" เฟลิน่า !" เสียงเรียกฉุดให้สติ และความคิดของนางกลับมาอีกครั้ง หญิงม่ายสาวหันกลับไปยังต้นเสียง พ่อมดชรายืนอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีเทาจับจ้องมายังเฟลิน่าด้วยความโอบอ้อม
" ท่านโฮร่า ! ขออภัยที่ไม่ทันสังเกตค่ะ " นางลุกขึ้น ยกมือปาดเม็ดน้ำตาเล็กๆออกจากแก้มข้างหนึ่ง " ชาซักแก้วไหมคะ ?"
" ไม่เป็นไร ขอบใจมาก " ท่านโฮร่าบอกปัด พลางเดินตรงไปหาเฟลิน่า ชายชรายกมือขึ้นปัดปอยผมออกจากใบหน้าขาวนวลที่บัดนี้ความเศร้าสร้อยได้ฉาบทับไปทั่วเสียแล้ว
" ท่านโฮร่า !!! " นางสะกดอารมณ์ไว้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสอันเป็นที่รักเยี่ยงบิดา นางโผเข้ากอด น้ำตาเม็ดโตหยดเผาะๆไหลอาบสองแก้มตลอดจนคางเรียวสวยของนาง
" ข้า ... ข้าคิดถึงลูก ข้าเป็นห่วงเขา ... มากเหลือเกิน .... เหลือเกิน " เฟลิน่าร้องเสียงสะอื้น ตอนนี้นางกลับดูเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆที่กำลังกอดพ่อร้องไห้
ท่านโฮร่าปล่อยให้นางได้ระบายปลดปล่อยซักพัก เมื่อเสียงของนางอ่อนลงจึงกุมไหล่ทั้งสองข้างก้มลงสบตานาง
" ฟังนะ เฟลิน่าแม่ตัวน้อย ทุกคนย่อมมีทางเดินเป็นของตนเอง เมื่อลูกเจ้าปรารถนาเช่นนั้น นั่นคือสิ่งที่ลูกเจ้าได้เลือกไปแล้ว นั่นคือทางเดินของเขา เจ้าเองก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีให้พร้อมเสมอ เมื่อยามที่เจ้าได้พบลูกอีกครั้ง เจ้าอยากให้เคอิลเห็นเจ้าในสภาพนี้งั้นรึ ?" ท่านโฮร่าลูบผมนางเบาๆอย่างเอ็นดู นางยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มสุกปลั่ง
" นั่นสิคะ จะมามัวเศร้าสร้อยทำไม " ดวงตาสีฟ้ากลับสดใสเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง " ข้าเป็นแม่นะ ! ข้าต้องพร้อมเสมอ เมื่อพบลูกข้า จะให้เห็นข้าในสภาพดูไม่ได้อย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ " นางพูดด้วยเสียงที่เปี่ยมด้วยกำลังใจอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดยืดตัวขึ้นตรง แววตาฉายความมุ่งมั่นเป็นประกายระยับ ก่อนที่จะรวบผมนางใหม่อีกครั้ง ขมวดเป็นปมมวยมุ่นตึงเรียบสวยอยู่ที่ท้ายทอย
" คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าเองก็คงจะต้องขอตัว มีธุระรอข้าอยู่ แม่สาวน้อยของข้า หากเจ้าต้องการคำปรึกษามาหาข้าได้ทุกเมื่อเชียว " ท่านผู้อาวุโสลูบศีรษะนางอีกครั้ง ดวงตาสีเทาของเขาบ่งบอกถึงความเอ็นดูและห่วงใยเต็มเปี่ยม ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
" ขอบคุณค่ะ ท่านโฮร่า " นางพูดเสียงเบาราวกระซิบ สีหน้าขอบคุณเปี่ยมล้น
หลังท่านโฮร่าจากไปเพียงไม่นาน แขกอีกคนก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยือน เส้นผมสีดอกเลาสวมหมวกฟางปีกกว้างใบเก่า กับดวงตาที่บอดไปข้างหนึ่งซึ่งเฟลิน่าไม่มีวันลืม
" ท ... ท่าน ...." นางอุทานอย่างประหลาดใจ
" เฟรกิ นามข้าเมื่ออยู่ที่นี่ " ชายชราเอ่ย
" ค ... ค่ะ ท่านเฟรกิ "
" คิดถึงลูกรึ ?" เขาถามขึ้น นางไม่ตอบได้แต่นิ่งเงียบ ดวงตาที่อ่อนโยนบัดนี้กลับจ้องไปที่ชายชราอย่างหวาดระแวง
" ไม่เอาน่า ! ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร แต่ลูกเจ้าไม่เป็นอันตรายใดๆหรอก เจ้าก็รู้ ในเมื่อข้าออกปากเองมันจะต้องเป็นเช่นนั้น " เฟรกิยังคงพูดต่อด้วยเสียงแหบพร่าชราแก่ของเขา หมวกฟางปีกกว้างเผยอให้เห็นดวงตาข้างที่บอดชัดเจนขึ้น
" รับชาซักแก้วไหมคะท่าน ?" นางตัดบทสนทนา ราวกับไม่ต้องการที่จะสานต่อหัวข้อนี้
เขายับปีกหมวกให้ลงมาปิดดวงตาบอดสนิทข้างนั้น " ข้าเจอลูกของเจ้าแล้ว เขาปลอดภัยดี จะห่วงอะไรนักหนาเมื่อพ่อหนูนั่นอยู่ในความดูแลของข้า "
" เพราะเป็นท่าน ข้าจึงยิ่งต้องห่วง " นางพูดเสียงรอดไรฟันที่ขบกันแน่น
" อีกไม่นานหรอกเฟลิน่า เจ้าจะได้พบลูกของเจ้า แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จะกลับมาสู่ข้าอีกครั้ง " เขาพูดพร้อมกับหันหลัง เตรียมตัวจากไป
" ข้าจะได้พบลูกของข้าแน่นอน แต่การที่จะให้ข้ากลับไปสู่ท่าน ไม่มีวัน ! ข้าจะไม่กลับไปพบกับความเจ็บปวดอีกแน่ " นางพูดเสียงแข็ง
" แล้วข้าจะคอยดู " เฟรกิทิ้งท้าย ก่อนที่จะเดินพ้นประตูบ้านออกไป
........................................................................................................
ในอีกมุมหนึ่งทางทิศตะวันออกของทวีปโทเทีย กลางทะเลทรายอันร้อนระอุ และแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเจิดจ้าแผดเผาทุกสิ่งบนพื้นพิภพอย่างไม่ปราณี เหล่ากลุ่มอัศวินสาวทั้งสี่ได้ร่วมเข้าสู่การเดินทางไปพร้อมกับเคอิล เซราฟ และเทซซ่า
" โอย ! ร้อนจะตายอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะถึงหละเนี่ย ?" เทซซ่าโอดครวญ
" อีกไม่นานหรอกค่ะ เดินขึ้นเหนือไปไม่เกินสองสามชั่วโมงก็จะถึงกำแพงเมืองของแอมโบรเซียแล้วล่ะค่ะ " ซาเวียร์เอ่ยขึ้น เส้นผมสีอัลมอนด์ของเธอยามต้องแสงอาทิตย์ กลับเปล่งประกายสีแดงเจิดจ้าตัดกับผ้าคลุมสีม่วงเข้มที่ห่มกาย
" ดีเลย ! เราจะได้พาท่านเซราฟกลับไป ไม่เสียเที่ยว " ซิสิเลียร้องขึ้น หมายจะแกล้งนักบวชตัวน้อยให้กระอักกระอ่วนใจเล่น นักรบอย่างพวกเธอไม่ตระบัดสัตย์
" ไม่ได้นะซิสิเลีย ! ก็ไหนสัญญาแล้วว่าจะต้องร่วมเดินทางไปจนถึงโลอาเมียไง ผู้แพ้ต้องทำตามกฎสิ " เซราฟท้วงขึ้นแทบจะทันที ไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของซิสิเลียเท่าไหร่นัก นักรบสาวผมทองผู้ห้าวหาญหัวเราะร่วนด้วยความสนุกสนาน
สภาพพื้นดินที่เริ่มมีต้นหญ้าขึ้นครึ้ม และต้นไม้ยืนต้นโปร่ง กระจายตัวทั่วไปแสดงให้เห็นว่า คณะเดินทางได้เข้าใกล้ตัวเมืองทางใต้ของแอมโบรเซียแล้ว
" ในที่สุดก็พ้นจากนรกทะเลทรายกันเสียที " เทซซ่าบ่นอิบ เส้นผมสีม่วงเปียกเหงื่อจนเป็นลิ่มปรกหน้าผาก
" อีกไม่นานก็คงจะถึงตัวเมืองแล้วล่ะ อดทนหน่อยเถิด " อักเนสกล่าว ทุกครั้งที่นักรบสาวคนนี้พูดขึ้น เสียงของเธอก็ทำให้เคอิลคิดถึงใครซักคน ยิ่งทีก็ยิ่งคุ้นแต่ก็ยังไม่สามารถขบคิดจนแตกได้ว่าเป็นใคร
ทว่าเซราฟเองกลับมีท่าทีร้อนอกร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองมากเท่าใดก็ยิ่งมีสีหน้าร้อนรนมากขึ้น
" กลัวจะต้องถูกจับกลับไปงั้นรึ ?" เคอิลถามขึ้น เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเซราฟที่หวั่นวิตก
" ผมว่า พวกเราเดินอ้อมเมืองไปกันดีกว่าไหมครับ ? ผมกลัว " เซราฟเสนอ
" ไม่ต้องกลัวหรอกน่า นี่ก็เย็นแล้ว กว่าเราจะเข้าเมืองก็ค่ำคงไม่เจอคนจากศาสนจักรหรอก " ซิสิเลียตะโกนมาจากทางด้านหลัง ขณะที่กำลังช่วยเทซซ่าดันรถเข็นที่กำลังติดหล่มเล็กๆ
กว่าที่เหล่าคณะเดินทางทั้งเจ็ดคนมาถึงซุ้มประตูทางทิศใต้ แสงสุดท้ายของวันก็ฉายแสงสีแดงส้มฉาบทับไปทั่วบริเวณ ด้วยความที่ตัวเมืองถูกสร้างจากหินสีขาวเสียส่วนมาก เมื่อตกกระทบกับแสงอัสดงก็ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองอยู่ท่ามกลางกองเพลิงมหึมา
" คืนนี้อย่าเพิ่งค้างแรมกันเลย เดินผ่านเมืองตอนกลางคืนจะดีกว่า เป็นที่สังเกตได้ยาก " ซาเวียร์เอ่ยเสียงเรียบ สายตาทอดตรงไปตามทางเดิน
เคอิลเองก็รู้สึกเช่นนั้น การที่เหล่าอัศวินสาวในชุดคลุมสีม่วงเข้มปักสัญลักษณ์แห่งเซราฟิมจะมาเดินท่อมๆกลางเมืองก็คงเป็นที่สะดุดตาไม่น้อยทีเดียว
คณะเดินทางได้ผ่านตัวเมืองซึ่งเงียบสงบ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นเมืองหลวง ทันทีที่ตะวันตกดิน ก็ราวกับทุกชีวิตในเมืองจะตกอยู่ในห้วงนิทราเสียสิ้น มีแต่เพียงแสงเทียนและแสงตะเกียงที่ลอดออกมาตามอาคารบ้านเรือนไหวกระเพื่อมส่องแสงวิบวับเท่านั้น
" เงียบเหลือเกิน นี่มันเงียบเกินไป " เดโรนิกากระซิบ ดวงตากวาดสำรวจไปทั่วด้วยความระแวดระวัง ทั้งที่สีหน้ายังนิ่งสนิท
ทั้งหมดเดินผ่านอาคารบ้านเรือนต่างๆจนมาถึงน้ำพุกลางเมือง อันเป็นลานกว้างเพื่อพักผ่อน ก่อนที่ทางจะทอดไปสู่พระราชวังที่จะพาออกไปยังป่าตอนเหนือ เวลานั้นเอง เงาตะคุ่มเล็กๆ ได้พุ่งตรงมายังคณะเดินทาง
" ระวัง !" ซิสิเลียร้องเตือน เงานั้นสูงไม่เกินหน้าอกของเธอ มันวิ่งตรงมายังพวกเขา แสงสว่างจางๆบนฝ่ามือทั้งสองข้างปรากฎขึ้นอย่างเตรียมพร้อม
" เดี๋ยวสิ ! นั่นมันเด็กนี่นา " เทซซ่าเพ่งตามองไปในความมืด
จริงดังที่เทซซ่าว่า เมื่อเงานั้นวิ่งตรงมาจนความมืดไม่อาจบดบังสายตาของพวกเขาได้ เงาร่างนั้นก็แค่เพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังวิ่งตรงมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอโผเข้ากอดเทซซ่าไว้เสียแน่น
" โอ๋ๆ แม่หนูน้อย มาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ " เทซซ่าลูบผมของเด็กน้อยพลางถาม
เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้น " หนูหลงทางค่ะ หนูกลัวความมืด พี่ช่วยพาหนูกลับบ้านทีนะคะ " เด็กน้อยเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว
แต่สีหน้าของอักเนสกลับมีความกังขา เธอหรี่ตาเพื่อรวบรวมสมาธิ ควบคุมลมหายใจให้เป็นจังหวะ ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปยังเด็กน้อย ครู่หนึ่งดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง ดวงหน้าปรากฏความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
" ออกมา ! ออกมาให้ห่างจากเด็กนั่น !!!" อักเนสร้องตะโกน
" อะไรกันอีก นี่เด็กนะ จะให้ชั้นทิ้งไว้กลางเมืองมืดๆอย่างนี้รึไง ใจดำจริง !" เทซซ่าตำหนิ พร้อมกับส่งสายตาเขียวค้อนใส่อักเนส
แต่นักรบสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าไม่พูดอะไรมากความ เธอสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ปากเผยอเล็กน้อย และแล้วเสียงอันกังวานใสราวระฆังแก้วที่เรียงร้อยเป็นท่วงทำนองเพลงก็ออกมาจากริมฝีปากของเธอ
" เชิญมาเถิดองค์พระเป็นเจ้า
เชิญมาส่องแสงด้วยไฟรักของพระองค์
เชิญมาเถิดองค์พระเป็นเจ้า
เชิญมาเถิดองค์พระเป็นเจ้า "
บทเพลงถูกขับขานซ้ำไปมาด้วยท่วงทำนองอันแสนไพเราะ เสียงของเธอราวกับมีมนตร์วิเศษ เพียงแค่ได้ฟังก็รู้สึกถึงจิตใจอันได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
ขณะที่ทุกคนต่างชื่นชมในรสเพลงอยู่นั้น เด็กหญิงผู้หลงทางกลับมีอาการกระอักกระอ่วน ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้างอยู่ในอ้อมแขนของเทซซ่า
" แม่หนูน้อยเป็นอะไรไป ?" สารยเวทสาวร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
ราวกับความมืดที่ทะยานตนเองออกจากเบื้องลึก ร่างกายของเด็กหญิงบิดเบี้ยวไปอย่างประหลาด มันสั่นเทิ้มและปูดโปนขยายออกจนร่างนั้นเหยียดเกร็งคร่อมร่างของเทซซ่าที่กำลังตื่นตระหนกในเหตุการณ์
" นี่มัน ....." เซราฟดวงตาเบิกกว้าง ร่างของเด็กหญิงที่บัดนี้แปรเปลี่ยนไป มันช่างคุ้นตานัก
" ซัสคิวบัส !!!" เคอิลร้อง นั่นยิ่งช่วยเรียกความมั่นใจในสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าแก่เซราฟมากขึ้น ใช่แล้ว ! นางปีศาจตนเดียวกับที่ได้ต่อสู้กับเอมิเลีย
เทซซ่ากรีดร้องด้วยความตระหนกตกใจ ร่างของปีศาจสาวที่คร่อมนางไว้บัดนี้ปีกสีดำทะมึนกางขยายออกกว้างอย่างน่าเกรงขาม
" แกนี่เอง เจ้าเด็กที่อยู่กับแม่ชีชั่วนั่น ! ถึงคราวที่ข้าจะแก้แค้นแล้วสินะ " ปีศาจสาวสบตากับเซราฟก่อนที่จะหันไปตะโกนใส่อักเนสอย่างบ้าคลั่ง " หยุดซะที ! เสียงนั่น ไม่งั้นแม่นี่ไม่รอดแน่ !" ปีศาจสาวคำราม ฝ่ามือจิกคร่อมไปที่ไหล่ของเทซซ่าราวกับราชสีห์ตะครุบเหยื่อปลายเล็บกดลึกลงไปบนเนื้อ เลือดสีแดงไหลซึม เทซซ่าขบฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด
ทว่าเสียงเพลงของอักเนสก็ยังคงขับขานต่อไป เสียงที่กังวานใสของเธอไม่มีทีท่าประหม่าแม้แต่น้อย
" ออกไปจากเธอนะ นังปีศาจ !" ซิสิเลียร้องตะโกน การโจมตีในระยะนี้เป็นอันตรายต่อเทซซ่า
" ก็ให้แม่นั่นหยุดร้องเสียสิ " นางปีศาจตะโกนกลับ เขี้ยวขาววับส่องประกายในความมืด ดวงตาสีแดงดั่งทับทิมทอประกายไปด้วยโทสะ
เสียงเพลงของอักเนสเงียบลง นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง สีหน้าเปี่ยมด้วยศรัทธาก่อนที่บทเพลงบทใหม่จะเริ่มขับขาน
" จงอย่ากังวลใจ จงอย่าได้กลัวเลย
ผู้วางใจในพระเจ้า ไม่ขาดสิ่งใดๆ
จงอย่ากังวลใจ จงอย่าได้กลัวเลย
เพียงพระเจ้า ... เพียงพอ "
และราวกับสายลมที่โบกโบยโอบล้อมกาย ราวกับสายฝนฉ่ำเย็นที่โปรยปราย ราวกับแสงอาทิตย์ที่ทอแสงอาบกายอย่างอ่อนโยน ราวกับละอองหิมะที่อ้อยอิ่งทิ้งกาย เสียงเพลงแห่งความปีติดังก้องอยู่ในโสตประสาทประหนึ่งมนตราโบราญอันศักดิ์สิทธิ์
แต่ร่างกายของซัสคิวบัสกลับสั่นเทิ้ม และเกร็งเหยียด สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะถีบตัวให้ลอยเหนือพื้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากบาดแผลจากกรงเล็บไว้บนไหล่ของเทซซ่าเป็นทางยาว ปีกค้างคาวกางกระพือพยุงร่างไว้ ปีศาจสาวกำมือแน่นยกกำปั้นขึ้นกดใบหู สีหน้าเจ็บปวด ดิ้นพล่านไปมากลางอากาศ
" หยุด ! หยุดซะที ไอ้เพลงบ้านี่ !" นางปีศาจร้องตะโกน แข้งขาป่ายปัดไปมากลางอากาศด้วยความเจ็บปวด
ทว่าบทเพลงสรรเสริญก็ยังคงบรรเลงต่อไป ด้วยท่วงทำนองที่สม่ำเสมอ และศักดิ์สิทธิ์
" หุบปากเสียที !!!" นางปีศาจคำรามก้องอย่าเหลืออด ลู่ปีกพุ่งตรงมายังอักเนสหมายจะโจมตี อักเนสเบี่ยงตัวหลบ จึงทำให้บทเพลงขาดช่วงไป
โดยไม่ปล่อยให้เสียโอกาส นางปีศาจลอยตัวอยู่กลางอากาศกางแผ่ปีกสีดำทะมึนออกกว้าง
" ฟามิลิอา ธรองก์ !!!" เหล่าค้างคาวฝูงใหญ่นับร้อย พุ่งออกมาจากเงามืดในปีกของนาง พวกมันพุ่งเข้าโจมตีเหล่าคณะเดินทางทันที
ฝูงค้างคาวเข้ากรุ้มรุมเหล่าคณะเดินทางอย่างบ้าคลั่ง เสียงกระพือปีก และเสียงแหลมเล็กดังระงมไปรอบ
" เซเคร็ท เอดจ์ !!! ชีรับ !!!" ซิสิเลียร้องตะโกนท่ามกลางฝูงค้างคาว แสงสว่างจางๆเกิดขึ้นรอบกายเธอ โล่และดาบคู่กายปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือทั้งสองข้าง เธอฟาดดาบลงกลางฝูงค้างคาว ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของอาวุธ ทันทีที่คมดาบสัมผัสกับตัวค้างคาว พวกมันก็กลับกลายเป็นฝุ่นควันสีเทาอมน้ำตาลฟุ้งกระจาย ผ้าคลุมสีม่วงเข้มโบกสะบัดเผยให้เห็นชุดสีฟ้าอ่อนข้างใน
ฝูงค้างคาวบางตาลง ทำให้ปีศาจสาวสามารถจับจ้องเหล่าศัตรูได้ชัดขึ้น ลายปักบนผ้าคลุมสีม่วงเข้มของเหล่านักรบสาวทั้งสี่ ราวกับกระตุ้นอารมณ์นางให้พลุ่งพล่าน
" นักรบชั้นสูงของศาสนจักรเรอะ ! ข้าช่างโชคดีเสียจริง " นางปีศาจสาวแสยะเขี้ยว
เหล่านักรบทั้งสี่ที่บัดนี้อาวุธครบมือ ก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้าราวกับกองทัพเล็กๆที่คอยปกป้องสิ่งสำคัญ เซราฟ เคอิล และเทซซ่ายืนอยู่เบื้องหลังพวกเธอ ฝูงค้างคาวทั้งหมดที่เหลือต่างบินกลับมาห้อมล้อมตัวซัคคิวบัสไว้
" แต่ว่า ก่อนที่จะเล่นกับข้า เล่นกับของเล่นชิ้นใหม่ของข้าก่อนเถอะ " นางปีศาจพูดเสียงเริงรื่น เส้นผมสีทองสะบัดพริ้วไปตามแรงกระพือของปีก
" แวมไพร์ เอโวเคชั่น !!! (Vampire Evocation!!!)" ริมฝีปากสีแดงสดอัมเอิบอิ่มขยับพยาบอย่างนุ่มนวล
ทันใดนั้นเองเทซซ่าก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน นางกุมแผลที่ไหล่ซึ่งได้รับมาจากการจู่โจมของปีศาจสาว บัดนี้แผลของนางกลับมีสีคล้ำขึ้นราวกับมันกำลังไหม้ หาใช่แต่เพียงความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เข้าจู่โจมเทซซ่าเพียงอย่างเดียวไม่ ความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจของเธอเองก็กำลังเจ็บปวดทรมาน ความดำมืดและชั่วร้ายค่อยๆขยายขอบเขตปกคลุมจิตใจของเธออย่างช้าๆ ความทรงจำ และสติกำลังค่อยๆถูกกลืนกินไปทีละนิด มีแต่เพียงความหิวกระหายในรสชาติของเลือดเนื้อเท่านั้นที่ยิ่งเด่นชัดในหัวสมองของเทซซ่า
สารยเวทสาวร้องอย่างเจ็บปวด มวยผมของเธอหลุดออกปลดปล่อยให้เส้นผมสีม่วงสยายพริ้ว ดวงตาสีม่วงสดเบิกกว้างแววตาขุ่นมัวลง เขี้ยวขาวยาวโง้งออกมาจากริมฝีปากของเธอ ร่างกายของเทซซ่าสั่นเทา สีหน้าแสดงความเจ็บปวดทั้งจากบาดแผลและการดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการครอบงำ และแล้ว ... อำนาจมืดก็กำชัย ร่างกายของเธอหยุดสั่น ยืนนิ่งอยู่ชั่วประเดี๋ยว ก่อนที่จะแสยะเขี้ยวพุ่งเข้าหาเซราฟ
และแล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น ทางฝ่ายซัคคิวบัสเองก็ปล่อยฝูงค้างคาวอีกกลุ่มเข้าโจมตีเช่นกัน
" เดโรนิกา ! เคอิล ! ทำลายฝูงค้างคาวซะ ซาเวียร์ ! ไปช่วยเซราฟ ส่วนอักเนสมากับข้า !" ซิสิเลียเริ่มคุมสถานการณ์ทันทีที่สติกลับคืนมา ทุกคนทำตามคำสั่งทันที เดโรนิกาและเคอิลเข้าจัดการฝูงค้างคาว นักเวทย์น้อยร่ายเวทย์ใส่เหล่าค้างคาวโดยมีเดโรนิกาคอยคุ้มกันเพื่อรักษาสมาธิ ซิสิเลียและอักเนสพุ่งเข้าหาปีศาจสาวที่ลอยตัวอย่างอ้อยอิ่งคอยดูเทซซ่าที่โจมตีเซราฟอย่างสนุกสนาน
เทซซ่าที่บัดนี้ได้สูญเสียตัวตนจนสิ้นแล้ว กุมคอเซราฟไว้แน่นหมายจะฝากคมเขี้ยวลงบนร่างกายของเขา นักบวชน้อยพยายามปัดป้อง แต่แรงของเธอมากมายเหลือเกิน ลมหายใจที่เซราฟพยายามตักตวงก็เหลือน้อยเต็มที ฝ่ามือของนักบวชป่ายปัดไปมาหมายจะหาสิ่งช่วยเหลือจนปลายนิ้วสัมผัสถึงถึงโลหะหนักๆที่แขวนอยู่ที่คอ สายประคำกางเขน ! เซราฟยกสายประคำขึ้นจับกางเขนเงินอันจิ๋วประกบเข้ากับหน้าผากของเทซซ่าที่คมเขี้ยวของเธออยู่ห่างจากคอเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
เกิดเสียงราวกับเนื้อหนังที่สัมผัสถูกเหล็กร้อนๆ ตามมาด้วยกลิ่นไหม้จางๆลอยแตะจมูก
สารยเวทสาวปล่อยมือผลักเซราฟจนตัวลอย ที่หน้าผากของเธอปรากฎรอยไหม้รูปกางเขนเล็กๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ซาเวียร์เข้ามาถึงพอดี เธอฟาดเทซซ่าด้วยคฑายอดกางเขนจนล้มลง ก่อนที่จะยกด้ามคฑากดแน่นที่เนินอกของสารเวทสาว
" อย่า ! อย่าทำอะไรเธอ " เซราฟวิ่งเข้าไปหาซาเวียร์ แรงกดที่ปลายด้ามคฑามากขึ้นจนเนินอกของเทซซ่าบุ๋มเป็นหลุมลึก มันอยู่เหนือตำแหน่งของหัวใจพอดิบพอดี เพียงแค่นักรบสาวออกแรงกดเพิ่มขึ้นอีก ด้ามคฑาจะแทงทะลุร่างเป็นแน่
" แต่เธอไม่ใช่คนแล้ว ตอนนี้เธอเป็นแวมไพร์ เป็นปีศาจ !" ถึงแม้ซาเวียร์จะพูดเช่นนั้น แต่ดวงตาอันอ่อนโยนของเธอก็ฉายแววลังเลอยู่ไม่น้อย