"ท่านโฮร่ากลับมาแล้วล่ะลูก จะไปรับท่านมั้ย?" เฟลิน่าเปิดประตูห้องนอนเข้ามาบอกเคอิล ถึงการมาของท่านผู้อาวุโส
ความสงสัยครุ่นคิดในฝันเมื่อคืนเป็นแรงผลักอย่างดีที่ทำให้เคอิลลุกพรวดพราดวิ่งออกนอกประตูไปทันทีที่จับความจากมารดาตนได้
เซราฟซึ่งกำลังช่วยเตรียมอาหารเช้าอยู่ภายในครัวเมื่อเห็นเคอิลวิ่งลงมาจากบันไดจึงกล่าวทักทาย
"อรุณสวัสดิ์! เห็นว่าท่านโฮร่ากลับมาแล้วนี่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ...!!!"
ยังไม่ทันจะสิ้นประโยคเคอิลก็คว้าแขนของเซราฟวิ่งลากไปยังหน้าหอคอยด้วยความเร็ว ท่านโฮร่าซึ่งเพิ่งออกมาจากประตูวาร์ปและกำลังเดินเข้าหอคอยก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงตะโกนเรียกอันคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ท่านโฮร่าหันกลับไปดูก็พบเคอิลวิ่งหน้าตาตื่นมาพร้อมกับเซราฟที่ถูกฉุดกึ่งวิ่งกึ่งลากถูลู่ถูกังอยู่ข้างหลัง
เมื่อทั้งสองหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสและพยายามสูดหายใจราวกับถูกจับกดน้ำมาหมาดๆ โดยเฉพาะกับเซราฟที่มีหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู และยิ่งเห็นความแดงได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับผมสีทองของเขา
"ใจเย็นๆ ทำไมรีบร้อนกันขนาดนี้ มีอะไรรึ?" ท่านโฮร่าถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
เมื่อทั้งสองต่างหายใจหายคอได้จังหวะเกือบเป็นปกติ จึงเงยหน้าขึ้นมาเริ่มการสนทนา
"คือว่าเมื่อคืนผม...."
แล้วบทสนทนาก็ขาดหายไปอีก เมื่อเคอิลสังเกตเห็นว่าท่านโฮร่าไม่ได้กลับมาเพียงลำพังหากแต่มากับบุคคลผู้หนึ่ง เซราฟเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเช่นกัน ทั้งสองต่างตกตะลึงและนึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นน่าอัศจรรย์ขนาดไหน ภายในเมืองพิเมนต้าหรือแม้แต่เมืองหลวงอย่างแอมโบรเซีย ส่วนมากก็จะพบเจอแต่นักบวช นักเวทย์ นักดาบอัศวิน หรือเหล่าพ่อค้าแม่ขายเท่านั้นเอง แต่บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้น เป็นหญิงสาวท่าทางภูมิฐาน เส้นผมสีเขียวมะกอกยาวประบ่า สวมแว่นตาขนาดเล็กซึ่งจัดวางอยู่บนปลายจมูกที่ได้รูปสวยงาม สวมใส่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตงดงามแปลกตา แต่ที่ดูน่าทึ่งที่สุดเห็นจะเป็น ไม้เท้าที่สะพายพาดเฉียงอยู่ข้างหลัง มีความยาวพอๆกับความสูงของเจ้าของ จากสายตาเห็นว่าไม้เท้านั้นทำจากโลหะเงาวับประดับด้วยอัญมณีสีม่วงและสีแดงอย่างบรรจง ที่เอวข้างขวามีหนังสือเล่มหนาที่สวมใส่ปลอกหนังซึ่งตัดเย็บมาพอดีกับตัวหนังสือห้อยไว้ และเช่นกันที่เอวข้างซ้าย ก็มีมีดใบกว้างความยาวพอเหมาะที่ตบแต่งด้ามจับอย่างงดงามไม่แพ้กันเหน็บอยู่ เด็กทั้งสองต่างยืนจ้องพินิจพิจารณาซอนญ่าจนท่านโฮร่าเริ่มสังเกตเห็น ตัวซอนญ่าเองก็รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องอยู่นานสองนาน
ผู้อาวุโสกระแอมเพื่อเรียกสติของทั้งสองคนคืนมา "นี่คือท่านซอนญ่า มหาปราชญ์แห่งโลอาเมีย จะกลับมาเยี่ยมเยือนสถานที่เก่าๆซักพักน่ะ" ท่านโฮร่าแนะนำแขกคนสนิท
"เอ๋! คุณซอนญ่าเคยอยู่ที่นี่เหรอครับ?" เคอิลถามอย่างประหลาดใจ
"จ้ะ! อยู่มาตั้งแต่เด็กเชียวล่ะ" ซอนญ่าโน้มตัวลงกล่าวอย่างเป็นกันเอง
เคอิลรู้สึกว่าปราชญ์ท่านนี้น่าอัศจรรย์นัก ในความคิดของเขามหาปราชญ์น่าจะเป็นผู้เฒ่าแก่ๆ หน้าตาคงแก่เรียนเสียอีก คิดไปซักพัก เรื่องราวของความฝันเมื่อคืนก็ถูกกระตุ้นให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
"เอ่อ... ท่านโฮร่าครับ คือเมื่อคืนผมฝันแปลกมากๆเลยครับ" เคอิลรีบเข้าประเด็นทันทีที่นึกได้ "ผมฝันถึง ย....ยีมิร์ นะครับ ถ้าจำไม่ผิด"
"ยีมิร์?" ซอนญ่าอุทาน "เห็นทีท่านโฮร่าต้องพาเด็กคนนี้ขึ้นไปเล่าความฝันให้ฟังอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ"
เคอิลมีสีหน้าแปลกใจกับกริยาของซอนญ่า ทว่าท่านโฮร่ากลับขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
..........................................
ทั้งสี่กำลังอยู่บนโถงชั้นบนสุดของหอคอยแห่งปัญญา เคอิลกำลังเล่าความฝันของตนที่พบเจอมาอย่างละเอียดตามความต้องการของซอนญ่า ทางด้านเซราฟและท่านโฮร่าเองก็กำลังฟังอย่างใจจดจ่อ และยิ่งเคอิลเล่ารายละเอียดความฝันของตนมากขึ้นเท่าไร สีหน้าของซอนญ่าและท่านโฮร่าเองก็เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
"ข้าคือทุกสิ่ง.... ข้าคือยิมิร์.... พอสิ้นเสียงนี้ผมก็ตื่นขึ้นมาครับ ไม่กลัวหรือตื่นตกใจเลย" เคอิลจบการเล่าของตนลง
"น่าแปลก... ไม่มีทาง... ไม่น่านะ... ข้าขอถามเจ้าละกัน รู้ถึงตำนานการสร้างโลกรึเปล่า?" ซอนญ่าเอ่ยปาก
"เรื่องที่มหาเทพโอดินสร้างโลกขึ้นมา ผมรู้แค่นั้นเองครับ ผมเป็นนักเวทย์สายนับถือธรรมชาติ" เคอิลบอกเท่าที่ตนเองจะพอทราบ
"เดี๋ยวนี้เทวตำนานและนักเวทย์ผู้บูชาเทพ-เทวีน้อยลงทุกวัน ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้จัก จริงอยู่ที่ท่านมหาเทพโอดินสร้างโลกขึ้นมา แต่ท่านสร้างมาจากสิ่งใด? รู้รึไม่?" ซอนญ่าเริ่มเปิดประเด็น ฟังดูราวกับอยู่ในชั่วโมงวิชาประวัติศาสตร์ก็ไม่ปาน
"เอ๋! ท่านไม่ได้สร้างมาจากอำนาจของท่านเองหรอกเหรอครับ?" เคอิลสงสัย
"หึๆ" ซอนญ่ากลั้วหัวเราะในลำคอ "นั่นมันพระผู้เป็นเจ้าของคนที่นั่งข้างๆเจ้าต่างหาก" ซอนญ่าตอบพลางเบนสายหาไปหาเซราฟ
"ก่อนที่จะมีสรรพสิ่งต่างๆเหล่านี้น่ะ ข้าจะเล่าแบบย่อๆนะ จักรวาลเรามีเพียงโลกของไฟ และโลกของน้ำแข็ง แต่กึ่งกลางระหว่างนั้นก็มีความว่างเปล่าอันลึกล้ำอยู่ ภายในโลกแห่งความหนาวเหน็บก็พลันบังเกิดน้ำพุขึ้น แต่น้ำพุนั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำแข็งไปเสีย ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จู่ๆก็เกิดวัววิเศษชื่อออดุมลากับยักษ์ตนหนึ่งขึ้นจากน้ำแข็งนั้น ยักษ์ตนนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการดื่มน้ำนมของแม่วัว และแม่วัวก็อยู่ได้โดนเลียน้ำแข็งซึ่งผุดมาจากน้ำพุแห่งชีวิต แต่น้ำแข็งที่แม่วัวเลียก็กลับกลายเป็นชายผู้หนึ่งนามว่า บูรี และบูรีก่อกำเนิด บอรร์ ซึ่งภายหลังได้แต่งงานกับยักษีตนหนึ่ง และได้ให้กำเนิดมหาเทพยิ่งใหญ่สามองค์ด้วยกัน นั่นก็คือ โอดิน วิลี และเว" ซอนญ่าพักพลางกลืนน้ำลายก่อนจะบรรยายต่อ
"เกิดจากน้ำแข็งที่แม่วัวเลียเนี่ยนะ?" เคอิลแปลกใจ
"อย่าขัดสิ" ซอนญ่ามองลอดแว่นตาคู่เล็กๆด้วยสายตาอันคมกริบ "แต่แล้วโอดินก็ได้ฆ่ายักษ์ที่กำเนิดพร้อมกับแม่วัวออดุมลา และนำเอาร่างกายของยักษ์ตนนั้นมาสร้างโลก ซึ่งยักษ์ตนนั้นก็คือก็คือยิมิร์" ซอนญ่ารีบรวบรัดเมื่อเห็นเคอิลและเซราฟทำสีหน้าแปลกใจขึ้นทุกทีๆ
"นั่นก็หมายความว่ายิมิร์นั้นตายไปแล้ว และแผ่นดินที่เรายืนอยู่ก็คือซากร่างของยักษ์ตนนั้นนั่นเอง ไม่มีทางที่เธอจะติดต่อกับยิมิร์ได้อีก" ซอนญ่ายืนยัน
"แต่นั่นไม่ใช่ฝันธรรมดาแน่นอนนะครับ ผมรู้สึกได้ มันต่างจากฝันทั่วไปที่ผมเคยฝันมา" เคอิลยังคงยืนกราน
"พอเถอะ ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ทั้งยังแค่ครั้งเดียวอีกด้วย เท่านี้ยังยืนยันอะไรไม่ได้หรอก ข้าว่าพวกเราไปทานอาหารเช้ากันดีกว่า นี่ก็สายมากแล้ว" ท่านโฮร่าตัดบท ซึ่งเซราฟเองก็ได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องเช่นกัน
"งั้นมื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง ถือซะว่าเลี้ยงต้อนรับซอนญ่าศิษย์รักของข้า" ท่านโฮร่าเอ่ยเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
"เอ... หนูว่า มันน่าจะเป็นมื้อเย็นมากกว่านะคะ เลี้ยงต้อนรับเนี่ย"
"ช่างเถอะ จะมื้อไหนก็ไม่สำคัญไปกันดีกว่า" ท่านโฮร่าเริ่มก้าวเดินไปทางบันได ทุกคนเดินลงไปตามบันไดเวียนของหอคอย
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า" เซราฟคิด "ลูกยังคงเชื่อว่าพระองค์ยังเป็นพระผู้สร้างเสมอ ถึงแม้จะได้ยินเรื่องของ เทพเจ้าองค์อื่นซึ่งสร้างโลกจากผู้อื่นก็ตาม ก็มิอาจลบศรัทธาที่ลูกมีต่อพระองค์ได้" เซราฟเอ่ยกับตนเองในใจ บางทีอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เซราฟคิด
เมื่อทั้งเด็กหนุ่มทั้งสองกลับมายังบ้านของเคอิลด้วยสภาพที่อิ่มเต็มคราบ ก็พบว่าเฟลิน่ามีแขกอยู่คนหนึ่ง เป็นชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาสวมหมวกฟางปีกกว้าง ดวงตาบอดไปข้างหนึ่ง ชุดที่เขาสวมใส่นั้นดูราวกับเป็นนักเดินทางจากแดนไกล
"อ้าว! มาพอดีเลยเด็กๆ เอ่อ นี่คือ.." เฟลิน่ารีบแนะนำ ทันทีที่เห็นเด็กทั้งสองก้าวเข้ามา
"ข้าชื่อเฟรกิ เป็นนักผจญภัยและกวีพเนจร เป็นสหายเก่าของแม่เจ้า" ชายผู้นั้นแนะตัวเองทันที เสียงของเขาฟังดูมีพลังอย่างประหลาด
เซราฟรั้งชายเสื้อของเคอิลพลางทำสีหน้านิ่วราวกับสงสัยหรือไม่ไว้ใจอะไรอยู่
"ชายคนนี้..." เซราฟดึงแขนเสื้อของเคอิล เพื่อให้เขาโน้มกายลง "เหมือนกับแม่ของเคอิล มีพลังบางอย่างที่ผมคุ้นเคย... ไม่สิ มากกว่าแม่ของเคอิลอีกด้วย" เซราฟกระซิบอย่างแผ่วเบาที่สุดราวกับกลัวว่าชายคนนั้นจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
"แม่ว่าเด็กๆขึ้นไปที่ห้องดีกว่านะจ๊ะ เดี๋ยวแม่รับแขกเอง" เฟลิน่าต้อนเด็กๆขึ้นไปที่บันได
"ไม่เป็นไรหรอก เรียกเข้ามาคุยด้วยกันเลยก็ได้เฟลิน่า ข้าเองก็มีเรื่องที่จะคุยกับเด็กคนนี้เหมือนกัน" เฟรกิเอ่ยขึ้น ทำให้เฟลิน่าลากเด็กลงมาที่ห้องรับแขกใหม่อีกครั้ง
"ข้าไม่เคยเห็นแม่ข้าลนลานอย่างนี้มาก่อนเลย" เคอิลหันไปบอกเซราฟด้วยท่าทางสงสัย
.......................................
เมื่อทั้งสาม และแขกอีกหนึ่งคนได้นั่งลงในห้องรับแขกเรียบร้อย การสนทนาจึงเริ่มขึ้น
"ข้ารู้จักกับแม่ของเจ้ามานานมากแล้วล่ะ และไม่ได้ติดต่อกันมานาน" ชายผู้นั้นก้าวยาวๆไปรอบห้อง "แต่ที่ข้ามาคราวนี้ไม่ใช่เพราะนางหรอกนะ แต่ข้ามาหาเจ้า" เฟรกิมองเคอิลด้วยดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียว ถึงแม้จะตาบอดแต่ชายผู้นี้ก็ดูสง่างามอย่างประหลาด
"มาหาข้า? ท่านเคยเจอข้าแล้วรึ? หรือว่าเป็นตอนเด็กๆ ข้าคงจำไม่ได้" เคอิลรู้สึกไม่คุ้นหน้าชายผู้นี้จึงตอบไปตามตรง
"เปล่าหรอก เราไม่เคยเจอกันมาก่อน ว่าแต่ว่า แม่เจ้าไม่เคยพูดถึงพ่อของเจ้าให้ฟังเลยรึ?" เมื่อเฟรกิเอ่ยขึ้นเฟลิน่าก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
"เอ่อ... ท่าน... ท่านเฟรกิคะ" เฟลิน่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น? พ่อของข้าเป็นใคร? คนคนนี้คือใคร? แล้วทำไมแม่ข้าต้องมีทีท่าหวาดกลัวชายผู้นี้ด้วย?" ความคิดของเคอิลวิ่งโลดแล่นไปมาอยู่ในหัว สร้างความสับสนมิใช่น้อย
"นี่แม่เจ้าไม่เคยพูดถึงจริงๆรึ ปูมหลังที่มาของครอบครัวเจ้า พ่อของเจ้า สายเลือดของเจ้า หรือมันน่าอับอายเกินไปที่จะพูด หืม? เฟลิน่า" ประโยคหลัง ชายผู้นั้นดูเหมือนจะพูดเพื่อให้แม่ของเคอิลได้ยินมากกว่า
ตัวของเฟลิน่าเองยืนก้มหน้านิ่งราวกับสิโรราบไม่ตอบโต้ใดๆกับชายผู้นี้ ทางเซราฟก็ยืนหลบอยู่มุมห้องคอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ
"ถ้างั้นข้าจะบอกเอง แต่ไม่ใช่ตอนนี้" เฟรกิประกาศ
"ข้ารู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า และข้าก็รู้อีกว่าเจ้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น" เฟรกิหย่อนกายลงบนเก้าอี้ "ข้าจะยื่นข้อเสนอแก่เจ้า! ให้เจ้าตามหายิมิร์จนพบ แล้วจากนั้นข้าสัญญาว่าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้" เฟรกิยื่นข้อเสนอแก่เคอิล
"ไม่นะ! เคอิลอย่าไปนะลูก อยู่ที่นี่กับแม่ ไม่ต้องไปไหน" ราวกับว่านางไม่สามารถอดกลั้นอีกต่อไป ร้องเรียกด้วยน้ำตาที่หยดเป็นเม็ดลงตามสองแก้ม แต่นางก็ยังคงยืนอยู่กับที่ราวกับถูกตรึงไว้
"พอเถอะเฟลิน่า นี่คือสิ่งที่เด็กต้องรู้ ถ้าเจ้าไม่กล้าพอข้าจะจัดการเอง จะฝืนชะตาและปิดบังอดีตไปทำไม?" เฟรกิกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือการปลอบใจอยู่บางๆ
"แต่ว่า... ยิมิร์ตายไปแล้ว..." เคอิลยังไม่เข้าใจจุดประสงค์
"แต่ทำไมถึงยังสามารถติดต่อกับเจ้าได้ล่ะ" ดวงตาข้างที่ยังปกติของเขาจับจ้องดวงหน้าของเคอิล "เพราะยิมิร์ยังไม่ตายน่ะสิ ข้าถึงต้องการให้เจ้าออกตามหา" เฟรกิอธิบาย
ยิมิร์อยู่ที่ไหนตัวของเคอิลเองก็ยังไม่รู้ แต่ความอยากรู้ในชาติกำเนิดของตนนั้นมีแรงผลักสูงกว่า ทำไมแม่ถึงไม่ต้องการให้ข้ารู้? พ่อของข้าเป็นใคร? เป็นอะไร?
"ตกลง!!! ข้าขอรับข้อเสนอของท่าน" เคอิลทนแรงกระหายใคร่รู้ของตนไม่ไหว
"ไม่นะ อย่าไปเลยลูก!" เฟลิน่าร้องอย่างเจ็บปวด ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
"เจ้าตัวตกลงแล้ว อย่าไปขัดขวางโชคชะตาเลย" เฟรกิลุกขึ้น พลางขยับหมวกปีกกว้างของตนลงมาปิดดวงตาที่บอดข้างหนึ่งไว้
"เมื่อเจ้าตามหายิมิร์พบ เมื่อนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ พรุ่งนี้จงไปพบผู้อาวุโสประจำหมู่บ้านของเจ้า ท่านจะตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้า" ชายผู้นั้นพูดพลางเดินออกไป
เมื่อประตูปิดลงเฟลิน่ายันตัวขึ้นยืนช้าๆ มีเซราฟที่ตรงเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น
"ชายผู้นั้นคือใคร ท่านแม่?" เคอิลถามด้วยเสียงเครียด "ทำไมถึงดูมีความสำคัญต่อแม่เหลือเกิน ทำไมชายผู้นั้นถึงรู้เรื่องของพวกเรา?"
"แม่... แม่ตอบไม่ได้" เฟลิน่าเอ่ยพร้อมกับปาดน้ำตา ดวงตาสีฟ้าสดเปียกชุ่ม "แม่พูดไม่ได้ ถ้าลูกจะไปแม่ก็คงห้ามไม่ได้ แต่ตอนนี้ขอแม่พักก่อนเถอะ แม่เหนื่อยเหลือเกิน" นางเดินขึ้นบันไดไปด้วยท่าทีอิดโรยและสีหน้าเศร้าสร้อย ทิ้งให้เคอิลและเซราฟยืนครุ่นคิดอยู่ชั้นล่าง
"ผมตัดสินใจแล้ว! ผมจะไปกับเคอิลด้วย!" เซราฟโพล่งขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำเอาเคอิลที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นสะดุ้งสุดตัว
"แล้วงานของเจ้าล่ะ?" เคอิลถามอย่างเป็นกังวล
"ที่ผมไปก็เพื่อพิสูจน์และยืนยันความเชื่อ ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่า พระผู้สร้างของผมมีอยู่จริง แต่ถ้าหากยิมิร์มีจริงก็คงต้องนำเรื่องขึ้นศาสนจักรเพื่อขอคำอธิบาย" เซราฟมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที
"งั้นพอหลังอาหารเที่ยงแล้วเราไปหาท่านโฮร่าเพื่อขอคำปรึกษากัน" เคอิลเสนอ