปจับตอบด้วยเช่นกัน แล้วหันกลับมาลาผู้อาวุโส เด็กทั้งสองก็ต่างพากันเดินจากหน้าหอคอยไปยังบ้านของเคอิลซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอคอย
หากเด็กน้อยทั้งสองคนหันกลับมามองท่านโฮร่า ก็จะเห็นพ่อมดชรายืนมองเด็กทั้งสองด้วยแววตาที่เป็นกังวลและราวกับครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim
|
|