ร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาจากร่มไม้ เส้นผมสีเขียวมะกอกยาวประบ่าดูเด่น เคอิลจำเจ้าของเรือนผมนั้นได้ดี มหาปราชญ์แห่งโลอาเมีย ซอนญ่านั่นเอง แต่ขณะที่นางเดินออกมา ปลายไม้เท้าในมือของนางก็เรืองแสงสีทองจางๆ ไม่ผิดแน่ นางกำลังร่ายเวทย์อยู่ ! แต่เวลาเดียวกันก็เดินเข้ามายังคณะเดินทางด้วย การเคลื่อนไหวขณะที่ร่ายเวทย์เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยสมาธิขั้นสูง
" นี่รึคือความสามารถของนักปราชญ์ " เคอิลคิดในใจ
และทันทีที่ซอนญ่าเห็นเหล่าคณะเดินทางได้ชัด แสงสีทองบนปลายไม้เท้าของเธอก็ดับหายไป
" นี่มันอะไรกัน ? ข้าเกือบจะโจมตีพวกเจ้าแล้ว " ปราชญ์สาวร้องถามอย่างตกใจ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกวาดสายตามองทุกคน อย่างพิจารณา
" นายท่าน !" ฮาร์ปีเรียกซอนญ่าด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าของนางนกสาวเต็มเปลี่ยมไปด้วยความดีใจ และโล่งอก ไม่ต่างจากสุนัขตัวน้อยๆที่ได้พบเจ้าของ
ปราชญ์สาวก้าวเท้าอย่างรวดเร็วมายังหน้าฮาร์ปี นางถอนหอกของอักเนสและคว้างมันออกไปข้างตัว ซอนญ่าเข้าพยุงตัวให้ฮาร์ปี ปีกของนางนกสาวสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ไม่แพ้กับซอนญ่าที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานเมื่อเห็นบริวารของตนในสภาพนี้
" นี่มันเกิดอะไรขึ้น ! พวกเจ้าทำอะไรกัน !" ปราชญ์สาวเจ้าของเรือนผมสีมะกอกร้องอย่างเหลืออด เลือดสีแดงเข้มยังคงหยดตามปลายปีกของฮาร์ปี
" พวกเราอธิบายได้ครับ ฮาร์ปีตัวนี้เข้ามาโจมตีพวกเราก่อน " เคอิลพยายามอธิบาย
" ถึงยังไงก็คงต้องคุยกันอีกยาวล่ะ เรื่องแบบนี้มันเกินกว่าที่ข้าจะรับได้ คนของข้าเกือบจะตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าเสียแล้ว ข้าคงต้องพาพวกเจ้าไปสอบสวน " สิ้นเสียงนางก็ผิวปากเสียงแหลมสูง อีกไม่กี่อึดใจเสียงร้องหวีดแหลมก็ตอบกลับมาดังสนั่น พร้อมกับฮาร์ปีฝูงใหญ่
" ไม่นะท่านซอนญ่า ! ท่านจะทำอะไร ?" ความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเซราฟ " ฝูงฮาร์ปีจำนวนมากบนฟ้านี่มันอะไรกัน ?" เซราฟคิด มือทั้งสองข้างก็ยังคงโอบซาเวียร์ที่นอนนิ่งอยู่บนตัก
ทั้งซิสิเลีย และอักเนสพยายามขยับกายลุกขึ้นเพื่อป้องกันตัว แต่พิษของฮาร์ปีเริ่มออกฤทธิ์แล้ว อาวุธในมือสลายไปกลายเป็นอากาศธาตุ ขณะที่เดโรนิกากำลังจะยกแตรขึ้นเป่า นักปราชญ์สาวก็อ่านสถานการณ์ออก ทันใดนั้นซอนญ่าก็ยกไม้เท้าของเธอขึ้น แสงสีทองส่องสว่างจากปลายไม้เท้าของเธอ
" ข้าแต่เทวีโยร์ดา (Jurda) มารดรแห่งปฐพี จงกำราบอริแห่งข้า เพดัล สไตร์ค !!! (Pedol Strike!!!)" ทันทีที่สิ้นเสียงร่าย บริเวณพื้นดินโดยรอบคณะเดินทางก็เกิดแรงสั่นไหวประหลาด หน้าดินม้วนตัวจนเป็นเกลียว ราวกับแผ่นดินกลายเป็นก้อนดินเหนียวก็ไม่ปาน วินาทีถัดมา ก้อนเกลียวดินก็พุ่งเข้ากระแทกทุกคนในคณะเดินทาง แตรของเดโรนิกาหลุดออกจากมือ สลายกลายเป็นละอองแสง
" ไม่นะ ...." เคอิลพูดขึ้นขณะที่สติของเขาเลือนลาง แรงกระแทกของเวทย์นั้นรุนแรงจนทำให้ทุกคนหมดสติลง
" ขอโทษนะ แต่ข้าจำเป็นต้องทำ " ซอนญ่าเอ่ยขึ้น พร้อมๆกับที่ฮาร์ปีฝูงใหญ่กางกรงเล็บเข้าจับตัวเหล่าคณะเดินทาง
และแล้วสติของเคอิลก็ดับลง
.....................................................
" ฝุ่นเยอะจริงเชียว ทิ้งไว้แค่สองสามวันฝุ่นก็เกาะเสียแล้ว !" เสียงบ่นอุบของเฟลิน่าดังขึ้นภายในบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งของเมืองพิเมนต้า นางกำลังทำความสะอาดบ้านอย่างขมักเขม้น ดูนางเองก็สามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับการอยู่คนเดียวได้แล้ว
" ก๊อก ก๊อก ก๊อก " เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เฟลิน่าต้องวางมือจากการทำความสะอาด
" ค่า ! มาแล้วค่ะ รอซักครู่นะคะ " นางยืนอยู่หลังประตูพร้อมกับปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกไปก่อนที่จะเปิดประตู
แขกผู้มาเยือนนั้นแทบจะทำให้นางสิ้นสติทีเดียว ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นชายร่างสูง ผมสีดอกเลา ดวงตาที่บอดไปข้างหนึ่ง พร้อมกับหมวกปีกกว้างใบโทรมคุ้นตา เฟรกินั่นเอง
" ท ... ท่าน " นางเอ่ยเสียงสั่น แต่ก็เปิดประตูกว้างเชิญแขกเข้าไป
" ข้าทำให้เจ้าตกใจถึงเพียงนี้เชียวรึ ? สาวน้อย " เฟรกิเอ่ยแกมหยอก ขณะก้าวเท้าลอดประตูเข้ามา
แขกผู้มาเยือนหยุดยืนอยู่กลางบ้าน พร้อมกับมองไปรอบๆ ไม้ถูพื้นเปียกๆถูกวางพาดกับโต๊ะอาหาร โดยมีถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำสีดำปี๋วางอยู่ข้างๆ ผ้าขี้ริ้วผืนโทรมสีเทาตุ่นถูกวางบนโต๊ะอาหารไม่ไกลจากมุมที่พาดไม้ถูพื้นเท่าไหร่นัก ไม้กวาดนอนราบอยู่ข้างผนัง ขนไม้กวาดแข็งชี้โด่เด่อย่างไม่เป็นระเบียบ
" นี่เจ้าทนอยู่ในที่แบบนี้ได้รึนี่ ?" เขาเอ่ยขึ้น ทำให้นางอันเป็นเจ้าของบ้านขมวดคิ้วทันที
" เจ้าไม่คิดถึงสมัยก่อนรึ ? สมัยที่เรายังตระเวนออกค้นหาไปทั่ว และกลับนิเวศสถานอันอบอุ่นน่าอยู่ งานเลี้ยงอันแสนรื่นรมย์ในหอกว้าง เจ้าไม่อาลัยถึงมันเลยรึ ?" ชายชราร่างสูงถามขึ้น เขาถอดหมวกออก ทำให้ดวงตาสีเทาหม่นของเขายิ่งดูลึกล้ำสุดประมาณ แต่ข้างที่มืดบอดก็ให้ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก
" แล้วข้าจะทำอะไรได้ ? ข้าเองก็ต้องเลือกหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ถึงแม้ข้าต้องพรากจากคนที่ข้ารัก ทั้งลูกข้าอีก แต่ข้าก็ไม่เคยวิงวอนใดๆเลย ท่านก็รู้ ! ข้าเป็นคนอย่างไร " เฟลิน่าร้องตอบ เสียงเธอสั่นเครือ ดวงตาสีฟ้ารื้นน้ำตา
" ข้ารู้ ... เจ้าเป็นคนอย่างไร ข้าเองนี่แหละที่รู้ดีที่สุดว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร " เฟรกิลูบปอยผมนางช้าๆอย่างปลอบประโลม
" ทั้งๆที่ท่านรู้ แต่ทำไม ..." เฟลิน่าหยุดประโยคเพื่อกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้น ริมฝีปากสั่นระริก " ทำไมข้าต้องพบกับชะตากรรมแบบนี้ ข้าเลือกทางที่ข้าคิดว่าดีที่สุด ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ทำไมท่านถึงไม่เตือนข้า ข้าเองก็คิดถึงสมัยก่อน ... โหยหา .. ใช่ โหยหาทีเดียว แต่ข้าก็ต้องจากมันมา เพื่อลูกของข้า ... แล้วทำไมท่านยังจะพรากให้ลูกรักของข้าออกจากอ้อมอกข้าอีก ท่าน ... ท่าน ..." ดวงหน้าอันงดงามเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา เสียงสะอื้นกลืนถ้อยคำที่นางจะพูดทั้งหมดให้อันตรธานไปสิ้น
" ชะตากรรม สาวน้อย ... ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่รักเจ้า ข้าเอ็นดูเจ้าเสมอมา แต่ชะตากรรมก็คือชะตากรรม มันต้องดำเนินไปอย่างที่มันถูกกำหนดไว้ ถึงแม้ข้าจะรู้ แต่ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้เพียงเพราะความลำเอียง หรือเห็นใจ ทุกสิ่งต้องเป็นไป และดำเนินไปตามเส้นด้ายแห่งชะตาที่เหล่าสามสาวโนร์นได้ถักทอ " เฟรกิเชยคางของเฟลิน่าขึ้น มืออีกข้างยกขึ้นใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาให้แก่นาง
" แต่ว่า ... เคอิลจะ ..."
" เจ้าก็รู้ดีว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่จงวางใจเถิด ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่รึ ? ว่าท้ายที่สุดเขาจะปลอดภัย ในท้ายที่สุด ..." ชายตาบอดลูบศีรษะของเฟลิน่าเป็นการปลอบใจ
" อา ... ข้าทำเจ้าร้องไห้อีกแล้ว จริงสิ ที่ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะจะมาทำให้เจ้าร้องไห้หรอกนะ ข้าเอาข้อเสนอมาให้แก่เจ้า " เฟรกิจับบ่าของเฟลิน่าไว้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่นัยน์ตาสีฟ้าสดอันแสนงามของนาง
" ที่ข้าถามเจ้าถึงเรื่องราวสมัยก่อน เพราะว่าข้าจะให้เจ้ากลับไปอีกครั้ง ส่วนเหตุผลนั้นข้าจะไว้บอกเมื่อเจ้าตอบตกลง แต่ถ้าเจ้าตอบตกลงเมื่อไร ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆหลังนี้ ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับลูกชายเจ้าอย่างที่เคยเป็น " เขาจับจ้องไปที่ดวงตานาง ราวกับจะควานหาอะไรซักอย่างจากห้วงลึกของจิตใจ
" สมัยก่อน ? ข้าน่ะรึ ? แต่ว่าลูกข้า ..." เฟลิน่าลังเล
" เอาเถอะ ... ข้าจะให้เวลาเจ้าตัดสินใจ ถ้าเจ้าตอบตกลง ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสพานพบลูกเจ้าเสียเมื่อไหร่ ? แต่ถ้าเจ้าไม่ตกลง ข้าก็ไปบังคับเจ้าไม่ได้ " เฟรกิยักไหล่
" บังคับข้าไม่ได้งั้นรึ ? ไม่มีทางเสียล่ะ ข้าเองก็รู้จักท่านมากพอ บอกความจริงมาเถอะ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่ต้องถึงกับเรียกข้ากลับไปอีกครั้งเป็นแน่ " แม่บ้านถอยหลังไปสองสามก้าว มีความสงสัยเคลือบแฝงอยู่ในแววตา
" ฮะๆ สมกับที่เป็นเจ้า " ชายชราผู้เป็นแขกหัวเราะร่วนอย่างถูกใจ " อันที่จริงข้าเกรงกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะออกมาตามที่ข้ารู้ ข้าต้องการสิ่งที่สร้างความมั่นใจ และสิ่งนั้นก็คือเจ้า !" เฟรกิปรายตาไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่จะกลับมาจ้องเขม็งที่นางในท้ายประโยค
" เคอิล ..." เฟลิน่าอุทานออกมาเบาๆ นางเข้าใจความหมายในประโยคที่เฟรกิเอื้อนเอ่ยเป็นอย่างดี
" รับนี่ไว้ซะ " เฟรกิยื่นขนนกสีขาวสะอาดให้แก่นาง มันดูส่องสว่างเป็นประกายแปลกประหลาด " สิ่งนี้เจ้ารู้ดีนี่ ว่าต้องทำอย่างไรกับมัน ถ้าเจ้าตอบตกลงก็จงใช้สิ่งนี้เสีย แล้วอดีตของเจ้าจะกลับมา "
แขกผู้มาเยือนก้าวเดินออกไปจากบ้านโดยไม่หันหลังกลับมามอง ปล่อยให้เฟลิน่ายืนถือขนนกนั้นอยู่กลางบ้าน ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
" อดีตของข้างั้นรึ ? ท่านพ่อ ... ท่านทำให้ข้าลำบากใจอีกแล้ว " นางเปรยออกมาเบาๆ หลังจากที่ประตูปิดสนิทลง
.......................................................
สายลมที่พัดปะทะใบหน้า กับแรงบีบรัดบริเวณเอว ทำให้เคอิลได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นหัวใจของนักเวทย์หนุ่มก็แทบจะออกมานอกปาก เมื่อเขาพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่เหลือพื้นสูงลิบ เสียงปีกกระพือและแรงรัดที่เอวทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองข้างบน ฮาร์ปีนั่นเอง ฮาร์ปีตัวหนึ่งใช้กรงเล็บอันแข็งแรงจับเขาไว้ และพาบินไปด้วยความสูงที่เรียกได้ว่า ถ้าหล่นลงไปคงกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อเละๆทีเดียว เคอิลกวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นนักรบสาวทั้งสี่ และเซราฟอยู่ไม่ห่างเช่นกัน ทั้งหมดยังคงไม่ได้สติอยู่ในกรงเล็บของฮาร์ปีตัวอื่นๆ นักเวทย์หนุ่มมองหาฮาร์ปีตัวที่บาดเจ็บ พบว่าอยู่ท้ายฝูงบินโดยที่ให้ฮาร์ปีอีกสามตัวกำลังพยุงร่างอย่างระมัดระวัง ฝูงฮาร์ปีรอบตัวเขามีมากกว่าสามสิบตัวด้วยซ้ำ เสียงกระพือปีกดังเป็นจังหวะราวกับการเดินสวนสนามของกองทหาร แทรกด้วยเสียงร้องเล็กแหลมของฮาร์ปีที่ไม่ต่างจากนกดังขึ้นเป็นระยะๆ ที่หน้าสุดของฝูงมีปราชญ์สาวนำขบวนอยู่ โดยที่ให้ฮาร์ปีจ่าฝูงถือเชือกไว้เส้นหนึ่ง เท้าทั้งสองจับปลายเชือกคนละข้าง โดยที่ซอนญ่านั่งอยู่ตอนกลางของเชือกเหมือนกับเด็กที่นั่งชิงช้าไม่มีผิด เส้นผมสีมะกอกของเธอโบกสะบัดตามแรงลม
" ทุกคนยังไม่ได้สติ จะหนีก็ไม่ได้ ถ้าตกลงไปมีหวังไม่รอดแน่ " เคอิลครุ่นคิด เขาตัดสินใจแล้วว่าอยู่เฉยๆคงจะเป็นการดีที่สุด นักเวทย์หนุ่มได้แต่เฝ้าสังเกตุการณ์เพียงอย่างเดียว
และแล้ว สายตาของเคอิลที่มองไปยังผืนป่าเบื้องล่าง ก็สะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งข้างหน้า ไม่ไกลนัก นักเวทย์หนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาในสิ่งที่เขาเห็น ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏแก่เขานั้นคือเมืองเมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนเกาะ หากแต่สิ่งที่รายล้อมเกาะนั้นหาใช่ท้องทะเลหรือผืนน้ำไม่ มันเป็นเพียงอากาศธาตุ ความว่างเปล่า ใช่แล้ว ! เมืองทั้งเมืองลอยอยู่ ! เหนือหุบเหวกว้างโดยที่ไม่มีฐานใดๆรองรับไว้ เกาะขนาดมหึมาถูกเชื่อมกับแผ่นดินด้วยสะพานขนาดยักษ์ อิฐหินสีเทาแกมน้ำตาลซึ่งใช้ปลูกสร้างนั้น ยิ่งขับให้เมืองดูลึกลับยิ่งขึ้น ฝูงฮาร์ปีค่อยๆบินเข้าหาเกาะนั้นทีละนิด ก็ยิ่งทำให้เคอิลรู้สึกว่าเขากำลังหลุดเข้าไปในภาพวาดของจิตรกรมือเอกผู้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ เกาะทั้งเกาะที่มีเมืองตั้งอยู่บนนั้นลอยนิ่งอยู่เหนือหุบเหวราวกับถูกตรึงไว้ด้วยหมุดล่องหน มันนิ่งสนิทจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันกำลังลอยเหนืออากาศธาตุ นี่น่ะรึ โลอาเมีย เมืองแห่งปราชญ์
ฝูงฮาร์ปีนับสิบลงมายังลานกว้างกลางเกาะ ฝุงนกสาวปล่อยพวกเขาลงอย่างอ่อยโยนแผ่วเบา ทันทีที่กลุ่มเดินทางสัมผัสพื้น ก็มีคนกลุ่มใหญ่วิ่งออกมาจากอาคารหลังหนึ่งไม่ไกลนักตรงมายังพวกเขา สังเกตได้ว่าเป็นเหล่านักสารยเวททั้งหนุ่มสาวจากพวงหลอดแก้วสีสันประหลาดที่ห้อยพะรุงพะรังเต็มเอว ตามมาด้วยคนที่ดูภูมิฐาน ซึ่งน่าจะเป็นนักปราชญ์อีกสองสามคน
" พยาบาล ! กลุ่มหนึ่งนำพวกผู้หญิงทั้งสี่คนไปรักษา พวกเธอโดนพิษจากขนของฮาร์ปี ส่วนอีกกลุ่มมาดูอาการฮาร์ปีตัวนี้ที่บาดเจ็บ " ซอนญ่าออกคำสั่งทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น เหล่านักสารยเวทแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกพาตัวเซราฟิมทั้งหมดออกไปทันที ส่วนอีกกลุ่มก็เข้ามารุมล้อมฮาร์ปีตัวที่บาดเจ็บ
เคอิลตรงเข้าไปประคองร่างของเซราฟที่นอนอยู่กับพื้น นักเวทย์หนุ่มเขย่าตัวเขาซักครู่ เซราฟก็ตื่นขึ้น
" ที่นี่ ...?" นักบวชตัวน้อยถามขึ้น เสียงงัวเงีย
" โลอาเมีย ... พวกเรามาถึงโลอาเมียแล้ว " เคอิลอธิบาย แต่สายตาก็สำรวจไปทั่วร่างของเซราฟ เพื่อหาบาดแผล โชคดีที่นักบวชตัวน้อยไม่เป็นอะไร
มีนักสารยเวทหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคนพร้อมกับยื่นขวดแก้วที่มีน้ำสีขาวขุ่นเหมือนน้ำนมมาให้ ทั้งสองหันไปมองซอนญ่าที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางผงกศีรษะเป็นเชิงว่าให้ดื่มเข้าไปเสีย ทั้งสองจึงรับไปดื่ม กลิ่นหอมประหลาดโชยแตะจมูกทันทีที่ขวกแก้วแตะจรดขอบปาก รสหวานเจื่อนปนฝาดอ่อนๆของมันทำให้ยากที่จะกลืน แต่เมื่อมันไหลผ่านลำคอไปแล้วความอบอุ่นและเรี่ยวแรงก็กลับคืนมาอีกครั้งอย่างน่าพิศวง
ปราชญ์สาวเจ้าของเรือนผมสีมะกอกยิ้มให้เด็กทั้งสองอย่างอุ่นใจ แล้วหันกลับไปร่วมกลุ่มกับนักปราชญ์ที่เข้ามาในตอนแรก
เคอิลสังเกตได้ว่านักสารยเวททั้งหมดนั้นเป็นเพียงกลุ่มคนชั้นรองที่รองรับคำสั่งของเหล่านักปราชญ์ ตามที่เทซซ่าเคยพูดไว้ไม่มีผิด
" ท่านซอนญ่าครับ ! เชิญทางนี้ " นักสารยเวทหนุ่มนายหนึ่งวิ่งออกจากกลุ่มที่รักษาฮาร์ปีที่บาดเจ็บเข้าไปเรียกปราชญ์สาว นางเดินไปดูอาการของฮาร์ปีทันที เด็กทั้งสองก็เดินตามเข้าไปด้วย
" ฮาร์ปีตัวนี้อ่อนเพลียเนื่องจากเสียเลือดมาก บริเวณโคนปีกมีบาดแผลจากการถูกของมีคม กลางปีกมีร่องรอยของการถูกของแหลมแทงจนทะลุ อาจต้องงดบินซักสองถึงสามวันครับ " สารยเวทหนุ่มอธิบายอย่างรวดเร็ว
" ทำแผลซะ ! ให้เร็วและดีที่สุด เราต้องการปากคำจากฮาร์ปีตัวนี้ " ซอนญ่าออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง บรรดานักสารเวทต่างยกขวดที่มีน้ำสีขาวเหมือนน้ำนมขึ้นมา คนหนึ่งกรอกน้ำยาลงไปยังริมฝีปากของนางนกสาว ส่วนคนที่เหลือนำน้ำยาสีขาวขุ่นเทราดลงบนปากแผลที่ปีก น่าอัศจรรย์ที่ร่องรอยของบาดแผลกลับสมานเข้าหากันจนปากแผลปิดเหลือแต่เพียงรอยจางๆและคราบเลือดเกราะกรัง ฮาร์ปีตนนั้นก็ดูสดชื่นแข็งแรงอีกครั้ง มันลุกขึ้นทันที และขยับปีกอย่างดีใจ แต่ปีกข้างที่ถูกโจมตียังขยับได้ไม่ดีเท่าที่ควร
" ต้องพักซักประเดี๋ยวนะ แผลยังไม่หายสนิท ห้ามบินไปสองสามวัน ไม่งั้นแผลอาจจะเปิดได้ " สารยเวทหนุ่มคนเดิมที่วินิจฉัยเอ่ยอย่างอารี
" ข้ามีธุระกับฮาร์ปีตัวนี้ พวกเจ้าออกไปก่อน !" ซอนญ่าออกคำสั่งเสียงแข็ง กลุ่มนักสารยเวทถอยออกไปและกลับเข้าอาคารตามคำสั่ง เด็กน้อยทั้งสองค่อยๆถอยเท้าออกมา เพื่อจะเดินตามกลุ่มนักสารยเวท
" พวกเจ้าสองคนก็อยู่ก่อน ไม่ต้องไปไหน " ซอนญ่ารั้งตัวเด็กน้อยทั้งสองไว้ ตอนนี้จึงเหลือแต่เพียงเพียงฮาร์ปีหนึ่งตนกับพวกเขาทั้งสามอยู่กลางลานกว้าง
" เกิดอะไรขึ้น ?" ซอนญ่าถาม กวาดสายตามองทุกคน
" เอ่อ .. คือว่า พวกเรากำลังจะเดินทางเข้าไปยังโลอาเมีย แต่ฮาร์ปีตนนี้ก็เข้ามาจู่โจมเราครับ พวกเราไม่มีทางเลือกจริงๆ เสียใจด้วยที่คนของท่านบาดเจ็บ " เซราฟอธิบาย ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาหลุบต่ำด้วยความเสียใจ
" เป็นจริงอย่างที่เค้าพูดรึเปล่า ไลแลค ? " ซอนญ่าหันกลับไปถามนางนกสาว
ฮาร์ปีขยับคออย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม " จริงค่ะ "
" ข้าสั่งเจ้าว่าอะไร ?" ปราชญ์สาวถามขึ้นอีก น้ำเสียงดุดัน
ไลแลคขยับปีกอย่างกระอักกระอ่วน ดวงตาสีแดงทับทิมจับจ้องมาที่เคอิลอย่างกินเลือดกินเนื้อ นักเวทย์หนุ่มไม่เข้าใจเสียเลย ว่าเขาได้เคยก่อเวรก่อกรรมอะไรกับฮาร์ปีตนนี้นักหนา นางจึงจ้องเขาอย่างโกรธแค้นขนาดนี้
" ข้าถามว่า ข้าสั่งเจ้าว่าอะไร ?!" ซอนญ่าตวาดก้อง ทำเอาทุกคนสะดุ้งตัวโยน โดยเฉพาะไลแลคที่ขนพองฟูด้วยความตกใจ
" ให้ดูแลรักษาการณ์ค่ะ นายท่าน " นางนกสาวตอบเสียงอ่อน สายตาจ้องมองพื้น
" แล้วที่เจ้าทำลงไปคือการรักษาการณ์งั้นรึ ? ข้าสั่งให้เจ้าดูแลท้องที่ มีคนเข้ามาให้รายงาน ไม่ใช่ตัดสินใจเองแบบนี้ !!!" นางตวาดหนักขึ้น แว่นตาอันเล็กที่อยู่ปลายจมูกกระดกขึ้นลงตามแรงพูด
" แต่ว่า ... ข้าสังหรณ์ ... ข้ารู้สึกได้ว่าเด็กนี่จะนำพาความยุ่งเหยิงมาสู่เรานะคะ " ไลแลคอธิบายด้วยเสียงเล็กๆของนางพลางชี้ปลายปีกมาทางเคอิล
ปราชญ์สาวถอนหายใจ " เพราะงั้นเจ้าก็เลยจะฆ่าให้หมดงั้นสิ ? ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรไลแลค แต่ทุกชีวิตย่อมมีค่า เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเองได้ว่าใครต้องตาย เจ้ารู้มั้ยว่าข้ารู้สึกยังไงที่เห็นเจ้ากำลังจะตายตอนนั้น " ซอนญ่าเสียงอ่อนลง
นางเดินเข้าไปหานางนกสาว ใช้ฝ่ามือลูบแก้มของไลแลคอย่างแผ่วเบา นางนกสาวตอบกลับด้วยการเอียงศีรษะพิงฝ่ามือของซอนญ่า พร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอ และหลับตาพริ้มอย่างพึงใจ
" ไปพักผ่อนซะ " ซอนญ่าเอ่ยขึ้น ไลแลคหันหลังเดินจากไป
" ส่วนพวกเจ้า ข้าเองก็เชื่อในลางสังหรณ์ของฮาร์ปี นั่นเป็นพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์นี้ ข้าจะจัดที่พักให้พวกเจ้าได้พักผ่อน ทันทีที่รุ่งสาง พวกเจ้าต้องเดินทางออกจากเมืองทันที " ปราชญ์สาวเอ่ยสีหน้าคร่ำเคร่ง " ทั้งที่ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วนะ เคอิล ... ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว ..."
จริงอย่างที่นางว่า เนื้อความในจดหมายของซอนญ่าที่ให้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที " แต่พวกเราจำเป็นต้องอยู่ พวกเรากำลังตามหา .." เคอิลพยายามอธิบาย
" ไม่มีแต่ !" ซอนญ่าร้องขัด " ได้โปรดเถิด เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมาก่อน ข้าให้พวกเจ้าอยู่พักแรมได้ก็ปรานีมากแล้ว "
" ท่านซอนญ่า ..." เซราฟพยายามที่จะร้องขออีกครั้ง แต่ก็ถูกเคอิลขัดขึ้น
" พอเถอะ เดี่ยวเราจะหาทางกันอีกที ตอนนี้ไปพักกันก่อน " นักเวทย์หนุ่มกระซิบบอกเซราฟ แล้วจึงหันหลังเดินออกไป มี นักสารยเวทกลุ่มหนึ่งยืนคอยพวกเขาอยู่ เพื่อพาไปยังที่พักซึ่งจัดไว้ให้