" ผมรู้สึกแปลกๆกับที่นี่ " เซราฟเอ่ยขึ้น
" ข้าก็เช่นกัน " เคอิลกระซิบตอบ
ทั้งสองเดินไปตามทางที่สะอาดสะอ้านผิดธรรมดานั้น บรรดาหินที่ก่อตัวห้อมล้อมเขาทั้งสองเป็นสีเทาสะอาด ตลอดทางเดินอับทึบนี้ไม่ปรากฏคบไฟแม้แต่ดวงเดียว ทว่าก็ยังคงมีแสงสว่างเพียงพอให้แก่ทั้งสอง ดูราวกับหินทุกก้อนให้แสงสว่างออกมาจากตนเอง ทางเดินหินที่ปิดล้อมไปเสียทุกด้านนั้นชวนอึดอัดยิ่งนัก ทั้งสองเดินไปตามทางที่ทอดยาวอย่างไม่รู้ทิศจนถึงทางสี่แยก
" ไปทางไหนกันล่ะ ?" เคอิลหันรีหันขวาง ทั้งสองยืนอยู่กลางแยก กำแพงล้อมรอบและทอดตัวยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา ทางทุกสายดูเหมือนกันไปหมด
" ผมไม่รู้สิ " เซราฟคราง เขาเองก็ตัดสินใจไม่ถูก แรงกดดันประหลาดที่ยากบรรยายก็ยิ่งทำให้เขาสับสน ทางเดินที่ล้อมไปด้วยหินทุกด้านดูสะอาดสะอ้านผิดธรรมดา ทั้งยังมีกลิ่นไอแปลกๆที่ทำให้เซราฟไม่ไว้ใจ
เคอิลสันสินใจเลี้ยวซ้าย เขาเดินนำโดยไม่มีสุ้มเสียงใดๆ เคอิลพาเดินตรงไปตามทางเดินเรื่อยๆ เจอแยกก็เลี้ยวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แต่ทุกๆก้าวที่เดินก็ดูไม่ต่างจากทางที่เดินผ่านมาเท่าไหร่นัก จนกระทั่งนักเวทย์หนุ่มหยุดเดิน คิ้วขมวดมุ่นอยู่เหนือดวงตาสีดำฉายแววครุ่นคิด โดยไม่บอกกล่าวใดๆ เคอิลก็คว้ามือของเซราฟแล้วออกวิ่ง
" ทำไมต้องวิ่งด้วยล่ะ !" นักบวชร้องถาม ไม่มีเสียงตอบรับจากปากของเคอิล
" ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย ได้โปรด ..." เคอิลได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ
ทั้งคู่ต่างออกวิ่งไปได้ซักระยะ ผ่านทางแยกมากมาย เคอิลพาเซราฟวิ่งเลี้ยวซ้าย - ขวา ไปตามทางแยกต่างๆ แต่ทว่ากำแพงโดยรอบที่ห้อมล้อมอยู่ก็ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
" พอก่อนเถอะ ผมไม่ไหวแล้ว " เซราฟหอบ ฉุดดึงมือของเคอิลให้ลดความเร็วลง " นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมต้องวิ่งด้วย ?"
" เป็นอย่างที่คิด จริงๆด้วย " นักบวชหนุ่มกัดฟัน
" ไฟรแลนซ์ !!!" โดยปราศจากสัญญาณใดๆ เคอิลร่ายเวทย์ไฟสาดใส่พื้น แสงสว่างแดงฉานวาบ ไอร้อนแผ่กระจายลามเลียไปทั่ว
" เคอิล ! เป็นอะไรไป ? เกิดอะไรขึ้น ?" นักบวชตัวน้อยร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นเคอิลทำอาการแปลกๆ
" ดูนี่นะ " เคอิลชี้ให้เห็นรอยไหม้ด่างดำบนพื้นอันเกิดจากเวทย์ไฟ
" แล้วทำไมเหรอ ?"
เขาไม่ตอบ กลับคว้าแขนของเซราฟออกวิ่งผ่านแยกต่างๆอีกครั้ง
" เดี๋ยว ! เดี๋ยวๆ ! แฮ่กๆ ใจเย็นๆฮะ เกิดอะไรขึ้น ผมไม่เข้าใจ " เซราฟร้องถาม ขณะที่ขาก็พยายามก้าวให้ทันกับแรงกระชากที่ข้อมือ รู้สึกได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวที่ผ่านจมูก นักบวชตัวน้อยรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณชายโครง พยายามหายใจกระชั้นถี่ขึ้น วินาที่ที่เซราฟจะตัดสินใจทิ้งตัวลงกับพื้นนั่นเอง เคอิลก็หยุดวิ่ง
" ดูที่พื้นสิ " เสียงเคอิลปนหอบ
สิ่งที่ปรากฏที่เท้าของทั้งคู่เป็นสิ่งที่อยู่ผิดที่ผิดทาง และไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง มันคือรอยไหม้ที่เกิดจากเวทย์ของเคอิลนั่นเอง
" เขาวงกต " นักเวทย์หนุ่มว่า " เรากำลังอยู่ในเขาวงกต "
ความคิดของเซราฟวิ่งวุ่น สิ่งที่เขากำลังประสบเป็นสิ่งแปลกใหม่ และน่ากลัว
" แต่ว่า ..." เซราฟละล่ำละลัก " ถ้าเราวิ่งเป็นเส้นตรงล่ะ ? ถ้าเราไม่เลี้ยวเลย มันก็น่าจะถึงทางออกรึไม่ก็ทางตันบ้างนะ "
" งั้นก็ลองดู " เคอิลออกเดินทันที เซราฟรีบก้าวตามไปอย่างหวาดกลัว ทั้งคู่เดินอย่างสงบ แต่ทว่าภายในหัวของพวกเขา กำลังครุ่นคิดถึงการออกจากที่นี่
ทว่าเดินผ่านไปไม่กี่แยก ก็มีสิ่งที่ทำให้ทั้งสองแทบจะกรีดร้อง สิ่งที่ทำให้ความหดหู่ และความหวาดกลัวทวีเพิ่มขึ้น นั่นคือรอยไหม้ที่พื้น รอยเดียวกับที่เคอิลสร้างไว้ มันอยู่แทบเท้าของทั้งสอง
" ท ..... ทำไม ?...... ทั้งที่เราเดินเป็นเส้นตรงแล้ว มันก็น่าจะไม่ย้อนกลับมาสิ เราไม่ได้เลี้ยวตรงไหนเลยนี่นา " เซราฟเสียงสั่น พยายามข่มความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างสุดความสามารถ
" นี่ไม่ใช่ทางวงกตธรรมดา ที่นี่ต้องถูกลงด้วยเวทย์ไว้ " เคอิลขมวดคิ้ว สีหน้าวิตก ดวงตาสอดส่ายไปมาอย่างใช้ความคิด
" หมายถึง .... ค่ายกล ?" เซราฟรื้นน้ำตา เสียงสั่นเครือ " แล้วเราจะออกไปจากที่นี่ยังไง "
" มันต้องมีวิธีสิ ... มันต้องมีวิธี " นักเวทย์หนุ่มคราง
.........................................................................
ซอนญ่า มหาปราชญ์สาวยืนอยู่หน้าทางเข้าชั้นใต้ดินของพระราชวังโลอาเมีย ปลายนิ้วแตะอยู่ที่ถุงหนังใส่หนังสือที่เอว
" เด็กๆลงไปที่นั่น ! ต้องไปดักตัวไว้ก่อน " แน่นอนว่าซอนญ่าผู้เป็นถึงมหาปราชญ์ ตัวแทนแห่งกษัตริย์ย่อมต้องรู้ทางหนีทีไล่ในที่นี้ดี นางหมายจะเข้าไปดักทางเด็กทั้งสอง แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังนาง
" ใครน่ะ ?" นางหันไปถามผู้บุกรุก เจ้าของร่างนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยรุ่นราวคราวเดียวกับนาง อยู่ในชุดเกราะสีขาวงดงามแปลกตา
" เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ ?" นางถามอีกครั้ง พร้อมกับกวาดสายตาสำรวจเรือนร่างผู้บุกรุก
" ข้าต้องเข้าไป " ร่างนั้นเอ่ยด้วยเสียงเป็นมิตร แต่ก็แฝงไปด้วยท่าทีเชิงสั่ง เส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ถักเป็นเปียหนาทิ้งปลายให้ระอยู่ที่เอว ดวงตาสีฟ้าสดมีแววอ่อนโยนจับจ้องที่ซอนญ่าไม่วางตา
" ข้าไม่อนุญาต ! ใครก็ตามไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปยังที่ศักดิ์สิทธิ์นี่ " ปราชญ์สาวประกาศ ปลายนิ้วเอื้อมไปแตะถุงหนังใส่หนังสืออย่างเตรียมพร้อม
" ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องใช้กำลัง โปรดให้อภัยด้วย " หญิงในชุดเกราะเอ่ยเสียงเย็นยาบ
" ถ้าเช่นนั้นข้าขอเชิญข้างนอก การวิวาทในเคหะสถาน โดยเฉพาะราชวังนั้นผิดมารยาท ข้าไม่เห็นควรด้วย " ซอนญ่าผายมือยังเบื้องนอกอย่างเชื้อเชิญ หญิงสาวในชุดเกราะรบยิ้มรับ
ทั้งสองเดินออกไปยังนอกประตูอย่างเงียบสงบ คำเชิญชวนของซอนญ่า แน่นอนว่าย่อมมีอะไรแอบแฝง
" ข้าคือซอนญ่า แอทิลล์มหาปราชญ์แห่งโลอาเมีย โปรดเอ่ยนามของท่าน ศัตรูของข้า " ดวงตาของสีน้ำเงินของซอนญ่าทอประกาย
" นามข้าคือเฟลิน่า ข้ามาเพื่อรับลูกข้า " นักรบสาวประกาศกร้าว พร้อมกับที่ทั้งสองเดินพ้นประตูมานอกอาคาร แสงทองเริ่มจับขอบฟ้าเปลี่ยนท้องฟ้าซีกตะวันออกให้เป็นสีแดง
เป็นดั่งที่เฟลิน่าคาดไว้ การที่ซอนญ่าเชิญนางออกมาต่อกรข้างนอก ไม่ใช่เพียงแค่ป้องกันการสูญเสียของอาคารเท่านั้น หากแต่เหล่านักปราชญ์ สารยเวท และฝูงฮาร์ปีที่รายล้อมอยู่นั้น หมายถึงกำลังหนุนที่รอการโจมตี
ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเฟลิน่า " ถ้าเป็นเช่นนี้ เห็นทีข้าคงไม่ออมมือ "
เหล่านักปราชญ์ นักสารยเวท และฮาร์ปีฝูงเล็กๆ ยืนรายล้อมเฟลิน่าด้วยท่าทีพรักพร้อมรอคอยคำสั่งจากมหาปราชญ์ตัวแทนพระองค์
" จงมาสู่ข้า หอกอันศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏ !" เฟลิน่ายกมือขวาขึ้นสูง ตะโกนก้อง ฉับพลันทันใดก็เกิดแสงสีน้ำเงินสว่างจ้า ก่อเกิดหอกสองปลายเล่มใหญ่สีเงินสุกปลั่งแกะลวดลายงดงาม
" ฮาร์ปี !" ซอนญ่าตะโกนสั่งการ ฮาร์ปีที่กระพือปีกเตรียมพร้อมพุ่งเข้าหาเฟลิน่าจากทุกทิศทุกทาง
นักรบสาวยกหอกขึ้นมาเสมออก หลับตาพริ้ม ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยถ้อยคำอันแผ่วเบา
" ดั่งคำข้าบัญชา ! ด้วยพันธะสัญญาต่อเฮโมดุร์ สายลมผู้นำพาท่านไปยังนิเฟลไฮม์จงบังเกิดต่อข้า เพื่อก่อศาสตราปัดเป่าไพรี " เฟลิน่าตวัดหอกไปรอบกาย ก่อเกิดสายลมรุนแรงพัดออกไปโดยมีร่างของนางเป็นศูนย์กลาง ราวกับพายุที่จู่ๆก็ก่อตัวพัดโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง เหล่าฮาร์ปีที่พุ่งตัวเข้ามาต่างถูกพัดพากระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
" พวกสารยเวท !" ซอนญ่าออกคำสั่งครั้งที่สอง ทว่าเหล่าสารยเวทต่างมีท่าทีหวาดกลัวในพลังของเฟลิน่า ทุกคนล้วแต่เก้ๆกังๆ ไม่กล้าที่จะก้าวเข้าหา
เฟลิน่าอมยิ้มมุมปาก นางผ่อนมือข้างที่ถือหอกลง ปีกสีขาวขนาดมหึมากางกระพือขึ้นที่หลังนาง " เห็นทีข้าเองคงไม่ต้องลงมืออะไรมากนัก " นางเอ่ยด้วยเสียงหยามเหยียด ลอยตัวสูงขึ้นด้วยปีกอันแสนงดงามคู่นั้น
" นางไม่ใช่คน ! นางเป็นเทพ !" สารยเวทนายหนึ่งตะโกนอย่างขวัญเสีย สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เฟลิน่าด้วยอาการตกประหม่า ซอนญ่าเองก็นึกไม่ถึงว่านางกำลังต่อกรกับผู้ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ !
" บรากิเอย ท่านผู้เป็นมหากวีเอกแห่งโลกทั้งเก้า ด้วยบทเพลงที่ท่านขับขานมาเนิ่นนาน จงบันดาลให้อริข้าตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์ !" นางเอ่ยด้วยเสียงที่ราบเรียบทว่าดังกึกก้องชัดเจน ในน้ำเสียงของนางนั้นก็ดูเหมือนมีท่วงทำนองของดนตรีโบราญสอดแทรกอยู่ด้วย
เหล่าทัพของโลอาเมียต่างได้ยินบทร่ายอันแฝงไปด้วยดนตรีประหลาดนั้น ก็ค่อยๆตกอยู่ในห้วงนิทรา นอนสลบไสลไม่ได้สติไปเสียสิ้น ร่างของเหล่าสารยเวท และปราชญ์ทั้งหลายค่อยๆทิ้งกายลงนอนทีละคนๆ
" น ... นี่มัน ... อะไรกัน " ซอนญ่าพยายามแข็งขืนต่อความง่วงที่กำลังกดหนังตาของนางให้ปิดลง " ไม่ได้ ! ข้าจะหลับไม่ได้ !" นางตะโกนแข่งกับความง่วง คว้ามีดพกใบกว้างที่เหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมา ซอนญ่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กัดริมฝีปากล่างก่อนที่จะกรีดมีดลงบนฝ่ามือเป็นทางยาว ความเจ็บปวดช่วยเรียกสติให้กลับมาได้ดีทีเดียว เลือดสีแดงเข้มไหลเป็นทางตามข้อมือไล่ไปถึงข้อศอก ก่อนที่จะหยดลงบนพื้นเป็นดวงสีแดงสด
" เจ้าช่างมีความอดทนดีจริง ข้าจะดูซิว่าจะทนได้ถึงเท่าไหร่กัน ?" เฟลิน่าประหลาดใจในความพยายามของซอนญ่า
แทบไม่น่าเชื่อ บัดนี้มีเพียงซอนญ่าเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ต่อสู้กับความง่วงเพีลงคนเดียวเท่านั้น นักปราชญ์สาวเก็บมีดลงในถุงหนัง ฉีกปลายผ้าคลุมออกมาพันแผลในมือไว้อย่างหยาบๆ ก่อนที่จะคว้าคทาด้ามยาวที่เหน็บไว้กลางหลัง เกิดแสงสีน้ำเงินอมเขียวจางๆที่ปลายคฑา
" ฟริจิต ฮาร์พูน !!! (Frigit Harpoon!!!)" ซอนญ่าร่ายเวทย์เข้าใส่เฟลิน่าที่ลอยอยู่บนอากาศ ก้อนน้ำแข็งรวมตัวกันเป็นแท่งยาวคมกริบนับสิบพุ่งเข้าใส่เฟลิน่าด้วยความเร็ว
เฟลิน่ายกหอกของนางขึ้นปัดป้องลูกธนูน้ำแข็งได้อย่างง่ายดายราวกับแหวกพงหญ้า แท้งน้ำแข็งแตกกระจายเป็นละอองสะท้อนแสงทองยามเช้าระยิบระยับ ก่อนจะลดระดับการลอยตัวจนฝ่าเท้าสัมผัสพื้น
" ดั่งคำข้าบัญชา ! ด้วยพันธะสัญญาต่อเฮโมดุร์ สายลมผู้นำพาท่านไปยังนิเฟลไฮม์จงบังเกิดต่อข้า เพื่อก่อศาสตราปัดเป่าไพรี " เฟลิน่าตวัดหอกไปรอบกายอีกครั้ง สายลมที่รุนแรงกว่าครั้งแรก พัดพาเอาฝุ่นทรายปลิวว่อนคละคลุ้ง ร่างกายของกองทัพย่อมๆที่สลบไสล ถูกลมพัดหอบกระจายออกเป็นวงกว้าง
เมื่อลมสงบลง ฝุ่นทรายทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่าง ซอนญ่ากลับยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ในมือของนางเกาะกุมคทาด้ามยาวที่ปลายปักลงพื้นเสียแน่น ริมฝีปากของปราชญ์สาวกระซิบกระซาบเสียงแผ่วเบา นางกำลังร่ายเวทย์ ! ทว่ากลับเก็บคทาเหน็บไว้ที่หลังตามเดิม คว้ามีดที่พกอยู่ออกมาอีกครั้ง พุ่งตัวเข้าหาเฟลิน่าด้วยความเร็ว การร่ายเวทย์ขณะเคลื่อนไหวเป็นข้อได้เปรียบของนาง
หญิงสาวทั้งสองเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด หอกเล่มหนาของเฟลิน่า สามารถปัดป้องการโจมตีจากอาวุธมีดซึ่งมีขนาดเล็กได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซอนญ่าเองที่เป็นฝ่ายรุกก็ใช้มีดได้อย่างคล่องแคล่วผิดจากนักเวทย์ทั่วไป ปากของนางยังคงกระซิบกระซาบมนตราไม่ขาดปาก
จวบจนจังหวะที่เฟลิน่าโต้กลับบ้าง นางปัดหอกหมายซัดให้ซอนญ่ากระเด็น ทว่าปราชญ์สาวกลับก้มตัวหลบปลายหอกที่เฉียดศีรษะไปเพียงเล็กน้อย เฟลิน่าชักหอกกลับมาก่อนที่จะแทงซ้ำออกไป เป้าหมายคือคออันระหงของปราชญ์สาวที่ก้มตัวหมอบอยู่เบื้องล่าง ซอนญ่าสามารถจับจังหวะการโจมตีได้แม่นยำ นางอาศัยการดีดตัวจากการก้ม พุ่งสวนกับปลายหอกไปทางด้านข้างของเฟลิน่า ปะเหมาะกับที่เวทย์ของนางร่ายจบ ซอนญ่าหันหลังกลับมาปลายมีดในมือชี้ตรงไปยังร่างของเฟลิน่า
" โฮโลคอสต์ !!! (holocaust!!!)" ซอนญ่าตะโกนก้องน้ำเสียงกำชัย สายฟ้าเส้นบางหวดผ่าลงบนปลายหอกของเฟลิน่านับสิบสาย แสงสว่างจ้าทาบทับไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มราวฟ้าถล่ม แต่สายฟ้าจำนวนมากก็หาได้ทำให้นางวัลคิรี่ย์สะเทือนแต่อย่างใดไม่ เฟลิน่ายังคงยืนกุมหอกอย่างสง่างาม มีก็เพียงแต่ควันสีขาวจางๆที่ลอยกรุ่นออกจากร่างของนางเท่านั้น ที่บ่งบอกถึงอำนาจของพลังสายฟ้าที่ไหลผ่านตัวนางเมื่อซักครู่ ซอนญ่ามองอย่างไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
" มีไหวพริบดีนี่ ถ้าเจ้าสิ้นชีพเมื่อไร ข้าจะมารับเจ้าด้วยตัวข้าเองทีเดียว " เฟลิน่าเอ่ยคำชมต่อศัตรูตรงหน้า นางเองก็แทบไม่ได้พบหญิงที่มีไหวพริบในการรบเช่นนี้มาเนิ่นนาน " แต่ว่าในตอนนี้ ... ข้าต้องหยุดเจ้าให้ได้ก่อน " ปีกของนางกางออกอีกครั้ง มันโบกสะบัดยกตัวนางลอยขึ้นสูง
" เทพบิดรโอดินจงฟังข้า ด้วยบทลงโทษแห่งหมาป่าผู้ฉ้อฉลอันสาสม อำนาจอันทัดทานกับสายโซ่เกลียบนิร์ที่พันธนาการร่างของมันจงปรากฏต่อหน้าข้า ด้วยมนตร์ตรึงกายนี้จักเป็นเช่นเดียวกับที่ท่านได้กระทำต่อเฟนริร์ " สิ้นเสียงเฟลิน่าก็พุ่งหอกเข้าหาซอนญ่าทันที ทว่าหอกที่พุ่งออกไป กลับกลายเป็นเพียงลำแสงรูปหอกที่ดูเปราะบางเท่านั้น มันพุ่งตรงเข้าทะลุร่างของปราชญ์สาวทำให้นักปราชญ์สาวล้มลง ปลายหอกฝังแน่นอยู่กับพื้น
ทั้งที่หอกนั่นทะลุกายของซอนญ่าอยู่ แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน มันไม่ก่อให้เกิดบาดแผลใดๆ จุดที่หอกแสงแทงทะลุร่างกลับเป็นเหมือนลำแสงที่ฉายพาดร่างเธอไว้เท่านั้น แต่ว่าผลของมันร้ายแรงยิ่งกว่าที่ตาเห็นนัก ร่างกายของนางกลับขยับเขยื้อนไม่ได้ มันหนักอึ้งไม่ต่างจากมีมือนับพันกดร่างนางเอาไว้
เวทย์พันธนาการ !!! ซอนญ่าแทบอยากจะกรีดร้องด้วยความโมโห ทว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนราวกับถูกตรึงให้อยู่กับที่ มีแต่เพียงดวงตาเท่านั้นที่สามารถกลอกกระพริบ
" ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท ข้าต้องขอให้เจ้าอยู่อย่างนี้ไปก่อน ข้าต้องไปพบลูกข้า " เฟลิน่าหุบปีกของนาง ร่างนั้นทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างราบเรียบก่อนที่จะก้มแสดงความเคารพให้แก่ซอนญ่าเล็กน้อย แล้วจึงหันหลังเดินจากไป
............................................................ ......
อักเนสสะดุ้งตื่นขึ้น เสียงฟ้าผ้าที่ดังผิดปรกตินั้น ฉุดกระชากเธอขึ้นมาจากห้วงนิทรา นางหันมองไปรอบห้อง เดโรนิกา ซาเวียร์ และซิสิเลียที่นอนอยู่ข้างกาย ก็กำลังยันกายลุกขึ้นเช่นกัน
" ท่านเซราฟล่ะ ?" ซิสิเลียงัวเงีย นางเองก็ยังสะลึมสะลืออยู่ไม่น้อย ท้องฟ้าภายนอกยังคงเป็นสีเหลืองทอง
" เห็นท่าว่าเราจะพลาดอะไรไปนะ " เดโรนิกาเอ่ยเสียงราบเรียบ ทั่วทั้งห้องไม่ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองเลย
หรือว่าเสียงเมื่อกี้มัน ... ดวงตาสีม่วงของซาเวียร์เบิกโพลง
เซราฟิมทั้งสี่ต่างกระโดดลุกลงจากเตียง จัดผ้าคลุมกายให้เข้าที่และทยอยออกจากห้องด้วยท่าทีรีบร้อน
" หากท่านเซราฟเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยที่นอนขี้เซาแบบนี้ !" ซิสิเลียบอกกับตัวเอง จิตใจของเธอเต้นระส่ำด้วยความโกรธ
" ขอพระเจ้าคุ้มครองเถิด " ซาเวียร์ที่เดินรั้งท้ายเอ่ยขึ้นเบาๆแต่กลับทรงพลัง มันสร้างกำลังใจแก่ทั้งสี่ได้มากทีเดียว