ภาพเบื้องหน้าไหวระริก แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวรุนแรงเสียจนต้นไม้ที่ยืนต้นโอนเอนอย่างน่ากลัว บางต้นรากถูกดึงขึ้นเหนือพื้น พวกเขาทั้งสามคนได้แต่เพียงนอนหมอบราบไปเท่านั้น
" นี่มันอะไรกันเนี่ย !!! สินค้าชั้น โอย ... หยุดซะที !!!" เทซซ่าตะโกนอย่างหัวเสีย ของในรถเข็นของเธอ เขย่าจนน่ากลัวจะหล่นกระจัดกระจาย
แรงสั่นค่อยๆเบาลงช้าๆ เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวของปฐพี ตอนนี้เหลือเพียงเสียงครางอย่างอาลัยดังแว่วเบาๆ ทั้งสามคนลุกขึ้นช้าๆ พยายามทรงตัวและปรับตัวให้เป็นปกติ ภูมิประเทศรอบข้างก็ดูราวกับเหนื่อยอ่อนไม่น้อย ไม้ใหญ่โอนเอน รากยกขึ้นเหนือพื้น แผ่นดินมีรอยแตกเล็กๆกระจายไปทั่ว
" มิน่า เมื่อกี้พวกสไลม์วิ่งมาเป็นขบวน ว่ากันว่าพวกสัตว์ต่างๆจะรับรู้หายนะได้ล่วงหน้า " นักสารยเวทพูดพร้อมกับก้มลงไปจัดของในรถต่อ " นี่ชั้นเพิ่งจัดไปนะเนี่ย ไหน ? มีอะไรพังไปรึเปล่า ?" นางควานมือลงไปพลาง ปัดปอยผมสีม่วงที่คอยแต่จะตกลงมาปรกหน้าไปพลาง
ระหว่างที่เด็กทั้งสองได้แต่ยืนงุนงงอยู่นั้น จู่ๆเซราฟก็เกิดความรู้สึกประหลาดพุ่งขึ้นมา มันเป็นสัมผัสของพลัง พลังที่เซราฟคุ้นเคย ความรู้สึกกดดันแต่ก็อบอุ่น มันพองคับอยู่เต็มอก แรงกดประหลาดเต็มตื้นเอ่อล้นถึงลำคอ นักบวชน้อยเอื้อมมือไปคว้าแขนของเคอิล
" เป็นอะไรไป ? สีหน้าไม่ดีเลย " เคอิลถามด้วยความเป็นห่วง " ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ มันจบแล้ว " เคอิลลูบหัวเซราฟเบาๆ ผมสีทองประกายพลิกตัวไปตามฝ่ามือของเคอิลที่ลูบผ่าน
" กำลัง ... มีคนกำลังมาที่นี่ ... คนของศาสนจักร พวกเค้า ... ผมรู้จักดี ....." เซราฟพูด น้ำเสียงสั่นเหมือนคุมสติไว้อย่างลำบากยากเย็น กระชับวงแขนแน่นกับท่อนแขนของเคอิล
" อะไรกัน ? ใครจะมา ? เซราฟ ! อธิบายให้เข้าใจที " เคอิลพูด สองมือกุมอยู่ที่ไหล่ของเซราฟมา
" อะไรกัน ? เกิดอะไรขึ้น ?" เทซซ่าที่กำลังจัดของอยู่ก็เดินมาสมทบด้วยความสงสัย
เซราฟมีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาสีเขียวดุจมรกตของเขากลอกไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิด
" มาแล้ว !!! ทำไมกัน ? ถึงกับต้องให้พวกเขาออกมาเชียว ทำไม ?" เซราฟพูดออกมา มันราวกับเสียงกระซิบที่เปรยกับตัวเอง
" ใคร ? ใครมา ? เซราฟ ! พูดให้เข้าใจที ได้โปรด " เคอิลเขย่าตัวเซราฟเบาๆ ชั่วขณะหนึ่งเขากลัวว่าเซราฟจะตกอยู่ในอาการช็อกเนื่องจากตกใจที่เกิดแผ่นดินไหว
" คนของศาสนจักร ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ทำไม ....... ทำไมนะ ..." เซราฟสบตากับเคอิล วินาทีนั้นเองที่เขาแน่ใจว่าเซราฟยังมีสติครบถ้วนดี
ขณะที่เซราฟเองก็ยังคงอยู่ในอาการหวาดวิตก ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมายังพวกเขา เป็นสตรีในชุดคลุมสีม่วงเข้มขลิบดิ้นทอง ตรงหน้าอกมีเครื่องหมายตรากางเขนประดับปีกสีขาวหกปีกปักไว้
" เซราฟิม !!!" เซราฟตะโกนออกมาทันทีที่เห็นพวกเธอทั้งสี่อย่างถนัดตา
พวกเธอทั้งสี่คนโน้มกายทำความเคารพเซราฟอย่างนอบน้อม
" ม ... มาทำไม ? พ ... พวกเธอ มีธุระอะไร ?" เซราฟพูดเสียงสั่น
" มารับท่านกลับไป " หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น เธอมีผมสีทองตัดสั้นถึงท้ายทอย หน้าตาดูขมวดตึง เคร่งขรึม ดวงตาสีเทาอ่อนดูนิ่งและแข็งกร้าวจนน่ากลัว
" ผมไม่กลับ !!! ไปบอกท่านได้เลย ท่านส่งพวกคุณมาใช่มั้ย ?" เซราฟพูดเสียงแข็ง น้ำเสียงที่ดูหวาดผวาเหือดหายไปสิ้น
" นั่นคือหน้าที่ของเราค่ะ ได้โปรดกลับไปกับเราเถอะนะคะ " หญิงสาวอีกคนพูดขึ้นสีหน้าวิงวอน เส้นผมสีแดงอัลมอนด์ เป็นลอนยาวสยาย
" แต่ทำไม ... ทำไมท่านถึงทราบ ?" เซราฟถามขึ้น ดวงตาแข็งกร้าว ความกลัวที่เคยมีเหือดหายไปหมด
" เราไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เหตุผล เรามาเพื่อทำตามหน้าที่ เพราะฉะนั้น ได้โปรดกลับไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้ค่ะ " คราวนี้เป็นสาวผมดำเหยียดตรงหน้าม้าเสมอคิ้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบพูดขึ้น
" ไม่ ! ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ! ผมก็บอกไปแล้ว ผมจะร่วมเดินทางกับเคอิล " เซราฟกอดแขนของเคอิลไว้แน่น
พวกเธอทั้งสี่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับหยั่งเชิงของเซราฟซักพัก
" คนพวกนี้ เป็นใคร ?" เคอิลหันไปถามเซราฟที่กุมแขนของเขาเสียแน่น
" เหล่าเซราฟิม ราชองครักษ์ฝ่ายในพิเศษของสันตะปาปา ปกติพวกเธอไม่ออกมานอกเมืองง่ายๆ " เซราฟกระซิบตอบไป สายตายังคงจ้องไปยังกลุ่มหญิงสาวในชุดคลุมสีม่วงเข้ม
" แล้วทำไมคนวงในของศาสนจักรมาตามเจ้าล่ะ ? เซราฟ เจ้าเป็นใครกันแน่ ?" เคอิลหันไปกระซิบ
" ไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ช่วยไม่ให้ผมกลับไปก็พอ " เซราฟตอบเสียงร้อนรน
" อย่าให้เราต้องใช้กำลังบังคับเลยนะคะ " หญิงสาวคนสุดท้ายในกลุ่มก้าวออกมา ผมสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบไว้อย่างดีที่ท้ายทอย นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง เสียงของเธอกังวานใสคล้ายใครบางคน ดวงตาสีฟ้าสดจับจ้องอยู่ที่เซราฟอย่างไม่วางตา
" ช่วยไม่ได้นะ คงต้องใช้กำลังจริงๆ " เธอคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเซราฟกุมแขนของเคอิลกระชับแน่นขึ้น เหมือนจะยืนกรานว่าไม่
พวกเธอทั้งสี่สะบัดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นชุดสีฟ้าอ่อนที่ตัดเย็บอย่างงดงาม พวกเธอดูสวยงามราวกับทูตสวรรค์ แต่ก็ดูกระฉับกระเฉง ชุดของพวกเธอนั้นตัดเย็บตามแบบชุดของแม่ทัพสวรรค์ เหล่าฑูตสวรรค์ที่เป็นผู้ปกป้องสรวงสวรรค์ให้พ้นจากเหล่าปีศาจและผู้ผิดบาป
" เดี๋ยวก่อนเด็กๆ " เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ทำให้ทุกคนหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง เจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ข้างทางช้าๆ ร่างที่ค้อมชราปรากฎพร้อมกับหมวกฟางปีกกว้างที่ปีกหมวกข้างหนึ่งถูกดึงลงมาปิดบังดวงตาข้างท่มืดบอด เขาคือเฟรกิ ชายแก่ตาบอดข้างหนึ่งที่เคอิลพบที่บ้านของเขา คนที่ทำให้ท่านแม่ต้องลำบากใจ คนที่พูดถึงท่านพ่อของเขาราวกับรู้จักดี ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้า เดินออกมาคั่นกลางระหว่างพวกเขา และเหล่าองครักษ์ทั้งสี่ ในมือถือวัตถุยาวเหยียดที่ห่ออยู่ในผ้าสีขมุกขมัว
" ปล่อยเด็กไปเถอะ พวกเขาก็แค่อยากรู้อยากเห็นไปตามประสา ให้พวกแกได้ผจญภัยบ้างจะเป็นไรไป " ชายชราพูดขึ้น ขยับหมวกฟางผุๆให้ปิดตาข้างที่บอดของเขา
" แล้วท่านเป็นใคร ? กงการอะไรที่จะมาห้ามพวกเรา " หญิงสาวที่มีผมสีทองซอยสั้นพูดขึ้นเสียงกร้าว
" ถ้าพูดขอดีๆแล้วไม่ได้ ก็คงต้องสอนบ้างล่ะนะ ว่าผู้ใหญ่พูด ต้องเชื่อฟัง "
ราวกาลเวลาถูกหมุนย้อนกลับ ชายชรานั้นดูคล้ายกับกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง ร่างกายที่ค้อมโก่งยืดขึ้น ดูสง่าผ่าเผย และแกร่งกระชับราวกับทหารหาญ ที่ไม่เปลี่ยนไปก็เห็นแต่จะมีเส้นผมสีเทาหงอก และดวงตาที่บอดข้างหนึ่งเท่านั้น ไม้ท่อนยาวที่ถูกห่อด้วยผ้ามอมแมมก็คลายตัวออก มันคือหอกเล่มใหญ่สีเงินสุกปลั่ง ประดับลวดลายงดงามแปลกประหลาด เฟรกิยืนอย่างผ่าเผยประจัญหน้ากับเหล่าราชองครักษ์
" เข้ามา ! เด็กๆทั้งหลาย ชนะข้าได้แล้วถึงจะยอมให้พวกเด็กนี่กลับไปกับเจ้า " เขาพูดพร้อมกับชี้หอกเล่มหนาหนักนั้นไปทางพวกเธอทั้งสี่
" มัวพิรี้พิไรอะไรอยู่ ?" เฟรกิเร้า ปลายหอกยังคงชี้ตรงไปยังเหล่านักรบสาวเซราฟิมทั้งสี่ ระหว่างนั้น เคอิล เซราฟ และเทซซ่า ถอยออกมาช้าๆ ทิ้งระยะให้พ้นเขตต่อสู้
หนึ่งในนั้นก้าวเดินออกมา ดวงตาสีเทาฉายแววมุ่งมั่น ผมสีทองซอยสั้นของเธอ ทำให้เธอดูไม่ต่างจากเด็กชายแรกรุ่น
" โฮ่ ! มาทีละคนรึ กล้าหาญดีนี่ สมกับเป็นนักรบ " เฟรกิเอ่ย น้ำเสียงเจือความชื่นชม
" แม่ทัพสวรรค์มิคาเอลจงมาเถิด ! ด้วยดาบแห่งความชอบธรรม จงปรากฎ ! เซเคร็ท เอดจ์ !!! (Sacred Edge!!!)" เกิดประกายแสงสว่างเจิดจ้านับร้อยรวมกันอยู่ที่มือขวาของเธอ ฉับพลันทันใดเกิดเป็นดาบเล่มยาวสีเงิน ดูส่องประกายอย่างประหลาด
" ชีรับ !!! (Cherub!!!)" อีกครั้งที่แสงสว่างได้รวมตัวกัน คราวนี้ในมือซ้ายของเธอปรากฏเป็นโล่เงินรูปเทวทูตกุมมือกระชับแนบอกปีกที่หลังทั้งสองข้างกางสยายราวกับให้พรแก่ผู้ที่ถือไว้
เมื่ออาวุธครบมือ เธอก็พุ่งเข้าใส่เฟรกิในทันที ดาบสีเงินกวัดแกว่งอย่างชำนาญ แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ถืออยู่นั้นเป็นสตรีเพศ
ทั้งที่อาวุธหอกเป็นอาวุธที่มีระยะการโจมตีไกล และยากที่จะตั้งรับในระยะประชิดแท้ๆ แต่เฟรกิกลับตั้งรับการโจมตีในระยะประชิดได้อย่างไม่มีที่ติ ด้ามหอกกวัดแกว่งรับการโจมตีจากคมดาบที่ฟาดฟันลงมาได้อย่างรวดเร็ว เกิดประกายแสงและสะเก็ดไฟทุกครั้งที่อาวุธเข้ากระทบกัน คมดาบหนึ่งฟาดลงมาเหนือศีรษะของชายชรา เสียงดาบแหวกอากาศดังอยู่เหนือหัว และรวดเร็วปานความคิด เขายกด้ามหอกขึ้นรับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และปัดมันกลับสุดแรง จนหญิงสาวถลาถอยไปหลายก้าว
" ข้าชื่อเฟรกิ แล้วเจ้าจะไม่แสดงชื่อให้ข้ารู้เสียหน่อยรึ ?" เฟรกิถามขึ้น ยกปลายหอกชี้ไปทางเธออย่างเตรียมพร้อม
" ซิสิเลีย นามของข้าคือ ซิสิเลีย โวลเตนเบิร์ก ตัวแทนแห่งมหาเทพมิคาเอล จงจำนามข้าไว้ !" เธอยกดาบและโล่ขึ้นเสมออก มันเรืองแสงสีขาวนวลอ่อนๆ
" คราวนี้ทีข้าบ้าง " เฟรกิพุ่งเข้าใส่ซิสิเลีย ปลายหอกตวัดแทงเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
ซิสิเลียหลบหลีกคมหอกได้อย่างคล่องแคล่ว บางการโจมตีที่เธอไม่สามารถหลบพ้น เธอก็จะยกโล่ขึ้นมาป้องกัน เฟรกิไล่ต้อนด้วยการแทงและกาดหวดฟาดจนซิสิเลียถอยร่นไปหลายก้าว ระยะการโจมตีของหอกกว้างกว่าดาบมากนักทำให้เธอแทบไม่มีช่องว่างและจังหวะที่จะเข้าประชิดตัวได้เลย การเคลื่อนไหวของเฟรกินับว่ารวดเร็วและเฉียบคมนัก ช่องว่างที่จะให้เข้าประชิดตัวหาแทบไม่พบ เซสิเลียได้แต่ตั้งรับและหลบคมหอกที่พุ่งเข้าใส่เธอ
และแล้วจังหวะที่เฟรกิพุ่งหอกเข้าใส่ซิสิเลียด้วยความรวดเร็ว เธอเบี่ยงตัวหลบปลายหอกอย่างหวุดหวิดก่อนที่จะพุ่งปลายดาบเข้าใส่ชายชราอย่างไม่ปราณี ทว่าด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่านัก เฟรกิหมุนตัวหลบที่พุ่งเข้าหาเขาพร้อมกับเหวี่ยงหวดหอกในมือเข้าใส่ น้ำหนักของหอกผสานกับแรงเหวี่ยงจากการหมุนตัวทำให้เกิดแรงกระแทกที่มีพลังทำลายสูง ด้วยความเร็วขนาดนี้นักรบสาวไม่สามารถหลบได้พ้นเป็นแน่ ทั้งดาบในมือของซิสิเลียเองก็ไม่สามารถรับแรงกระแทกแทนเธอได้แน่นอน ทว่าก่อนที่คมหอกจะหวดถึงตัวเธอนั้น โล่ในมือเธอ โล่ที่แกะลวดลายเป็นเทวทูตของเธอก็เรืองแสงสีฟ้าสด เกิดเป็นแผ่นแสงสีฟ้าจางๆขึ้นบริเวณที่คมหอกหวดลงมา ปลายหอกปะทะเข้ากับแผ่นแสงสีฟ้าก่อนที่จะกระเด็นกลับออกไปโดยไม่ได้แตะต้องผิวกายของซิสิเลียแม้แต่น้อย
" โฮลี่ชีลด์ยังคงพึ่งพาได้เสมอ " เธอยิ้มน้อยๆอย่างพอใจ ก้าวถอยหลังสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก
" ในเมื่อเข้าใกล้ไม่ได้ ก็คงจะต้องโจมตีจากตรงนี้ล่ะนะ " ซิสิเลียยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ
" ด้วยดาบนั่นน่ะรึ ? จากระยะห่างขนาดนั้นน่ะนะ ?" เฟรกิเอ่ยอย่างหยันๆ มุมปากกระดกขึ้นด้วยความขำขัน
แสงสีขาวเรืองๆที่ปรากฏบนอาวุธของเธอบัดนี้กลับสว่างโชติช่วง มันส่องแสงจ้าราวดวงอาทิตย์
" ด้วยแรงศรัทธาอันเปี่ยมล้น เฟธฟูล !!! (Faithful!!!)" เธอตวัดดาบลงมาอย่างรวดเร็วเกิดคลื่นแสงเป็นวงโค้งเหมือนคมดาบพุ่งเข้าใส่เฟรกิทันที
เฟรกิยกหอกขึ้นรับคมดาบแสงที่ตวัดเข้ามาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ทำให้ร่างกายของชายชราถอยกรูดไปหลายก้าว หมวกฟางใบโทรมปลิวหลุดออกจากศีรษะเผยให้เห็นดวงตาที่บอดข้างหนึ่ง และเส้นผมสีเทาที่ปลิวลู่
" เฟธฟูล !!!" โดยไม่รอช้าไม่รอช้า ... ซิสิเลียตวัดคมดาบซ้ำลงไปอีกครั้งทันที
แต่ก่อนที่คมดาบจะพุ่งมาถึงตัว เฟรกิง้างหอกสุดแขนพร้อมกับหวดอากาศเป็นแนวนอนอย่างรวดเร็ว เกิดคมหอกแสงพุ่งตามขวางสวนออกมา ลำแสงแสงของเฟรกิพุ่งตัดของซิสิเลียจนสลายกระจายราวหิ่งห้อยนับร้อย ก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าหาซิสิเลีย ด้วยความตกใจคาดไม่ถึงในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผนวกกับความรวดเร็วของคมแสงทำให้การตั้งรับไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ลำแสงกระแทกร่างของหญิงสาวอย่างจังในทันใด ทำเอาเธอกระเด็นไปไกล ร่างของซิสิเลียลอยละลิ่ว เมื่อถึงพื้นร่างกายของเธอยังคงถลาไปอีกหลายก้าวด้วยแรงกระแทก เส้นผมสีทองที่ถูกตัดจนสั้นยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
" อืม ... ท่านี้ง่ายดี ไว้จำไปใช้บ้าง " เฟรกิพูดพลางใช้ปลายหอกเขี่ยหมวกฟางขึ้นมาสวมใส่ปิดบังดวงตาข้างที่บอดของเขาไว้ดังเดิม
ซิสิเลียยันกายลุกขึ้นด้วยปลายดาบ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโมโห ดวงตาสีเทาจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ด้วยความงุนงงระคนเจ็บแค้น " ม .... ไม่จริง " เธอยกดาบขึ้นอีกครั้งหวดฟาดลงไป ราวกับไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
" เฟธฟูล !!!"
และเช่นกันที่เฟรกิก็เหวี่ยงหอกของตนจนเกิดคลื่นคมแสงพุ่งสวนไปอีกครั้ง มันตัดลำแสงของซิสิเลียตรงเข้าหาตัวเธอ คราวนี้เธอเตรียมพร้อมขึ้น มีแผ่นแสงโฮลี่ชีลด์กางขึ้นมา คมแสงพุ่งเข้ามากระทบกับโล่แสงสีฟ้า แรงกระแทกของมันลากร่างของเธอถอยกรูดไปอีก กระทั่งแผ่นแสงแตกออก ลำแสงพุ่งกระแทกกับโล่ชีรับของเธออย่างจัง แรงปะทะผลักให้โล่ในมือหลุดกระเด็นลอยไปตกอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่นัก
" ท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้ว คราวนี้ใครล่ะ ?" เฟรกิหันกลับไปยังเหล่าเซราฟิมอีกสามคนที่เหลือ ต่างยืนส่งสายตากึ่งทึ่งไว้ท่าทีมาทางชายชราผู้เก่งกาจ เคอิล เซราฟ และเทซซ่ากำลังยืนชมการต่อสู้ด้วยใจจดจ่อระคนตกตะลึก
และแล้วอีกหนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมาช้าๆ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกรวบมัดไว้ที่ท้ายทอย ขับให้ดวงตาสีฟ้าสดดูส่วางโดดเด่น ดวงหน้าที่อ่อนโยนขณะนี้ฉายแววโกรธขึ้งจางๆ
" มหาเทพอุริเอลผู้ชี้ทาง จงชี้แนะข้า ด้วยคมหอกแห่งแสงสว่าง จงปรากฎ ! เอ็กโซดัส !!! (Exodus!!!)" หอกด้ามยาวสีเงินอมฟ้าประกายปรากฏขึ้นในมือเธอ ด้วยวิธีที่ไม่ต่างจากซิสิเลีย
" ข้า ! อักเนส เซลิสิตาส วอน กราเฟนเรียธ จะเป็นคู่ต่อสู้ให้ท่านเอง หอกก็ต้องพบกับหอก จริงมั้ย ?" เธอพูดน้ำเสียงอ่อนหวานกังวานขัดกับประโยคพร้อมกับยกปลายหอกชี้ไปยังเฟรกิ ชายชราตอบรับด้วยการยกปลายหอกไปไขว้กัน ทั้งสองยืนนิ่งหยั่งเชิงกันอยู่
จนกระทั่งอักเนสปัดปลายหอกของคู่ต่อสู้ออกไป แล้วแทงหอกเข้าใส่เฟรกิอย่างรวดเร็ว เฟรกิหลบหลีกโดยแทบจะเรียกได้ว่าคมหอกอยู่ห่างร่างกายของเขาไปเพียงปลายเส้นขนเท่านั้น ชายชราถอยห่างออกมาจนได้ระยะที่คมหอกปะทะกับคมหอก การฟาดฟันอย่างถึงพริกถึงขิงจึงได้เกิดขึ้น ร่างกายอันแบบบางของอักเนสพลิ้วไหวอย่างน่าชม ฝ่ามือที่กุมด้ามหอกตวัดกวัดแกว่งอย่างชำนิชำนาญ
อักเนสกระโดดถอยออกมา ยกหอกขึ้นข้างใบหูก่อนที่จะพุ่งออกไปยังเฟรกิ
" รีเทรซ เจฟลิน !!! (Retrace Javelin!!!)" หอกสีเงินอมฟ้าของเธอพุ่งเข้าหาชายชราด้วยความรวดเร็ว คมหอกพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิวอย่างน่าหวาดเสียว แต่เฟรกิก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างทันท่วงที หลังจากที่ตัวหอกพุ่งผ่านร่างของชายชราไปก็ราวกับมีแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดหอกเล่มนั้นไว้ มันพลิกตัวกลางอากาศอย่างผิดธรรมชาติก่อนที่จะพุ่งกลับมาอีกครั้ง และในจังหวะที่หอกนั้นพลิกตัวกลับพุ่งเข้ามาทางด้านหลัง เฟรกิก็สามารถหลบได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์
อักเนสคว้าหอกที่พุ่งกลับเข้ามาพลางมีสีหน้าแปลกใจ คราวนี้นักรบเฒ่าหมุนหอกของตนเอาด้ามจับหันไปยังอักเนส แล้วพุ่งมันเข้าหาเธอบ้าง ด้านด้ามจับที่ตรงข้ามกับคมหอกพุ่งเข้ามาหาเธออย่างเร็ว
" ดูถูกกันไปหน่อยนะคะ " อักเนสพูดเสียงกังวานใส เบี่ยงตัวหลบทางหอก การโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยด้ามหอกถือเป็นการดูหมิ่น
หอกที่พุ่งเข้ามาเบี่ยงตัวตามการเคลื่อนไหวของเธอราวกับติดตามตัว มันกระแทกเข้าหน้าท้องของเธอเต็มแรงจนต้องทรุดลงยืนด้วยเข่า หอกถอยตัวกลับไปราวกับมีแม่เหล็กยักษ์ดูดไว้เช่นกัน แล้วมันก็ลอยตัวกลับไปยังมือของชายชราอีกครั้ง เหมือนกับที่อักเนสได้ทำไว้ไม่มีผิด
" ป ... เป็นไปไม่ได้ ข้าหลบพ้นแล้วนี่ " เธอยันกายขึ้นอีกครั้ง กวัดแกว่งหอกอย่างข่มขวัญ พยายามข่มความเจ็บปวดจากการกระแทก โชคยังดีที่เฟรกิใช้ด้านด้ามจับพุ่งเข้ามา มิฉะนั้นหอกจะต้องทะลุผ่านร่างของเธอเป็นแน่
คราวนี้เธอถีบตัวกระโดดพุ่งขึ้นฟ้า ยกหอกขึ้นพร้อมกับซัดลงมายังนักรบเฒ่า
" อาเว โกดิว่า !!! (Ave Godiva!!!)" หอกที่พุ่งลงมานั้นราวกับห่าฝน มันแยกตัวออกเป็นฝูงหอกสิบหกเล่มพุ่งเข้าใส่อย่างน่ากลัว
ชายชรายกมือขึ้นข้างหนึ่ง เหยียดกางนิ้วทั้งห้าออกเต็มที่ เกิดเป็นแผ่นโล่แสงสีฟ้าจางๆขนาดมหึมาเหนือฝ่ามือของเขา มันเหมือนกันกับของซิสิเลียเลยทีเดียว ทว่าขนาดของมันใหญ่กว่ากันมากนัก โล่แสงกางกั้นเขาจากคมหอกที่พุ่งตกลงมา แรงกระแทกของหอกสิบหกเล่มซัดเข้าหาจนเกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นควันตลบอบอวลคละคลุ้ง หอกนับสิบแตกกระจายกลายเป็นละอองแสงกลุ่มใหญ่ม้วนตัวลอยเข้าหาอักเนส แล้วจึงกลับกลายเป็นหอกอีกครั้งในมือของเธอ ฝุ่นทรายทิ้งตัวลงพื้นเบื้องล่าง กลุ่มหอกที่ซัดกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรงไม่ได้สร้างรอยขีดข่วนแก่เฟรกิแม้แต่น้อย ชายชรายืนอย่างผ่าเผย ท่ามกลางฝุ่นควันที่ลอยตัวอย่างอ้อยอิ่งเหนือข้อเท้า
" เป็นไปไม่ได้ แค่มองครั้งเดียวก็ ...." อักเนสมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความหวาดหวั่นในคู่ต่อสู้ฉายออกมาทางสีหน้า เฟรกิสามารถจดจำทักษะของคู่ต่อสู้ได้เพียงแค่เห็นครั้งเดียว หากเธอโดนอาเว โกดิว่าเข้ากับตัวบ้าง ก็แทบไม่อยากจะนึกสภาพ
ช่วงจังหวะนั้นเอง หญิงสาวผมม้าสีดำขลับก้าวออกมาข้างตัวอักเนส ดวงหน้าสงบนิ่งเยือกเย็นไร้อารมณ์
" เดโรนิกา ! เธอออกมาทำไม ?" อักเนสพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ยกหอกขวางตัวเดโรนิกาไว้
" ข้า ! เดโรนิกา วอน กรูนาว์ ตัวแทนแห่งมหาเทพเกเบรียล ฑูตผู้ใกล้ชิดพระองค์ ด้วยพระมหิทธานุภาพ จงปรากฎ จัดจ์เมนท์ !!! (Judgment!!!)" เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแก่ซิสิเลียและอักเนส ในมือของเธอปรากฏแตรเขาสัตว์เลี่ยมขอบทองสวยงาม ร้อยไว้ด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาลเข้มเงางาม เธอยกมันจ่อที่ปากสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมที่จะเป่า
" อามาเกดดอน !!! (Amagedon!!!)" เธอเป่าเขาสัตว์สีทองนั้นเต็มแรง เสียงของมันราวกับดังออกมาจากทั่วแผ่นฟ้า มันดังกึกก้องและสั่นสะเทือนไปทั่ว เป็นเสียงที่สร้างความรู้สึกหวาดประหวั่น และสิ้นหวัง แต่ราวกับเฟรกิไม่ได้ยินมัน เขาเดินดุ่มตรงมายังพวกเธอ สูดลมหายใจเต็มปอด ตวาดเสียงก้องต่ำแข่งกับเสียงแตรของเธออย่างน่ากลัว
ทันใดนั้นเอง ราวกับความท้อแท้ สิ้นหวัง ความมืด ความเหงาเศร้า ความรู้สึกอันเป็นด้านลบของจิตใจประดังเข้าไปยังเหล่าเซราฟิมนักรบสาวทั้งสี่ รวมทั้งเคอิล เซราฟ และเทซซ่าที่ยืนดูการต่อสู้ทั้งหมด ราวกับโลกทั้งใบนี้มืดสนิทไร้ความหวัง ในจิตใจของพวกเขาว้าวุ่นไร้สมาธิ มีแต่เพียงความหดหู่ สิ้นหวัง และเหงาเศร้า
" วันนี้พอเท่านี้ดีกว่านะ กุงนิร์ลูกข้า " เฟรกิพูดกับหอกในมือตน พลางลูบมันอย่างรักใคร่ " เห็นผลแล้วนี่นา ถ้าพวกเจ้าต้องการแก้มือก็จงร่วมเดินทางกับพวกเด็กๆของข้า ... ไม่ดีกว่า นี่เป็นสัญญา ว่าผู้แพ้นั่นก็คือเจ้า จะต้องตามอารักขาเด็กๆของข้าจนกว่าจะถึงที่หมาย แล้วเจ้าจะได้พบข้าอีกแน่ ไม่นานหรอก จงดูแลเด็กของข้าให้ดี แล้วเราจะได้ประมือกันอีก " เฟรกิพูดพร้อมกับร่างกายที่โค้มโก่งขึ้นกลับมาดูชราไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง
นักรบเฒ่าหันหลังเดินจากไป ใช้หอกในมือต่างไม้เท้าค้ำกาย ตอนนี้เขาดูชรากว่าตอนที่ก่อนจะสู้เสียอีก ร่างกายโก่งงอเดินง่อนแง่นหายเข้าไปในป่า ปล่อยให้คนทั้งเจ็ดตกอยู่ในความหดหู่ไว้เบื้องหลัง
" ซาเวียร์ ! ช่วยที ได้โปรด " ซิสิเลียร้องเรียกนักรบสาวอีกคน เธอผู้มีดวงตาสีม่วงเข้ม เส้นผมแดงอัลมอนด์ บัดนี้ความหดหู่เข้าครอบงำทุกคนไม่เว้นแม้แต่เธอ ที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้
" มหาเทพราฟาเอล ด้วยการเยียวยาอันแสนลึกล้ำ จงปกปักษ์ เจเนซิส !!! (Genesis!!!)" แสงสว่างสีขาวบนฝ่ามือจางลง คฑาด้ามยาวสีทองยอดประดับไม้กางเขนก็ปรากฏขึ้นในมือเธอส่องแสงประกายระยับงามตา มันถูกตบแต่งอย่างงดงามด้วยอัญมณีหลากสีและการแกะลายที่วิจิตร
" ฮาเรลูยา !!! (Hareluja!!!)" ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เกิดประกายแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากคฑายอดกางเขนของเธอ แสงสว่างอาบไปทั่ว ทันทีที่แสงได้สัมผัสผิวกาย ก็ราวกับความมืดมิดในจิตใจได้ถูกชำระล้างด้วยน้ำทิพย์วิเศษให้กลับมากระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกด้านลบในจิตใจเหือดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเจ็ดคนได้แต่ยืนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน