ภายในเขาวงกตที่อาบมนตรา เซราฟนั่งกอดเข่าน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย เสียงสะอื้นไห้ดังก้องแทรกผ่านไปตามแนวกำแพงที่ทอดตัวยาวไร้ที่สิ้นสุด เคอิลเดินวนไปวนมาด้วยท่าทีกระสับกระส่าย คิ้วขมวดมุ่น ดวงตากลอกไปมาอย่างใช้ความคิด มือกอดอกราวกับจะเค้นหนทางดีๆออกมา
" ผมกลัว .... เคอิล ... ผมไม่อยากตายอยู่ที่นี่ " เซราฟสะอื้น
" ใจเย็นๆนะเซราฟ เราต้องมีทางออก ช่วยกันคิดสิ " เคอิลยังคงเดินวนไปวนมาขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า " เซราฟคุกเข่าประสานมือไว้ระหว่างอก " พระบิดาของชาวเรา ตัวลูกมาพึ่งท่าน ขอท่านโปรดอย่าเมินเฉยต่อคำวิงวอนในยามทุกข์ร้อนของลูก ขอพระองค์ทรงชี้ทางในยามเมื่อลูกถูกประจญ ของทรงอวยชัยและคุ้มครองในยามลูกทุกข์ร้อน ...." นักบวชตัวน้อยก้มหน้า หลับตาสวดคำวิงวอนด้วยเสียงอันสั่นเครือ เส้นผมสีทองลู่ปรกใบหน้า
" เซราฟ ! นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งสวดวิงวอนนะ ! ช่วยกันคิดสิ ! หาทางออกไปจากที่นี่ นั่งบ่นพึมพำไปมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก !" เคอิลยืนอยู่เบื้องหน้าเซราฟ ตวาดด้วยเสียงดังกึกก้อง
" แต่ว่าผม ..." เซราฟสบตากับเคอิล ดวงตาสีมรกตฉ่ำน้ำตา " พระเจ้าจะทรงชี้ทางรอดแก่เรา ผมเชื่อเช่นนั้น "
เคอิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเสยผมสีดำสนิทที่ทิ่มหน้าผากขึ้นไป " ฟังนะเซราฟ ..." เขาย่อตัวลง สองมือกุมบ่าของเซราฟไว้ " สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือการพยายามหาทางออกไปจากที่นี่ การที่จะมานั่งพูดพร่ำอะไรก็เหมือนกับการนั่งรอความตาย หากพระเจ้าของเจ้ามีอยู่จริง เซราฟ ... พระองค์ก็คงต้องการให้เจ้าพยายามด้วยตัวเจ้าเอง มากกว่าที่จะนั่งงอมืองอเท้าร้องขอความช่วยเหลือ " นักบวชหนุ่มใช้มือซ้ายปาดน้ำตาของเซราฟออกจากแก้มสุกปลั่ง ลุกขึ้นยืน และยื่นมือให้เซราฟลุกขึ้นตาม
คำพูดของเคอิลค่อยๆชำแรกลงไปยังจิตใจของเซราฟอย่างช้าๆ ความพยายาม ... การเอาชีวิตรอด ... การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ ... ชีวิตอันมีค่าที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ เซราฟคว้ามือของ เคอิลไว้ ค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ
ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนักบวชตัวน้อยอย่างเอ็นดู รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเคอิลช้าๆ " เอาล่ะ ! คราวนี้เราจะเริ่มจากตรงไหนกันก่อนดี ?" เคอิลหันไปมองรอบกาย กวาดตาไปทั่วก็พบแต่เพียงกำแพงรายล้อมไปทั่ว และทางเดินที่ดูไร้ที่สิ้นสุด " หันไปทางไหนก็มีแต่กำ ...."
ไม่ทันสิ้นประโยค แผ่นดินไหวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ! ในทางใต้ดินที่อยู่ใต้อาคารหลังใหญ่ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แรงสั่นสะเทือนเขย่าพื้นหินให้สั่นไหวไม่ต่างกับไม้กระดานหก เซราฟโผเข้าหา เคอิลทันที ทั้งสองกอดกันกลมดิก สิ่งเดียวที่ทำได้คือรอให้แผ่นดินไหวครั้งนี้จบลงให้เร็วที่สุด เศษฝุ่นที่ร่วงหล่นจากเพดาน เสียงของหินปูกำแพงและเพดานเสียดสีกันอย่างน่ากลัวว่าจะถล่มครืนลงมา
อย่าถล่มลงมาเลย ได้โปรด เคอิลภาวนาอยู่ใจในสองมือยังคงโอบรอบตัวเซราฟที่สั่นเทา
" เด็กน้อยเอย ... เจ้ามาหาข้าแล้ว .... จงมาเถิด ... เด็กน้อยของข้า ..." เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนักเวทย์หนุ่ม เสียงนี้เขาจำไม่ผิดแน่ เป็นเสียงของยิมิร์ ! มันดังกึกก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขา ดังกว่าทุกที ยิ่งเสียงนั้นดังขึ้นเท่าไหร่ เคอิลก็รู้สึกได้ว่าสติของเขาค่อยๆดับวูบลง ...
...................................................
แผ่นดินไหวหยุดลงแล้ว เหลือแต่เพียงเศษหินกรวดเล็กๆที่ตกลงมาจากร่องเพดานกระทบพื้นดังเป็นช่วงๆ เซราฟที่อยู่ในอ้อมกอดของเคอิลลืมตาขึ้นช้าๆ
" เป็นอะไรรึเปล่า ? เคอิล " นักบวชตัวน้อยเงยหน้าขึ้นถาม ทว่าดวงตาของเคอิลที่เคยเป็นสีดำสนิทกลับกลายเป็นสีทอง ! มันเบิกกว้างอย่างเหม่อลอย ไร้จุดหมาย
ร่างของเคอิลคลายวงแขนออกจากเซราฟ ทำให้เขาสังเกตเห็นมือข้างขวาของเคอิลที่สวมถุงมือสีเทาอมม่วงอยู่ตลอดเวลานั้น บัดนี้มันทอแสงสีม่วงสว่างเจิดจ้า
" ค ... เคอิล เป็นอะไรไป ?" เซราฟร้องถาม แต่ในสำนึกของเขาลึกๆทราบดีอยู่แล้วว่าร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่เคอิลอีกต่อไป ฝีเท้าเขาค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
ร่างของเคอิลยืนตระหง่าน ดวงตาสีทองมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มือขวายกขึ้นเหนือศีรษะ ถุงมือของเขายิ่งส่องแสงสีม่วงเจิดจ้ามากขึ้น พร้อมกับที่ร่างกายค่อยๆจางลงไปราวกับหมอกควันที่โดนลมพัดเป่า
" เดี๋ยว !" เซราฟสังเกตเห็นได้ถึงการจางหายไปของเคอิล เขากระโจนเข้ากอดเอวนักเวทย์หนุ่มไว้แน่น และแล้วเซราฟก็สัมผัสได้ถึงแสงสีม่วงที่สว่างเจิดจ้ารอบกายเขา ตามมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกเขย่า หวนให้นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้วาร์ป
" หรือว่า ... นี่คือการวาร์ป " เซราฟคิด แต่แสงสว่างจ้าสีม่วงก็กลืนกินไปทั่วจนเขามองอะไรไม่เห็นเสียแล้ว
............................................................
สี่สาวเซราฟิมออกตามหาเซราฟทั่วเมืองโลอาเมีย ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้คน
" คนหายไปไหนกันหมดนะ ?" อักเนส เปรยขึ้นทั้งที่เท้ายังคงกึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับสายตาก็กวาดไปทั่ว
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าเหนือศีรษะของทั้งสี่สาวก็มีเหล่าฮาร์ปีบินมาจากทั่วทุกสารทิศ มันมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน สภาพของฮาร์ปีแต่ละตัวดูยับเยินยุ่งเหยิง
" ทางนั้น ! พวกฮาร์ปีกำลังบินไปรวมกัน ที่นั่นต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ตามพวกมันไป " ซิสิเลียร้องตะโกน เร่งฝีเท้าให้ทันพวกฮาร์ปีที่บินเต็มท้องฟ้า
เหล่ามนุษย์นกสาวก็เหมือนกับไม่ได้ใส่ใจหรือสังเกตเห็นว่าพื้นเบื้องล่างมีนักรบสาวสี่คนกำลังสะกดรอยตามพวกมันอยู่ มันตั้งหน้าตั้งตาบินอย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง
" ถึงแล้ว ! ข้างหน้านี่ " อักเนสร้องบอก เมื่อเห็นเหล่าฮาร์ปีที่รายล้อมจากทุกทิศ เหลือเป็นเพียงวงแคบๆ ฮาร์ปีฝูงใหญ่ค่อยๆร่อนกายลงพื้นพร้อมกันทั้งฝูง
สี่สาวเซราฟิมวิ่งไปจนถึงลานกว้างหน้าราชวัง เหล่าฮาร์ปีกำลังยืนล้อมวงเหมือนกับจับจ้องสิ่งใดอยู่ แต่ละตัวต่างกรีดร้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย แต่สิ่งที่น่าตื่นตระหนกกว่านั้นคือภายนอกวงล้อมของฝูงนกสาว ปรากฏเป็นร่างเหล่านักปราชญ์และนักสารยเวทนอนเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณ
" เกิดอะไรขึ้น ?" ซาเวียร์วิ่งฝ่าเข้าไปในวงล้อมของฮาร์ปี เหล่ามนุษย์ปักษีตื่นตระหนกกู่ร้องส่งเสียงและโบกกระพือปีก ทั้งหมดต่างถอยกายเปิดทางให้นางเข้าไปถึงใจกลางวงล้อม
ภาพที่ซาเวียร์เห็นทำให้นางแทบไม่เชื่อสายตา ร่างของซอนญ่าที่กึ่งนั่งกึ่งนอน ด้วยเพราะมีหอกแสงสีน้ำเงินปักทะลุกาย เหงื่อเม็ดโตผาดผุดทั่วใบหน้าของปราชญ์สาว นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ มือซ้ายมีผ้าที่เปื้อนเลือดพันไว้รอบ
" นี่คุณ ..." ซาเวียร์ย่อตัวลงข้างกายซอนญ่า เหล่าฮาร์ปีค่อยๆล้อมวงเข้ามา สีหน้าของมนุษย์ปักษีแสดงความเป็นห่วงต่อนายของมันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ร่างของพวกมันก็ยับเยินจากการถูกโจมตีด้วยลมพายุ
" คนอื่นๆแค่หลับไปเท่านั้น !" อักเนสร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มร่างของนักปราชญ์และสารยเวทที่กลาดเกลื่อน ทั้ง เดโรนิกา ซิสิเลีย และอักเนสต่างกำลังเดินตรวจตราบรรดาผู้ที่หลับใหลไม่รู้สติ
" อยู่นิ่งๆนะ เดี๋ยวเราจะช่วยคุณออกมา " ซาเวียร์ใช้ชายผ้าคลุมซับเหงื่อให้แก่ซอนญ่า
หอกแสงที่ปักอยู่บนร่างของซอนญ่าส่องแสงสว่างเรืองรอง เวทย์พันธนาการที่แปลกประหลาดนี้ซาเวียร์ เองเพิ่งพานพบเป็นครั้งแรก นางตัดสินใจจะลองสัมผัสมัน ซาเวียร์ค่อยๆยื่นมือเข้าหาด้ามหอก " ถ้าหากเราดึงมันออกมา ..." นางคิด ปลายนิ้วของนางอยู่ห่างจากด้ามหอกเพียงนิดเดียว
ยังไม่ทันที่ซาเวียร์จะได้สัมผัสตัวหอก แผ่นดินไหวสะเทือนทำให้เธอชักมือกลับและก้มลงหมอบ ทั่วทั้งลานกว้างไหวสั่นไม่ต่างจากไม้กระดานที่ถูกเขย่า เซราฟิมทั้งสี่ก้มลงหมอบราบกับพื้น แต่แผ่นดินไหวก็สร้างอันตรายอันใดไม่ ด้วยแรงสั่นสะเทือนทำให้ปลายหอกแสงที่แทงปักลงบนพื้นคลายตัวออก ทันทีที่มันหลุดพ้นออกจากพื้น ตัวหอกก็ค่อยๆจางหายไป ร่างกายของนักปราชญ์สาวกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง แขน ขา ปลายนิ้ว ทุกส่วนกลับมาขยับได้ตามปกติ
แผ่นดินไหวสงบลงแล้ว แต่ว่าเหล่านักสารยเวทย์และนักปราชญ์ที่หลับไหลก็ยังไม่ตื่นขึ้น ซอนญ่าลุกขึ้นยืนอย่างมาดมั่นพร้อมกับเหล่าเซราฟิมทั้งสี่ก็ลุกขึ้นกวาดตาไปทั่วบริเวณ
" ฮาร์ปี !!!" ซอนญ่าตะโกนเข้าไปกลางฝูงมนุษย์ปักษี นางนกสาวตนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูง สภาพร่างกาบบอบช้ำไม่ต่างจากตัวอื่นๆ แต่ด้วยท่วงทาการก้าวย่างและสีหน้าสง่างาม ฮาร์ปีตนนี้คือจ่าฝูง
" พาฝูงของเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน " ซอนญ่าสั่งการ นางนกสาวพยักหน้ารับหันกลับไปหาฝูง กรีดเสียงร้องดังสนั่น ก่อนที่จะกระพือปีกบินไป ตามด้วยฝูงฮาร์ปีที่เหลือ
" คุณบาดเจ็บนี่ ! ชั้นต้องรักษาก่อน " ซาเวียร์คว้ามือข้างที่บาดเจ็บของซอนญ่าขึ้นแกะผ้าออกเผยให้เห็นแผลถูกกรีดเป็นทางยาว นางร่ายเวทย์รักษาเพียงสั้นๆ ปากแผลของปราชญ์สาวก็ปิดสนิทเหลือไว้เพียงรอยเลือดที่แห้งกรัง
" ขอบคุณมาก " ซอนญ่าเอ่ยตามมารยาท " แต่ว่าชั้นยังต้องไปตามหาพวกเด็กๆ "
" ถ้านั่นหมายถึงท่านเซราฟ กับเคอิล เห็นทีพวกเราคงต้องตามท่านไปด้วย " ซิสิเลียเอ่ย เดินเข้ามาพร้อมกับเดโรนิกาและอักเนส
ซอนญ่าไม่เอ่ยอะไร นางก้าวเท้าอาดๆตรงไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เหล่านักรบสาวเดินตามไปเงียบๆ การที่ซอนญ่าไม่พูดอะไรนั่นหมายถึงตกลง
นักปราชญ์สาวเดินเข้ามาในพระราชวัง นางก้าวเท้ายาวๆเดินเลี้ยวซ้ายผ่านแยกไป ในห้องนั้นมีบันไดที่ทอดตัวไปยังชั้นใต้ดิน นางก้าวเท้าลงบันไดไปอย่างเงียบๆ ทั้งสี่สาวเดินตามจนมาถึงทางเดินแคบๆอับๆ ซอนญ่าก็หยุดยืนอยู่กับที่ เบื้องหน้าเป็นทางที่ทอดตัวยาวจนดูเหมือนไม่สิ้นสุด มีเพียงกำแพงและเพดานอิฐวางตัวยาวกลืนหายไปกับความมืดจนสุดสายตา
" จากนี้ไปจะเป็นเขาวงกตอาคม คนที่เข้าไปน้อยนักที่จะรอดออกมาได้ " ซอนญ่าเอ่ยขึ้นเหมือนจะข่มขวัญ
ปราชญ์สาวยกหนังสือที่เหน็บอยู่ในถุงหนังข้างเอวขึ้นกางออก เชิดหน้าเล็กน้อย " ด้วยข้า ! ผู้เป็นปราชญ์สูงสุดแห่งโลอาเมีย " นางตะโกนก้อง หนังสือในมือนางเรืองแสงอ่อนๆ " ข้าผู้ซึ่งได้รับบัญชาจากกษัตริย์ให้ปกป้องสิ่งสำคัญ บัดนี้ด้วยพันธะสัญญาที่ถูกสร้างขึ้นมาเนิ่นนาน ซอนญ่า แอทิลล์ขอสั่งเจ้า ! วงกตแห่งการปกปักษ์เอย จงเปิดทางแก่ข้าเพื่อเข้าถึงสิ่งสำคัญได้โดยเร็ว จงเป็นดังคำข้าบัญชาเทอญ !!!"
สิ้นเสียงของซอนญ่า ภาพเบื้องหน้าที่เป็นเป็นทางทอดยาวกลับบิดเบี้ยวเหมือนน้ำที่ถูกตีให้แตกกระจาย มันสั่นกระเพื่อมจนจับรายละเอียดไม่ได้ ก่อนที่จะค่อยๆสงบนิ่งลงช้าๆ กำแพงที่ทอดตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดหายไปแล้ว ภาพปรากฏเป็นห้องโถงกลมกว้าง พื้นกลางห้องมีวงเวทย์แกะสลักไว้อย่างสวยงาม ปลายห้องอีกฝั่งมีประตูเหล็กที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา
" ห้องข้างหน้า " ซอนญ่าเอ่ยเสียงแหบพร่า กลืนน้ำลายคำโต " คือห้องที่เก็บสิ่งสำคัญ " นางก้าวเท้าเดินไปอย่างช้าๆ เหมือนกับกาลเวลาได้หยุดเดินลง
..........................................................
แสงสีม่วงที่ส่องสว่างบาดตาได้จางลง เซราฟค่อยๆลืมตาช้าๆเมื่อเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแผ่นดินอันมั่นคงใต้เท้าเขาอีกครั้ง บัดนี้ทั้งสองยืนอยู่หน้าห้องทรงกลมที่ทั่วทั้งห้องปูด้วยโลหะ ด้านหลังเป็นประตูขนาดมหึมา พื้นห้องยกสูงต่ำไม่เท่ากันดูแปลกประหลาด แต่สายตาของเซราฟสะดุดอยู่ที่กลางห้อง กระแสกดดันอันแสนล้ำลึกพุ่งเข้าปะทะทั่วร่างของเขา พลังอันแสนยิ่งใหญ่ พลังอันเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายพุ่งแผ่ออกมาจากวัตถุขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง วัตถุโลหะทรงกลมขนาดใหญ่ ไม่สิ ! โลหะทรงกลมถูกสร้างครอบสิ่งที่อยู่ข้างในต่างหาก แผ่นโลหะที่ถูกประกอบขึ้นดูแข็งแรงแน่นหนาตอกด้วยหมุดโลหะขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้ยิ่งพิศวงก็คือ อักขระโบราณที่เป็นเพียงแถบแสงสีเขียวหมุนวนอยู่รายล้อมโลหะทรงกลมนั่น มโนสำนึกลึกๆของเซราฟบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด นักบวชน้อยรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อสังเกตได้ว่าเคอิลที่เขากอดเอวไว้ตั้งแต่ต้น ค่อยๆก้าวเดินเข้าหาวัตถุประหลาดนั้น
" ค .... เคอิล " เซราฟเรียก ทว่าดวงตาสีทองที่มองตรงไปข้างหน้าก็หาได้หันมาตามเสียงไม่ มือข้างขวาของเคอิลที่สวมถุงมือไว้ส่องแสงสีม่วงสว่างหนักขึ้นทุกๆก้าวที่เขาเดินเข้าหาโลหะทรงกลมประหลาด
เกิดแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งที่เบื้องหลังของเซราฟ มีร่างหนึ่งปรากฏกายจากแสงนั้น ร่างของหญิงสาวผมเปียในชุดเกราะ ร่างของเฟลิน่ามารดาของเคอิล
" ท่านแม่ของเคอิล ? ท ... ท .... ท่านมาที่นี่ได้ยังไง ? ท ... ท่านเป็น ..?" เซราฟละล่ำละลักถามด้วยความประหลาดใจ และไม่เชื่อสายตา ทว่านี่เป็นหลักฐานอันดีที่สนับสนุนความรู้สึกของเซราฟเมื่อแรกพบกับนางที่พิเมนต้า " นางไม่ใช่คน นางเป็นเทพ " เซราฟคิด
" เคอิล !!!" เฟลิน่าตะโกนเรียกนามลูกชายตน เสียงของนางดังก้อง แต่ไพเราะอย่างประหลาด
ร่างนั้นหยุดชะงักลงครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับมาช้าๆ ดวงตาสีทองอันเหม่อลอยจับจ้องใบหน้าของนางครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับไป ตรงไปยังโลหะทรงกลมนั่นอีกครั้ง เฟลิน่าเห็นเพียงเท่านี้ก็ทราบว่าร่างของลูกชายตนนั้นบัดนี้หาใช่ลูกของนางอีกต่อไปไม่
" เคอิล !!!" นางร้องตะโกนอย่างเสียขวัญ " สายไปแล้ว... สายเกินไป...ข้าเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้... " เฟลิน่าทรุดกายลง ถึงแม้นางจะอยู่ในชุดเกราะพร้อมรบ แต่ทว่าจิตใจของนางก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาเท่านั้น " ลูกแม่ ....." นางร่ำไห้
ร่างของเคอิลอยู่ห่างจากโลหะทรงกลมเพียงไม่กี่ก้าว เขาหันกลับมายังเซราฟและเฟลิน่า
" ถึงเวลาแล้ว ..." ริมฝีปากของนักเวทย์หนุ่มขยับอย่างนิ่มนวล ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงผู้อื่น เป็นเสียงที่ฟังดูล้ำลึก ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ และน่าสะพรึงกลัว " ผนึกคุ้มกันนี่ คิดรึว่าจะสามารถขัดขวางข้าได้ " ร่างของเคอิลยกมือขวาขึ้น ถุงมือที่ส่องแสงสว่างเมื่อซักครู่ บัดนี้เหลือแต่เพียงแสงจากอัขระเวทย์มนตร์ที่อยู่บนถุงมือเท่านั้น
" ผนึกของตาแก่นั่น มันหมดอายุเสียแล้ว แค่นักเวทย์แก่ๆริจะมาทัดทานพลังแห่งข้า ช่างน่าขัน " ร่างของเคอิลหัวเราะอย่างหยามเหยียด ยกมือข้างที่สวมถุงมือขึ้นมามอง ดวงตาสีทองจ้องถุงมือนั้นอย่างดูถูก ก่อนที่จะสะบัดมือออกข้างตัว ทันใดนั้นถุงมือที่ลงอัขระเวทย์มนตร์ก็สลายตัวกลายเพียงฝุ่นผงสีเทาโรยตัวลงพื้นเบื้องล่าง เผยให้เห็นรอยรูปดาวห้าแฉกที่หลังมือของเคอิล
" เอาลูกของข้าคืนมา !" เฟลิน่าตะโกนก้องพุ่งตัวเข้าหาเคอิลด้วยมือเปล่า
นักเวทย์หนุ่มยกมือกางนิ้วกว้าง ร่างของเฟลิน่าที่พุ่งตัวเข้ามาด้วยควมเร็ว กระเด็นตัวลอยกลับไปราวกับมีมือล่องหนขนาดมหึมาฟาดตัวนาง ร่างของเทพธิดาสาวลอยไปกระทบกับประตูเหล็กเกิดเสียงดังสนั่นจากชุดเกราะที่กระแทกกับประตูโลหะ เฟลิน่าไอหนักๆเพราะเจ็บปวดจากแรงกระแทก
" เจ้ามาช้าไป ! บัดนี้ถึงเวลาของข้าแล้ว !" เคอิลถอดผ้าคลุดสีน้ำตาลของเขาออกขว้างไปข้างตัว โลหะทรงกลมด้านหลังเขาส่องแสงสีเขียวเจิดจ้า มันส่องสว่างทาบทับไปทั่วทั้งห้อง ถึงแม้เซราฟจะหลับตาหนีแสง แต่ความเจิดจ้าก็ชำแรกผ่านเปลือกตาเข้ามาได้
" ร่างใหม่ของข้า !!!!!!!" เสียงอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง
แสงสีเขียวจางลงช้าๆ เคอิลผู้ยืนอยู่กลางห้องพร้อมรอยสักรูปดาวห้าแฉกที่หลังมือขวาของเขาเรืองแสงสีเขียวมรกต ดวงตาสีทองที่เบิกกว้างดูล้ำลึก โบราณ และทรงพลัง สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลือไม่เปลี่ยนไปก็คือเส้นผมสีดำสนิท
ประตูเบื้องหลังเซราฟถูกเปิดออก ร่างทั้งห้าก้าวเข้ามา ซอนญ่าและเหล่าสี่นักรบสาวเซราฟิมนั่นเอง
แทบจะทันทีที่เหล่าเซราฟิมเห็นเซราฟ พวกนางก็ตรงเข้าโอบล้อมร่างของนักบวชน้อยไว้ทันทีตามหน้าที่
" หัวใจแห่งยิมิร์ !!!" ซอนญ่ากรีดร้องออกมาทันที เมื่อเห็นว่าโลหะทรงกลมกลางห้องนั้นอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย " มันเกิดอะไรขึ้น ? หัวใจแห่งยิมิร์หายไปไหน ?" นางถามด้วยท่าทางราวเสียสติ
" อยูที่ข้านี่ !" เคอิลซึ่งบัดนี้ถูกยิมิร์ครอบครองร่างไว้อย่างสมบูรณ์เอ่ยขึ้น " บัดนี้มันอยู่ที่ข้านี่ !" เขายกมือทาบอก
" ม ... หมายความว่ายังไง ?" ซอนญ่ายังคงงุนงง
" ข้าคือยิมิร์ !" เสียงนั้นประกาศก้อง " ยักษ์ผู้ซึ่งถูกโอดินประหัตประหารแล้วนำร่างข้ามาสร้างเป็นโลก บัดนี้ข้าได้ครอบครองร่างใหม่ ร่างของเด็กนี่ ที่พิเศษกว่าร่างไหนๆ " ยิมิร์เอ่ยด้วยเสียงอันทรงพลัง เพียงแค่เสียงของเขาก็สะกดให้ทุกร่างภายในห้องไม่สามารถขยับกายไปไหนได้
" ล ... แล้วลูกข้า ....?" เฟลิน่าพยายามเปล่งเสียงออกมา
" ช่างมันปะไร !!! ข้าได้ร่างนี้มาครอบครองแล้ว ! มันจะเป็นอะไรก็ช่าง " ยิมิร์ตวาดลั่น น้ำเสียงที่ดุดันยิ่งเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นอีก เซราฟรู้สึกปวดภายในศีรษะลึกๆเหมือนถูกบีบกด
น้ำตาที่ไหลเป็นสายอาบทั่วแก้มของเฟลิน่านักรบสาวแห่งสวรรค์ที่ร่ำไห้ในชุดเกราะสีขาวช่างเศร้าสร้อยแต่ก็งดงามยิ่งนัก
" เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่งั้นรึ ?" เสียงหนึ่งดังขึ้น เปี่ยมด้วยพลังไม่แพ้เสียงของยิมิร์ เจ้าของเสียงเดินเข้าประตูมา นั่นคือชายชราผู้สง่างาม เจ้าของผมสีดอกเลา หมวกปีกกว้าง ผ้าคลุมสีม่วงมอซอ และดวงตาที่มืดบอดข้างหนึ่ง
" เฟรกิ !!!" เซราฟและเหล่าเซราฟิมอุทาน ไม่แปลกใจที่ทั้งสี่จะจำนามเขาได้ดี การปะทะกันครั้งก่อนที่ใต้เมืองแอมโบรเซียยังเป็นสิ่งที่ทั้งสี่จดจำไม่ลืมเลือน
" โอดิน !!!" ยิมิร์ตะโกนอย่างไม่เชื่อในสายตาตนเอง ที่แท้ชายปริศนาผู้นี้คือเทพบิดรโอดิน ผู้ซึ่งคร่าชีวิตของเขาและนำเลือดเนื้อทั้งร่างกายมาสร้างเป็นผืนโลก
" เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ คิดจะทวงร่างเจ้าคืนงั้นรึ ?" โอดินเอ่ยอย่างใจเย็น
" นั่นก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของข้า ! เจ้าคร่าชีวิตข้า นำร่างข้าไปสร้างเป็นผืนโลก ให้มนุษย์ที่โสมมมันเหยียบย่ำข้า ! ให้พวกมันมาทำให้ร่างข้าแปดเปื้อน !" ยิมิร์ตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ดวงตาสีทองลุกวาวเคียดแค้น
" นั่นคือชะตากำหนด เจ้าเองก็สมควรที่จะต้องยอมรับมัน " โอดินยังรักษาน้ำเสียงเย็นเยียบ
" แล้วทำไมเจ้าไม่สังหารข้าเสียล่ะ ? จะหลงเหลือหัวใจข้าให้พวกมนุษย์มันใช้เป็นเครื่องมือ ใช้สร้างอำนาจทำไม !!!!" ยิมิร์ตวาดเสียงดังกึกก้อง
ทว่าเหล่าเซราฟิม ซอนญ่า เซราฟ และเฟลิน่าที่ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในแรงกดดันอันหนักอึ้ง พลังของทั้งสองฝ่ายเข้าถาโถมกันจนทั้งเจ็ดสามารถทรงตัวให้ยืนอยู่ได้ก็แย่เต็มกลืน