ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

14

Compensation

 

แสงอรุณสาดส่องทั่วท้องฟ้าราวกับจะเปลี่ยนโลกทั้งใบให้เป็นสีทองอร่าม แสงทองส่องผ่านแมกไม้เป็นเส้นพาดยาวกระทบพื้นหญ้าเบื้องล่าง ฝูงนกโบยบินเป็นแถวเรียงราย สายลมโบกโบยระยอดไม้ หน้าซุ้มประตูหมู่บ้านโยเร พวกเด็กๆกำลังยืนอยู่กับเทซซ่าที่ตัดสินใจจะร่วมเดินทางกลับโลอาเมียด้วยกัน โดยมีซองจีกับผีดิบสาวมินฟายืนส่งอยู่ไม่ไกล

"ทำไมเราไม่ซื้อวาร์ปไปล่ะครับ?" เคอิลถามอย่างสงสัย

"ชั้นเคยบอกแล้วไง ไม่มีวาร์ปไปโลอาเมียหรอก เสียใจด้วย" เทซซ่าพูดน้ำเสียงเฉียบขาด ดวงตาสีม่วงคมกริบตวัดมาจับจ้องเด็กหนุ่มผมดำด้วยหางตา

"อย่างน้อยไปที่ใกล้ๆก็ยังดี" เซราฟแนะนำ พลางหาวหวอด

"เสียใจด้วยอีกนั่นล่ะ เพราะพวกเธอไม่มีเงินน่ะสิ แล้วชั้นเองก็ไม่มีวันที่จะออกค่าเดินทางให้พวกเธอแน่ ชั้นยอมเหนื่อยเดินเท้าดีกว่าจะมาเสียเงินให้พวกเธอ เผลอๆระหว่างที่เดินไป อาจจะได้สินค้าดีๆกลับไปขายเสียด้วยซ้ำ" เทซซ่าพูดทำหน้าตาลอย

"ก็ดีไป อย่างน้อยข้าอาจจะได้ฝึกฝนเวทย์อะไรได้บ้าง" เคอิลพูดขึ้น เหมือนเปรยกับตัวเอง

แล้วทั้งสามก็ออกเดินทางจากหมู่บ้านอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเพื่อออกสู่ชายป่าซึ่งเชื่อมต่อกับทะเลทรายเบรุคอันร้อนระอุ ระหว่างทางนั้น การเดินทางในป่าเป็นไปอย่างสนุกสนาน เคอิลที่สาละวนอยู่กับการยิงเวทย์พื้นฐานใส่สัตว์ประหลาดจำพวกสไลม์ (Slime - สิ่งมีชีวิตประหลาด มีลักษณะเป็นวุ้นใส) อย่างเมามัน บางครั้งก็มีแมลงตัวยักษ์กระโดดเข้ามาบ้าง ซึ่งก็ไม่รอดพ้นลูกไฟเล็กๆที่เคอิลลงมือร่ายเช่นกัน ส่วนเซราฟนั้นก็ได้แต่ร้องอุทานด้วยความสงสารทุกครั้งที่เคอิลลงมือกับสัตว์ประหลาดนานาชนิด แต่ที่น่าแปลกใจก็คือเทซซ่า ที่เดินทางพร้อมกับรถเข็นที่คาดคะเนจากสายตาแล้ว หนักไม่น้อยพอดู แต่นางกลับลากมันได้อย่างสบายๆ

"สมาธิยังไม่ค่อยมั่นคงเลย" เขาบ่นพึมพำไปตลอดทาง การก้าวเท้าเดินพร้อมกับการร่ายเวทย์เป็นเรื่องยาก เพราะจังหวะการก้าวเดินนั้นจะทำลายสมาธิในการร่ายเวทย์ นักเวทย์ผู้แก่กล้าและชำนาญแล้วเท่านั้นจึงจะร่ายเวทย์ขณะก้าวเดินได้โดยไม่เสียสมาธิไป

"พอซักทีเถอะครับ ผมร่ายเวทย์รักษาให้จนเบื่อแล้วนะ สงสารสัตว์ประหลาดบ้างสิ" เซราฟบ่น เพราะเขาเองก็ต้องตามคอยร่ายเวทย์รักษาให้ทุกครั้งที่การร่ายเวทย์ของเคอิลไม่สามารถสังหารเหยื่อได้ในครั้งเดียว จนต้องถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บ

"เค้าเรียกว่าเป็นประสบการณ์" นักเวทย์หนุ่มเชิดจมูกขึ้น

"แต่เจ้าเองก็ร่ายเวทย์ได้เร็วจนน่าตกใจเหมือนกันนะ"เทซซ่าออกปากชม หลังจากที่ได้เห็นเคอิลสำแดงฝีมือมาไม่น้อย

"แต่ข้าเองก็อยากจะเก่งกว่านี้" เคอิลพูดสีหน้ามุ่งมั่นยกกำปั้นขวาขึ้นมาเสมอหน้า เผยให้เห็นถุงมือสีเทาอมม่วงที่เขาสวมใส่โดยตลอด

"ถุงมือนั่น ข้าเห็นเจ้าสวมไว้ตลอดเลย มือเจ้าเป็นอะไร?" นักสารยเวทอดความสงสัยของตนไว้ไม่ได้

"นั่นสิ ผมเองก็อยากรู้" เซราฟซักบ้าง ก่อนจะก้าวขาข้ามรากไม้ที่ยกตัวสูงเหนือพื้น

"เอ่อ... ถุงมือนี่น่ะก็อยู่กับข้าตั้งแต่จำความได้แล้ว จริงๆนี่มันไม่ใช่ถุงมือหรอก แต่เป็นรูปแบบพลังเวทย์อย่างหนึ่งที่อยู่ในรูปของถุงมือ ท่านโฮร่าเป็นคนผนึกไว้ ท่านบอกว่า เมื่อถึงเวลา ถุงมือนี่จะถอดได้เอง แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นฝ่ามือข้างขวาของตัวเองเลย" เคอิลอธิบาย จ้องมองมือขวาพร้อมกับลูบเบาๆ

"น่ากลัวจะตาย" เทซซ่าเอ่ย

และทั้งสามก็หยุดลง เมื่อชายป่าสิ้นสุดตรงหน้าผาไม่สูงมากนัก เบื้องล่างเป็นแม่น้ำกว้างซึ่งฝั่งตรงข้ามนั้นเห็นเป็นทะเลทรายอยู่ไกลลิบๆ มีสะพานไม้ร้อยเชือกเชื่อมทั้งสองฟากเข้าไว้ด้วยกัน มันส่ายโงนเงนตามแรงลมอย่างน่ากลัว ไอร้อนและความแห้งแล้งจากทะเลทรายฝั่งตรงข้ามพัดมากับสายลมปะทะคนทั้งสาม

"เอาล่ะ! คราวนี้ก็เดินขึ้นเหนือไป จนกว่าจะถึงอุทยานสไลม์ เพราะถ้าข้ามไปตอนนี้อันตรายแน่ๆ ฝั่งตรงข้ามมีแต่หมาป่าทะเลทราย กับสัตว์มีพิษเยอะแยะ" เทซซ่าพูดพร้อมกับพาเดินเลียบหน้าผาขึ้นไปทางทิศเหนือ

"สัตว์มีพิษเหรอครับ?" เคอิลถามขึ้น

"ก็พวกงู แมงป่อง อะไรพวกนั้นล่ะ" เทซซ่าบอก

"อี๋!" เซราฟร้องด้วยความขยะแขยง "งู กับแมงป่องเนี่ยนะ ไม่ข้ามไปน่ะดีแล้วล่ะครับ" นักบวชตัวน้อยห่อไหล่ ขนลุกชูชัน

"ใช่! โดยเฉพาะงูร้ายแห่งทะเลทราย จ้าวอสรพิษแห่งผืนทรายที่น่ากลัว พิษของมันสามารถปลิดชีวิตหมาป่า หรือแม้แต่มนุษย์ได้เพียงไม่กี่นาที ถ้าเกิดพวกเธอเดินอยู่แล้วพบรอยประหลาดบนพื้นทราย ที่เหมือนกับตัวอักษร 'S' เรียงกันเป็นทางยาวล่ะก็ พนันได้เลยว่ามันจะอยู่แถวนั้น" นักสารยเวทพูดขึ้น น้ำเสียงเหมือนกำลังเล่าเรื่องน่ากลัวขู่เด็กๆ

"ตัวอะไรเหรอครับ?" เคอิลกระเซ้า เขารู้สึกสนุกเมื่อเห็นเซราฟที่กำลังฟังอยู่ แสดงสีหน้าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

"ไซด์ ไวเดอร์น่ะสิ ที่มันได้ชื่อนี้เพราะว่ามันเลื้อยไม่เหมือนงูชนิดอื่น คือยกตัวเลื้อยเฉียง ๔๕ องศาจนทำให้พื้นทรายที่มันเลื้อยผ่าน เกิดรอยที่เหมือนตัว 'S' ซ้อนเรียงกันไปเรื่อยๆ" เทซซ่าอธิบายพร้อมกับพาเด็กๆเดินเลียบแม่น้ำใหญ่ไปเรื่อยๆ

"ทำไมมันเลื้อยอย่างนั้นล่ะ?" เซราฟขมวดคิ้วถามอย่างกล้าๆกลัว

"เท่าที่รู้มา อาจจะเพราะว่าการเลื้อยโดยใช้ท้องไถลแบบงูทั่วไปตามพื้นทรายอันร้อนระอุนั้น อันตรายต่อชีวิตมัน เพื่อรักษาอุณหภูมิในตัวให้คงที่ ก็เลยต้องเลื้อยแบบยกตัวเองขึ้นมาแบบนั้นก็ได้" เทซซ่าพยายามอธิบายตามที่ตนเข้าใจ

พวกเขาทั้งสามเดินมาไกลพอดู ดวงตะวันยกตัวสูงจนเกือบตรงกับศีรษะ ลมร้อนจากทะเลทรายพัดระใบหน้าพวกเขาเป็นระยะ เคอิลสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆที่ตามพวกเขามาได้ซักพักใหญ่ๆ

"ชู่ว์! ทุกคน... เหมือนมีอะไรตามเราอยู่" เคอิลกระซิบให้ทุกคน แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

"อะไรล่ะ? ตัวอะไร? ผมกลัวนะ อย่างแกล้งกันสิ" เซราฟกระซิบตอบด้วยความกลัว ดวงตาสีเขียวกวาดไปตามทิวป่าอย่างหวาดระแวง

ทั้งสามยังคงรักษาฝีเท้าต่อไปจนกระทั่งสามารถได้ยินเสียงจากผู้ติดตามได้ชัดเจน เสียงของใบไม้และกิ่งไม้กระทบกันดังอยู่เบื้องหลังพวกเขา ทั้งสามหยุดเดิน และยืนนิ่งรอการปรากฏตัวของผู้แปลกหน้า เซราฟหลบไปอยู่หลังเคอิลด้วยความหวาดกลัว เสียงสั่นในพุ่มไม้ดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งสามยืนชิดกันมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย สายตาต่างจดจ้องอยู่กับพุ่มไม้ต้นเหตุ

"แซ่กๆ..... แซ่กๆ....." พุ่มไม้ขยับไหวตัวรุนแรง เซราฟกอดแขนของเคอิลไว้แน่นปิดเปลือกตาสนิท

"พรวด!" แขกไม่ได้รับเชิญพุ่งทะยานออกมาจากพุ่มไม้ รูปร่างอันใหญ่โตของมันพุ่งเข้ามาหาคนทั้งสาม

เจ้าสิ่งนั้นโจนออกมาจากพุ่มไม้พุ่งพรวดเข้ามา มือของเทซซ่ากุมแน่นอยู่กับด้ามขวานที่ยื่นออกมาจากรถเข็น เซราฟเกาะอยู่ที่หลังของเคอิลแน่น หมายเป็นที่กำบัง

"แกว๊ก!!!" แขกที่ไม่ได้รับเชิญส่งเสียงลั่น มันเป็นนกขนาดยักษ์ขนสีน้ำตาลเข้มเกือบจะดำสนิท ปลากปีกสีเหลืองสดตัดกับสีพื้น จะงอยปากหนาใหญ่สีเหลืองเข้ม มีลวดลายสีแดง ส้มและน้ำเงินขีดทาบทับตามจงอยปากราวกับมีจิตรกรอารมณ์ศิลป์ระบายลงไป กรงเล็บมันช่างใหญ่โตนัก ดูแข็งแกร่ง เหมาะสมกับร่างกายที่สูงหนา มันสูงพอๆกับมนุษย์ทีเดียว เจ้านกนั่นกำลังยืนจังก้า ส่งสายตาปริบๆมาทางทั้งสามคน

"เซโรเต้งั้นเหรอ?" เทซซ่าครางอยู่ในลำคอ ยังคงประหลาดใจกับสิ่งมีชีวิตที่ปุปปับก็โผล่มาตรงหน้า

เป็นที่ทราบกันว่านกยักษ์ชนิดนี้มักจะถูกจับมาฝึกเป็นยานพาหนะ หรือนำมาเพื่อใช้แรงงานอยู่เสมอ สัตว์พาหนะชั้นสูงจำพวกช้าง และม้าหาได้ยาก พวกมันถูกสงวนไว้ใช้เฉพาะกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น นกเซโรเต้จึงเป็นพาหนะที่แพร่หลายมากในทวีปโทเทีย ด้วยความที่พวกมันเชื่อง เข้ากับคนได้ง่าย เรียนรู้เร็ว มีความคล่องตัว แข็งแรงกำยำ และฝึกสอนง่าย จึงเป็นที่นิยมมากทั้งในการทหาร การขนส่งคมนาคม นกชนิดนี้เป็นนกที่บินไม่ได้ แต่มีฝีเท้าจัดจ้าน และมีไหวพริบดี แต่ปกตินกเซโรเต้ป่ามักไม่มาสุงสิงกับมนุษย์เท่าไรนัก

"สงสัยเจ้าตัวนี้คงจะคุ้นเคยกับคนแฮะ" เคอิลค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหาเจ้านกยักษ์ ยื่นมือออกไปข้างๆจะงอยปากมัน มันเอียงหัวเอากระหม่อมดุนมือของเคอิลเบาๆอย่างน่าเอ็นดู เซโรเต้ตัวยังไม่โตเต็มวัยดี ดูจากความสูงที่พ้นหัวของเคอิลไปไม่ถึงศอก

"เพิ่งจะเคยเห็นตัวมันใกล้ๆก็คราวนี้แหละ" เคอิลลูบขนบนแผงคอเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม เส้นขนละเอียดสีน้ำตาลเข้มเกือบดำส่องประกายระยิบระยับ

เจ้านกครางเป็นเสียงต่ำๆในลำคอ บ่งบอกถึงความพอใจที่ได้ถูกสัมผัส มันปล่อยให้เคอิลลูบเล่นซักพัก แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาหาเทซซ่าแทน มันตรงเข้ามาที่เธอ เอาจะงอยปากสีเหลืองสดประดับประดาแถบเส้นหลากสีของมันงับชายผ้าคลุมเธอแล้วกระตุกเบาๆ

"ผมว่า มันคงหิวนะ คงรู้ว่าพี่มีอะไรให้มันกิน" เซราฟออกความเห็น เดินเข้าไปหาเคอิลกึ่งกล้ากึ่งกลัว เขาเองก็อยากลองจับตัวมันดูบ้าง

"อะไรกัน? ของซื้อของขายนะ" เทซซ่าบ่นอุบ พร้อมกับกระตุกชายผ้าคลุมของเธอให้หลุดจากปากนกยักษ์

เซโรต้าน้อยส่งสายตาวิงวอน แล้วก้มลงไปแทะชายผ้าคลุมเธอต่อ

"เอาล่ะๆ ให้ก็ได้" เธอพูดพร้อมกับหันหลังไปคว้าเอาขวดโหลอันมหึมาใส่ไส้เดือนตัวอ้วนกลมมันปลาบ ขนาดของไส้เดือนใหญ่จนน่ากลัวทีเดียว มันอ้วนพอๆกับแขนของเด็กทีเดียว เซราฟขนลุกชันทันทีที่เห็นเจ้าหนอนนั่นชัดๆ

เธอเปิดขวดแล้วคว้าเจ้าหนอนนั่นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ยื่นให้นกตัวนั้น "ตัวนี้ราคาหลายพันเชียวนะ" เธอบ่นเบาๆ ไส้เดือนตัวอวบอ้วนขนาดนี้สามารถขายได้ดีในตลาดของนักเวทย์และนักเล่นแร่แปรธาตุทีเดียว

เจ้านกนั่นคาบไส้เดือนออกจากมือเธออย่างบรรจง ไส้เดือนเคราะห์ร้ายบิดกายไปมาอย่างรู้ชะตากรรม ทันทีที่พ้นมือของเทซซ่ามันก็ยกปากขึ้นสูง แล้วขยอกกลืนลงไปในคำเดียว

"อา... กินให้มันรู้รสหน่อยสิ ของมันแพงนะยะ!" เธอบ่นใส่เจ้านกยักษ์ ขณะที่มันสะบัดหัวส่งเสียงครางอย่างมีความสุข

เคอิลยังคงเดินลูบตามตัวและเฝ้าสังเกตเจ้านกยักษ์อย่างตื่นเต้น เขาเดินวนรอบตัวมัน สองสามรอบ

"คิดอะไรออกแล้ว! เราเอาค่าอาหารจากมันคืนได้นี่นา" เคอิลโพล่งขึ้นมา

"ยังไงล่ะ?" เทซซ่าถามขึ้น "อย่าบอกนะว่ามันมีเงินติดตัวมาด้วย ไม่ตลกเลยนะ!"

เคอิลไม่พูด แต่กลับเดินไปด้านข้างของเจ้านกนั่น เอามือทั้งสองข้างวางบนกลางหลังของมัน แล้วออกแรงกดเบาๆ เหมือนมันรู้ มันค่อยๆหมอบลงกับพื้นช้าๆจนหน้าท้องของมันติดพื้น

"เห็นไหม? เราจะขี่มันไปไงล่ะ" เคอิลยักไหล่

เซราฟมีท่าทีเห็นด้วย อาจเพราะเมืองที่เขาอยู่มีแต่เหล่าอัศวินที่พร้อมอยู่บนเจ้านกนั่นเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่แล้ว ต่างกันตรงอานและบังเหียนเท่านั้น เคอิลค่อยๆปีนขึ้นไปบนหลังของมัน เซราฟขึ้นตามไปอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆ เขากอดเอวของเคอิลไว้แน่น คราวนี้เทซซ่าเป็นฝ่ายยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างๆ

"แล้วรถเข็นล่ะ?" เธอถาม แต่ฟังดูเหมือนพยายามบ่ายเบี่ยงมากกว่า

"มีเชือกนี่นา ผูกไว้แล้วลากเอาสิ" เคอิลบอก ชี้ไปยังรถเข็นที่มีปลายเชือกข้างหนึ่งห้อยออกมา

เทซซ่าทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า "ทำไมชั้นไม่เก็บเชือกเส้นนั้นให้ดีๆนะ" ก่อนที่จะผูกเชือกเข้ากับรถเข็นจนเสร็จ เธอค่อยๆปีนไปบนหลังเจ้านกยักษ์ช้าๆ ในมือเธอข้างหนึ่งกำมัดเชือกไว้ อีกข้างเกาะเอวเซราฟไว้แน่น

"ไปกันเลย!!!" เคอิลตะโกนขึ้น และราวกับเจ้านกนั่นรู้ภาษา มันยกตัวเองยืนขึ้นช้าๆ มีเสียงอุทานมาจากเทซซ่า

เจ้านกยักษ์ออกเดินด้วยการก้าวย่างช้าๆทีละก้าวๆ และค่อยๆเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นๆ เคอิลรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ต้นขา เขาพยายามเกาะคอมันไว้แน่น เพียงเวลาไม่นานตอนนี้พวกเขาทั้งสามอยู่บนนกยักษ์ที่วิ่งเร็วปรื๋อเลียบหน้าผาไป มีเสียงกรี๊ดจากเทซซ่าดังมาเป็นระยะ รถเข็นข้างหลังส่งเสียงดังเคร้งคร้างเมื่อพบกับทางที่ไม่เรียบนัก

"ถ้าของชั้นเสียหายไปล่ะ น่าดู กรี๊ด!" เทซซ่าตะโกน เหมือนเธอพยายามข่มอารมณ์ไว้แล้ว แต่ยิ่งพยายามก็เหมือนจะยิ่งเตลิดไปไกล เธอกรี๊ดบ่อยครั้งจนเซราฟหูชาไปเสียแล้ว มี้เพียงเคอิลที่ตะโกนสุดเสียงอย่างลิงโลด ปล่อยให้สายลมระใบหน้าอย่างมีความสุข

หากมีผู้ที่เฝ้ามองจากระยะไกล คงจะเป็นเรื่องที่น่าขันเมื่อเห็นนกยักษ์กำลังวิ่งปร๋อโดยมีคนสามคนกระเด็นกระดอนอยู่บนหลังของมัน ผู้หญิงที่เกาะอยู่ท้ายสุดลากจูงรถเข็นพร้อมกับเสียงกรี๊ดเป็นจังหวะ

เจ้านกยักษ์พาทั้งสามวิ่งขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วจนข้ามสะพานไม้เล็กๆ มันดูง่อนแง่นและแกว่งไปมาน่าหวาดเสียว แต่เจ้านกยักษ์ก็ไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลย ตอนนี้พวกเขาข้ามพ้นสะพานมาแล้ว แผ่นดินมีสภาพเหมือนเกาะ เกาะที่มีแม่น้ำล้อมรอบไปหมดทุกด้าน เชื่อมติดกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานไม้เล็กๆเท่านั้น โดยไม่มีสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้า จู่ๆเจ้านกก็หยุดวิ่งกระทันหัน ทำเอาทั้งสามเกือบจะหน้าคะมำทีเดียว รถเข็นที่วิ่งตามมาชนกับหลังเท้าของเจ้านกจนของกระดกเกือบจะตกจากตัวรถเข็น

"เป็นอะไรไป หยุดทำไมเหรอ?" เซราฟชะเง้อมองข้ามไหล่ของเคอิล วงแขนคลายออกจากเอวของนักเวทย์หนุ่ม

"คงจะหิวล่ะสิ" เคอิลว่า ในขณะที่เทซซ่าก็รีบลงจากหลังนกโดยไม่รอช้า

"เป็นพาหนะที่เหมาะแต่กับในสนามรบจริงๆนั่นแหละ" สารยเวทพึมพำ เธอมีสีหน้าหงุดหงิดมากทีเดียวขณะที่กำลังจัดข้าวของในรถเข็นของเธอให้เป็นระเบียบ

เด็กทั้งสองเองก็ลงมาจากตัวนกแล้ว เคอิลตบที่หลังของมันเบาๆ อย่างชื่นชม เจ้านกป่าส่งเสียงครางตอบรับอย่างเปรมปรีดิ์ ขณะพวกเขากำลังยืนอยู่กลางป่าโปร่งที่เป็นเกาะเล็กๆ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำ เคอิลและเซราฟสังเกตเห็นว่า รอบตัวเขามีแต่สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนวุ้นใสๆ กลมๆ ขนาดใหญ่ มันสูงเลยเข่าของเคอิลมานิดหน่อย เคลื่อนไหวด้วยการกระเด้งกระดอนไปมาอยู่ทั่วป่าแห่งนี้

"ที่นี่แหละ อุทยานสไลม์" เทซซ่าพูดโดยไม่หันมามองพวกเขา เธอยังคงง่วนอยู่กับการจัดข้าวของ แต่ก็มีอุปสรรคชิ้นโต คือเจ้านกยักษ์ที่คอยงับชายผ้าคลุมเธอ เหมือนกำลังทวงถึงรางวัลที่อุตส่าห์พาพวกเธอมาถึงที่นี่

เจ้าสิ่งมีชีวิตที่เหมือนวุ้นกลมๆ กระเด้งกระดอนไปมานั้น จัดเป็นพวกสไลม์ สามารถพบได้ตามชานเมืองทั่วไป แต่ที่นี่เรียกได้เลยว่าเป็นเหมือนกับสวรรค์ของบรรดาสไลม์จริงๆ มันมีทุกขนาด ทุกสีสัน โดยปกติแล้ว เคอิลและเซราฟจะเห็นเพียงสไลม์ขนาดเล็กๆบ้างตามนอกเมือง แต่ที่อาศัยอยู่ที่นี่มีขนาดใหญ่มากทีเดียว

"ตรงนี้มีสีเหลืองด้วยล่ะ" เซราฟชี้ไปยังสไลม์สีเหลืองใสที่กำลังกระดอนผ่านไป นักบวชตัวน้อยชอบใจในสิ่งที่พานพบนัก มันดูน่ารักเหมือนก้อนเยลลี่เดินได้

"เจ้าพวกนั้นมักอยู่ตามทะเลทรายหรือที่แห้งน่ะ" เทซซ่ายังคงพูดอธิบาย โดยมือขวาเธอควานอยู่ในรถเข็น และมือซ้ายพยายามผลักหัวของเจ้านกเซโรเต้ให้พ้นตัวเธอ "ถ้าตัวเขียวก็จะอยู่ตามป่า สีแดงมักอาศัยในเมือง สีน้ำตาลจะอยู่ตามหนองบึง แต่ที่นี่มีหมดทุกพันธุ์แหละ ถึงได้ชื่อว่าอุทยานไสลม์" เทซซ่าเสริมขึ้นอีก ก่อนที่จะยื่นขนมปังก้อนใหญ่มายังเด็กๆ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วทุกคนหิวกันมาก เด็กๆกล่าวขอบคุณเทซซ่า

เซราฟสังเกตเห็นว่าภายในตัวของสไลม์พวกนี้ มีอะไรลอยเคว้งอยู่ข้างใน

"ในตัวของพวกมันมี... เอ่อ..." เซราฟชี้นิ้วพยายามสังเกตสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเจ้าวุ้นพวกนั้น

"ขยะน่ะ เห็นน่ารักๆอย่างนี้ พวกนี้ล่ะหัวขโมยโดยกำเนิดทีเดียว มันตะกละซะจนกินทุกอย่างถึงแม้จะไม่ใช่อาหารก็เถอะ" เทซซ่าพูด คราวนี้เจ้านกนั่นยอมแพ้ซะแล้ว มันเดินออกไปคุ้ยตามพื้นดินแทน เหมือนน้อยใจนิดๆ

เทซซ่ายกถุงผ้าขึ้นมาแล้วเปิดถุงออกคว่ำมันลง แอปเปิ้ลจำนวนมากก็พรั่งพรูออกมา มันร่วงกราวลงพื้นกระจายเต็มไปหมด และในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เจ้าพวกสไลม์สารพัดสีต่างกระดอนตัวเองเข้ามากรุ้มรุมผลแอปเปิ้ลอย่างกับก่อจลาจล

"แอปเปิ้ลมันช้ำเพราะแรงกระแทกน่ะ ก็เลยเอามาเป็นอาหารเจ้าพวกนี้ไป" เทซซ่าพูดเสียงเนือยๆ วันนี้เธอขาดทุนมากี่ชาร์แล้วนะ

ทั้งสองคนต่างยืนตกตะลึงในภาพที่เห็น ถึงแม้เจ้าก้อนกลมๆเหล่านี้จะดูน่ารักน่าชัง แต่ทันทีที่พวกมันเห็นวัตถุแปลกปลอม ต่างก็เข้ามากลืนกินของเหล่านั้นทันที ตอนนี้เบื้องหน้าเขา ราวกับมีใครจัดเมนูวุ้นเยลลี่จานยักษ์

เซราฟพยายามมองทอดสายตาไปไกลๆ ปล่อยให้งานเลี้ยงย่อมๆใกล้เท้าเขาดำเนินต่อไป สายตาของนักบวชตัวน้อยก็สะดุดไปที่ก้อนกลมๆก้อนหนึ่ง มันมีสีฟ้าแปลกตา กำลังจ้องตรงมาทางเขาด้วยแววตาใสซื่อ เซราฟทนอยู่นิ่งไม่ไหว เดินเข้าไปหามันช้าๆ เจ้าวุ้นสีฟ้าๆนั้นก็ไม่หนีไปไหน เขาก้มตัวลงไปลองอุ้มดู เมื่อมือของเขาสัมผัสกับมัน ก็เหมือนกับกำลังพยายามกอบเอาแป้งขนมปังดิบที่ยังไม่ได้อบขึ้นมา มันหยุ่นๆ และอยู่ตัวอย่างน่าประหลาด เจ้าตัวสีฟ้าเองก็ดูมีท่าทียินดีที่ถูกอุ้ม

"นี่ๆ! เจ้าตัวนี้มัน..." เซราฟอุ้มมันไว้ วิ่งเข้ามาหาเทซซ่าและเคอิล ตอนนี้ งานเลี้ยงรวมเหล่าเยลลี่ได้จบไปแล้ว พวกมันทยอยกระดอนกระเด้งออกไปโดยมีลูกแอปเปิ้ลลอยคว้างอยู่ในตัวของพวกมัน บ้างก็มีลูกเดียว บางตัวก็มีสองลูกสามลูกคละกันไป

"อ้อ! เจ้าตัวสีฟ้านี่น่ะรึ เป็นสไลม์ที่ไม่ยักจะขโมยของ เห็นว่าพวกมันอพยพจากทางเหนือลงมา เลยไม่ค่อยรวมฝูงกับเจ้าถิ่นเท่าไหร่ ปกติสไลม์สีฟ้าแบบนี้พบในเขตหนาวที่มีหิมะตกน่ะ" เทซซ่าอธิบาย พร้อมกับปัดผ่ามือทั้งสองข้าง เธอจัดของในรถเข็นได้เข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบดีทีเดียว

"เป็นอย่างนี้นี่เอง น่าสงสารจังเลยนะ" เซราฟก้มลงไปพูดกับสไลม์ตัวน้อย มันส่งสายตาประกายระยับตอบกลับมา

ชั่วหลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจเจ้านกยักษ์ที่คุ้ยหาอะไรกินอยู่ข้างๆนั้นก็กรีดร้องเสียงดังลั่น มันยกหัวขึ้นฟ้าแล้วร้องเสียงดังสนั่น พวกเขาทั้งสามต่างตกใจ ไม่ทันได้ตั้งสติดีเจ้านกยักษ์นั่นก็ออกวิ่งเหมือนกำลังหนีอะไรซักอย่าง มันวิ่งหายไปโดยทิ้งให้ทั้งสามยืนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแปลกๆเหมือนเสียงฝีเท้าหนักๆของอะไรซักอย่างตรงมาทางนี้ เมื่อพวกเขาหันไปตามต้นเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆนั้น มันคือกองทัพสไลม์จำนวนมาก ที่นำหน้ามาโดยสไลม์ก้อนยักษ์ จากการคาดคะเนทางสายตา มันน่าจะสูงพอๆกับเคอิลเลยทีเดียว ลำตัวสีชมพูซีดกำลังพุ่งตรงมาทางนี้

" สไลม์คิง!!! หลบเร็ว"เทซซ่าตะโกนบอก แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกกองทัพสไลม์อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตร ในขณะนั้น เคอิลหลับตารอการปะทะที่กำลังจะมา

จนแล้วจนรอด แรงสั่นสะเทือนและสัมผัสอันหยุ่นนุ่มก็ผ่านตัวพวกเขาไป พวกมันเหมือนกำลังหนีอะไรซักอย่างมากกว่าจะเข้ามาโจมตี เหล่าสไลม์หลากสีนับร้อยๆตัวกำลังหนีโดยไม่สังเกตว่ามีมนุษย์ยืนขวางอยู่เลย

และแล้วความเงียบก็ได้กลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อพวกสไลม์ผ่านพ้นไป มันช่างเงียบงันไร้สรรพเสียง แต่ก็ดูไม่สู้วางใจได้นัก เหมือนกับทะเลที่สงบราบเรียบผิดปกติก่อนที่พายุจะถาโถมเข้ามา

และเป็นดังที่คาดคิดไว้ หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมเพียงไม่กี่นาที ก็เกิดแผ่นดินไหวเสียงดังสนั่น แรงสั่นของมันบังคับให้พวกเขาต้องหมอบลงกับพื้น ภาพเบื้องหน้าไหวระริกเพราะแรงสั่น ต้นไม้ส่งเสียงกราวด้วยใบเสียดสีกัน มีเสียงกิ่งไม้หัก เสียงต้นไม้โค่นล้ม และเสียงกรีดร้อง... เสียงกรีดร้องอย่าสั่นผวาของเทซซ่า

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.