ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายแฟนตาซี

 


The Goddess' Descendant
โดย The Seraphim
บทนำ - ๑

 

 

 

9
Corpse

 

ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างหลั่งไหลเข้ามายังร้านอาหารแห่งนี้ แอมโบรเซียเป็นเมืองหลวงจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีผู้คนต่างถิ่นมากมายแวะมาเยี่ยมเยียนหรือทำธุระปะปัง แต่ที่เห็นกันบ่อยๆก็เป็นบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่เดินทางมาซื้อขายสิ่งของต่างๆ พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่สังเกตได้ง่าย เพราะชุดที่ดูรัดกุม และรถเข็นเหล็กที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาถูกลากไปมาพร้อมกับสัมภาระมากมายจนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะขนไปได้ด้วยตัวคนเดียวไหว

"คืนนี้คงต้องพักกันที่โรงแรมนะ จะไปพักที่โบสถ์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะถึงหูพี่ลูคาริม" เซราฟเสนอความคิด หลังจากดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่

"ยังไงก็ได้" เคอิลตามใจ เขาเองก็เป็นคนนอนง่ายกินง่ายอยู่แล้ว

"งั้นตกลงตามนี้ แต่ว่า เย็นนี้จะไปไหนก่อนไหม? หรือจะเข้าที่พักเลย?" เซราฟเอ่ยถาม

"ไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้ ข้าเองก็อยากจะเดินชมเมืองนี้อยู่เหมือนกัน" เคอิลพูด

เมื่อทั้งสองเดินออกจากร้านอาหาร เซราฟก็พาเคอิลเดินชมสถานที่ต่างๆ บ้านเมืองที่นี่ดูใหญ่โต โอ่อ่ากว่าที่พิเมนต้าบ้านเกิดนัก หินปูพื้นถูกจัดวางเป็นวงกลมสวยงามเป็นระเบียบและประณีต บ้านเรือนก่อด้วยอิฐและไม้ดูงดงามสบายตา เคอิลเดินจนมาถึงบริเวณตลาดของเมือง ซึ่งตั้งอยู่ตลอดแนวถนนใหญ่ที่ทอดมาทางใต้ มีร้านรวงอยู่มากมายทั้งของป่า อาหาร ผลไม้ ของใช้ อาวุธ หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับสวยงาม เสียงเรียกของแม่ค้า เสียงต่อรองราคาดังระงมกันทั่ว

โดยปราศจากสัญญาณใดๆ พื้นดินก็สั่นสะเทือน!!! มันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้าวของที่ตั้งอยู่ตามร้านต่างๆ ล้มกระจายระเนระนาด เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังแหวกอากาศแข่งกับเสียงสั่นสะเทือนและเสียงอิฐหินตามพื้นและอาคารที่เสียดสีกัน ฝุ่นควันฟุ้งตลบอบอวล เคอิลดึงตัวเซราฟลงมานอนแนบพื้นตั้งแต่เริ่มไหว ฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้ทั้งคู่ต้องหลับตาและเอาแขนเสื้อปิดจมูกไว้ ผู้คนต่างหมอบลงราบกับพื้น บางคนล้มลงเพราะทรงตัวไม่ได้ บางคนนั่งคุดคู้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินไปได้ราวสิบนาที แผ่นดินไหวจึงค่อยๆสงบลง

แรงสะเทือนหมดไปแล้ว เหลือไว้แต่เพียงฝุ่นควันที่กำลังทิ้งตัวลงอย่างอ้อยอิ่ง ผู้คนต่างลุกขึ้นสำรวจรอบกาย ตรวจดูความเสียหายต่างๆ จัดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย ไม่มีใครพูดหรือออกความเห็นอะไรเลย ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทั้งสองคนเดินแทรกฝูงชนออกไปยังที่พัก ถึงแม้ดวงตะวันยังคงทอแสงจ้าอย่างไม่รู้ร้อนหนาวถึงความเดือดร้อนของผู้คน แต่วันนี้ทั้งคู่เหนื่อยกันมามากแล้ว พวกเขาต้องการพักผ่อน

เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินทางมาถึงที่โรงแรม บรรดาบริกรกำลังเก็บกวาดสิ่งของต่างๆให้เข้าที่เข้าทางหลังจากแผ่นดินไหวเมื่อครู่ ที่เคาน์เตอร์บริการ มีชายวันกลางคนอยู่ในชุดภูมิฐานกำลังชี้นิ้วสั่งงานจากเคาน์เตอร์บริการด้วยเสียงเย็นยาบ แต่สีหน้านิ่วขมวดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ดูจากท่าทีแล้ว เขาคงจะเป็นเจ้าของโรงแรมแน่นอนทีเดียว

"สวัสดีครับ ลูกค้าตัวน้อยทั้งสอง ต้องการที่พักหรือครับ?" เสียงของเขาเปลี่ยนมาเป็นหวานจับใจทันทีที่เห็นเคอิลและเซราฟเดินมาถึง

"ค...ครับ สองคนครับ ขอห้องเตียงคู่นะครับ" เคอิลตอบทั้งที่ยังประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของคู่สนทนา

"ครับ สองคนนะครับ ค่าที่พักห้องคู่ ๕๐๐ ชาร์ต่อคืนครับ ค่ามัดจำคนละ ๑๕๐ ชาร์และจะคืนให้หลังจากที่จ่ายค่าที่พักแล้วครับ รบกวนค่ามัดจำ ๓๐๐ ชาร์ด้วยครับ" เขาพูดเสียงสุภาพขณะที่กำลังถลึงตาใส่พนักงานหนุ่มคนหนึ่งที่ตั้งแจกันดอกไม้เบี้ยวไป

"นี่ครับ" เคอิลยื่นเงินให้แก่เขา

"ขอบคุณครับ นี่กุญแจครับ พักผ่อนให้สบายนะครับ" เขายื่นกุญแจทองเหลืองมาให้ดอกหนึ่ง มีแผ่นหนังผูกติดอยู่เขียนเลขห้องไว้

ทั้งสองคนเดินขึ้นไปยังห้องพัก โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวในแอมโบรเซีย ถึงแม้จะใหญ่โต แต่ก็ดูอบอุ่น ระเบียงไม้ที่ทอดยาวไปตามประตูห้องพัก สะอาดสะอ้าน และเป็นกันเอง แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงผ่านช่องหน้าต่างเป็นทิวแถว ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูห้อง ก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากห้องข้างๆ

เคอิลวิ่งไปตามเสียงร้องโดยมีเซราฟวิ่งตามไปติดๆ เมื่อไปถึง ประตูห้องถูกเปิดกว้าง มีพนักงานทำความสะอาดสวมชุดแม่บ้านทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหน้าซีดเผือด นางชี้นิ้วไปที่เตียงด้วยมืออันสั่นเทา บนเตียงนั้นเองมีศพชายคนหนึ่ง สภาพศพแห้งกรังหนังติดกระดูก เส้นผมขาวโพลนนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการสงบ เคอิลเดินเข้าไปพยุงร่างของพนักงานสาวที่หน้าซีดเผือดขึ้นมาให้ลุกออกจากห้อง ส่วนเซราฟเดินออกจากห้องไปนานแล้ว กำลังยืนน้ำตาซึมอยู่หน้าประตู

"เอะอะอะไรกัน?" เจ้าของโรงแรมหน้านิ่วเดินกระแทกเท้าเข้ามา

"คือ..คือว่า ดิชั้นจะเข้าไปทำความสะอาดค่ะ แต่เคาะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีคนตอบ เลยใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาดู แต่ก็....แต่ก็..." พนักงานสาวก้มหน้าร้องไห้ เธอยังคงตกใจกับสิ่งที่พบเจออยู่

"อีกแล้วหรือนี่! รายที่สามแล้วนะ มิน่า เมื่อเช้ากับกลางวันไม่ลงมาทานอาหาร เห็นทีคืนนี้ต้องเรียกนักบวชจากโบสถ์มาดูหน่อยแล้วล่ะ ปิดห้องนี้ไปก่อน เสียดายจริงค่าห้องพักก็ยังไม่ได้จ่าย" เจ้าของโรงแรมพูดด้วยเสียงเรียบเฉยแล้วเดินจากไป

พนักงานสาวหันกลับไปปิดประตูแล้วลงกุญแจไว้ เธอยังคงตัวสั่นด้วยอาการกลัว

"นี่มันเกิดอะไรกับขึ้นครับ? เค้าตายเพราะอะไร? คุณรู้เรื่องนี้ใช่มั้ย?" เคอิลถามนางด้วยน้ำเสียงคาดคั้น "รายที่สามแล้วงั้นรึ?" เคอิลคิด

"แต่ว่ามัน..." นางตอบอย่างลังเล ดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

"บอกมาเถอะครับ ผมเป็นนักบวชจากศาสนจักร อาจช่วยอะไรได้บ้าง" เซราฟพูด เขาพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เห็นศพคนตายในสภาพผิดปกติเช่นนี้

นางมองหน้าเซราฟอยู่พักหนึ่งเหมือนชั่งใจ แล้วถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา

"เค้าว่ากันว่า เมื่อก่อนโรงแรมแห่งนี้น่ะ ได้ผนึกปีศาจที่ออกอาละวาดมาครั้งหนึ่งด้วยฝีมือของนักบวชจากศาสนจักรนี่แหละ แต่เพราะแผ่นดินไหวเมื่อไม่นานมานี้ทำให้พลังจากการผนึกครั้งนั้นอ่อนลงจนมันสามารถออกมาได้ แล้วคอยฆ่าผู้คนในเวลากลางคืน สภาพศพก็เป็นอย่างที่เห็น แต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวของมันเลย.... ไม่มีซักคน" นางพูดไปพลางมีสีหน้าหวาดหวั่น "ข้าขอตัวไปทำงานดีกว่า อย่างน้อยก็อุ่นใจที่คืนนี้จะมีนักบวชมาซักที เจ้าของโรงแรมพยายามปิดเรื่องนี้เพราะกลัวว่าจะเสียชื่อ กลายเป็นโรงแรมผีสิง" นางขอตัว แล้วเดินจากทั้งคู่ไปทำความสะอาดยังห้องอื่นๆต่อไป

เมื่อกลับมาถึงห้อง ทั้งสองคนก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังเป็นเวลาบ่ายเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเพลียที่เจอเรื่องมามากก็เป็นได้

และแล้วในความฝันอันดำมืดของเคอิล เสียงนั้นก็กลับมาอีกครั้ง

"เด็กเอ๋ย... จงมาหาข้า...... เคอิล........มากับข้า.......จงมา......จงมา.........จงมา....." เสียงประหลาดดังขึ้นกลางความมืดในห้วงฝันของเคอิล แต่คราวนี้เคอิลสามารถจับเสียงนั้นได้ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของมนุษย์ทั่วไป มันเหมือนกับเอาเสียงต่างๆในธรรมชาติมารวมกันจนกลายเป็นเสียงเสียงเดียว ก้องสะท้อนไปทั่วในความมืด เคอิลสะดุ้งตื่นขึ้นมา

"อีกแล้ว!!! ฝันอีกแล้วรึนี่" เคอิลคิดในใจ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เส้นผมสีดำเปียกจนจับกันเป็นลิ่ม แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเย็นยาบอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างที่เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกว่าท้องกำลังเรียกร้องอาหารอยู่ ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ประดับไปด้วยดาวน้อยใหญ่ ทอแสงลอดผ่านกรอบหน้าต่าง นักเวทย์หนุ่มจึงปลุกเซราฟขึ้นมา

"ไปหาอะไรกินกันเถอะ ข้าหิวแล้ว" เคอิลเขย่าตัวของนักบวชผมทองตัวน้อยที่ยังคงหลับไหลอยู่ในผ้าห่ม

"อา.... ก็ดีครับ ผมเองชักหิวแล้วเหมือนกัน" เซราฟตอบเสียงงัวเงียพลางขยี้ตาขณะที่กำลังยันกายลุกขึ้น

ทั้งคู่เดินลงมาจากบันไดเพื่อที่จะไปยังห้องอาหารของโรงแรม ด้วยความง่วงของเซราฟ เขาจึงเหยียบชายผ้าคลุมตัวเองสะดุดกลิ้งลงบันไดไปชนกับนักบวชสาวที่กำลังเดินสวนขึ้นมา

"โอย... อะไรกันเนี่ย? เดินภาษาอะไรกัน?" เสียงของเธอพูดอย่างขุ่นเคือง ขณะที่กำลังยันกายขึ้นนั่ง

"ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เป็นอะไรมากมั้ั๊ยครับ?" เซราฟกล่าวขอโทษแล้วลุกขึ้นยื่นมือไปจะฉุดนางให้ลุกตามมา นักบวชสาวคว้ามือของเซราฟดึงตัวขึ้นกึ่งยืน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมา ทั้งคู่ก็ตกใจจนปล่อยมือออกจากกัน ทำให้นักบวชสาวคนนั้นล้มลงก้นจ้ำเบ้า

"เซราฟ!!!" "พี่เอมิเลีย!!!" ทั้งสองอุทานพร้อมกัน

...................................................

กลางห้องอาหารของโรงแรม มีนักบวชนางหนึ่งกำลังนั่งมองเคอิล และเซราฟที่กำลังรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ชุดของนักบวชสามารถสังเกตได้โดยง่าย ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินกรมท่าที่ยาวกรอมเท้า สายประคำที่ห้อยไว้ที่เอว และที่สะดุดตาที่สุดก็คือสัญลักษณ์กางเขนสีทองที่ปลายแขนเสื้อ

"ช้าๆก็ได้ เดี่ยวก็ติดคอตายพอดี" เอมิเลียปรามเซราฟที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มกระพุ้งแก้ม ขณะที่มือของเธอก็กำผ้าเช็ดปากคอยเช็ดคราบอาหารที่เปื้อนอยู่รอบปากของนักบวชตัวน้อย

พี่เอมิเลียไม่ใช่คนสวย แต่ก็มีเสน่ห์ เส้นผมสีครีมตรงยาวพอดีไหล่ ใบหน้ารูปไข่กับดวงตาที่แข็งกร้าวแต่ก็แฝงความห่วงใย

"แล้วพี่กลับมาเมื่อไหร่ครับ มานานรึยัง?" เซราฟเริ่มเปิดประเด็น หลังจากยกแก้วน้ำดื่มไปอึกใหญ่

"หลังจากเธอไปไม่นานนี่เอง" เอมิเลียขยี้ศีรษะของนักบวชน้อยด้วยความเอ็นดู เส้นผมสีทองประกายพลิกตัวไปมาตามร่องนิ้วของเธอ

"ไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกันบ้างรึไง?" เคอิลกระแอมขัดเซราฟที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มด้วยความสุข

"ข...ขอโทษ พี่เอมิเลียน่ะสนิทกับผมมาตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ว่าพี่เค้าต้องออกเดินทางไปเพื่อศึกษาและแสวงบุญ ก็เลยไม่เจอกันนานมากยังไงล่ะ" เซราฟอธิบายพัลวัน

"ผมเคอิลครับ" เคอิลแนะนำตัว

"เอมิเลีย, เอมิเลีย เทเรซ่า เดอ ปาร์เกอร์ เรียกว่าเอมิเลียเฉยๆก็ได้" นักบวชสาวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

"ดูเหมือนคนของศาสนจักรชอบที่จะแนะนำตัวเองด้วยชื่อเต็มเสมอ" เคอิลคิด "ว่าแต่ว่าพี่ไปอยู่ที่ไหนมาเหรอครับ" เคอิลเริ่มบทสนทนาเพื่อสร้างความเป็นกันเอง

"พี่อยู่ที่หมู่บ้านโยเรน่ะ ก็สนุกดีนะ แต่คนที่นั่นนับถือคนละศาสนากัน ลำบากนิดหน่อย" เอมิเลียพูดด้วยสีหน้ายากบรรยาย เธอยิ้มทั้งๆที่คิ้วยังขมวดไว้

โยเร หมู่บ้านเล็กๆที่เธอพูดถึงนั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแอมโบรเซีย หมู่บ้านโยเรนั้นตั้งอยู่กลางป่าเขา ทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายบรุคโดยมีแม่น้ำสายเล็กๆคั่นไว้ ทั้งภาษาและลักษณะประชากรก็แตกต่างจากชาวอาณาจักรโทเทียมาก

"แล้วพี่มาที่โรงแรมนี่ทำไมล่ะครับ ไม่ไปที่โบสถ์ล่ะ?" คราวนี้เซราฟถามบ้าง

"พี่ก็มาจากโบสถ์นี่ไง ศาสนจักรส่งพี่มาปราบผีน่ะ อยู่ที่โยเรปราบผีดิบจนชินแล้ว" เอมิเลียวาดมือทำท่าทางประกอบ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พี่เอมิเลียของเซราฟก็ยังคงเป็นพี่สาวก๋ากั่นที่ดูน่ารักเสมอ

"แล้วปีศาจตนนี้มันคือ..." คำถามของเซราฟหยุดลงจู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรสั่นระริกอยู่ในกระเป๋า ปรากฏว่าหินสีน้ำเงินลาพิซ ลาซูรี ของพี่ลูคาริมที่เด็กน้อยพกติดตัวตลอดนั้น เรืองแสงอ่อนๆ และสั่นระริกอยู่ในมือ เอมิเลียเองก็กางฝ่ามือของเธอที่มีหินสีน้ำเงินช่นกัน มันก็เรืองแสงแผ่วๆ และสั่นระริกไม่ต่างจากของเซราฟ

"นี่มันอะไรกันครับ?" เซราฟถามด้วยความสงสัย

"ชู่ว์!" เอมิเลียส่งสัญญาณให้เงียบ "พี่ร่ายบทสวดคุ้มกันบริเวณโรงแรมนี้ไว้ก่อนแล้ว หากมีพลังมืดหรืออำนาจด้านมืดเข้ามาก็จะส่งอิทธิพลต่อลาพิซ ลาซูรีทุกเม็ดในพื้นที่ เหมือนเครื่องเตือนภัย" นางบอกพร้อมกับก้าวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นห้องพัก "ที่เหลือก็แค่หาแหล่งที่มาให้เจอ" เด็กทั้งสองเดินตามไปอย่างระมัดระวัง

"เห็นมั้ยว่ามันเรืองแสง และสั่นหนักขึ้น" เอมิเลียพูด แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปตามทาง เสียงไม้บันไดเสียดกันลั่นเอี๊ยดอ๊าดทุกฝีก้าวที่เหยียบย่าง

จริงอย่างที่เธอว่า หินในมือของทั้งสองคน ต่างเรืองแสงสีน้ำเงินสว่างกว่าเมื่อครู่ ทั้งยังสั่นแรงขึ้นด้วย

"แสดงว่ามันอยู่ข้างบน ไม่ผิดแน่" เอมิเลียมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบของเธอมองทอดไปตามขั้นบันไดอย่างระมัดระวัง ยิ่งเมื่อทั้งสามเดินไปตามระเบียงห้องพัก หินในมือก็ยิ่งทวีปฏิกริยาหนักขึ้น

เมื่อพวกเขามาหยุดอยู่หน้าประตูห้องพักห้องหนึ่ง ซึ่งห่างจากห้องพักของเด็กหนุ่มทั้งคู่ไปหลายห้องพอดู ขณะนี้ลาพิซ ลาซูรีที่พวกเขาถือมานั้นส่องแสงสว่างราวกับตะเกียงก็ไม่ปานทั้งยังสั่นมากเสียจนผู้ที่ถือมันต้องกำไว้แน่น ด้วยเกรงว่าจะหลุดจากมือผู้ถือ

"ห้องนี้แหละ! ไปตามคนมาเปิดห้องนี้เร็ว!" เอมิเลียกระซิบชวนขนลุก

เด็กน้อยทั้งสองคนออกวิ่งทันทีที่สิ้นประโยคของนาง เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่ง เจ้าของโรงแรม และพนักงานชายสองคน กับแม่บ้านผู้ถือกุญแจก็วิ่งตามพวกเขาสองคนขึ้นมา

"เปิดห้องนี้เร็ว! ก่อนจะไม่ทันการ" เอมิเลียพูดเสียงกร้าว ดวงตาสีน้ำตาลของเธอแข็งกร้าวดุดัน

แม่บ้านคว้ากุญแจพวงยักษ์ที่ห้อยอยู่ที่เอวขึ้นมาโดยเร็ว นางหมุนไขเปิดออกด้วยความชำนาญ ทันทีที่ห้องถูกเปิด เอมิเลียก็ถลาเข้าไปทันที แต่สิ่งที่ปรากฎในสายตามีเพียงชายหนุ่มหน้าตาคมคายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"ไหนล่ะปีศาจ? อย่าทำให้ข้าเสียเวลานะ" เจ้าของโรงแรมพูดพลางกวาดตาไปทั่วห้อง ภายในห้องนั้นก็ดูเป็นปกติดี สิ่งที่ควรจะมีก็มีอยู่ และสิ่งที่ไม่ควรจะมีก็ไม่ปรากฎ

"ถ้าไม่มีก็รีบออกมาก่อนเถอะ เดี๋ยวลูกค้าข้าตื่นขึ้นมาเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะเดือดร้อน" เจ้าของโรงแรมพูดมีท่าทีร้อนรน

แต่ทว่าเอมิเลียกลับเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ โดยไม่ฟังเสียงของเจ้าของโรงแรมแม้แต่น้อย

"จะทำอะไรน่ะ!" เจ้าของโรงแรมกัดฟันพูด เพื่อให้เสียงเบาลงด้วยเกรงว่าเจ้าของห้องพักจะตื่นขึ้น

"ไม่เห็นรึไง! ว่าลาพิซ ลาซูรีน่ะ ส่องสว่างขนาดนี้ มันอยู่ที่นี่แหละ และกำลังอยู่ในร่างผู้ชายคนนี้" เอมิเลียตะโกนลั่นชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่บนเตียง มืออีกข้างก็กวัดแกว่งหินสีฟ้าสดที่ส่องแสงสว่างจ้า น่าแปลก ชายหนุ่มคนนั้นกลับยังคงอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ต่อไปโดยไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับเสียงตะโกนของนาง

และแล้ว ท่ามกลางความเงียบในห้อง หลังสิ้งเสียงของเอมิเลีย ก็มีเสียงครางเบาๆออกมาจากชายที่นอนอยู่บนเตียงนั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ค่อยๆผุดขึ้นมาตามใบหน้าของเขาทีละน้อย เสียงครางดูเหมือนจะค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ

"บัดสี! เจ้าปีศาจชั่วช้า" เอมิเลียกระแทกเสียงด้วยความโกรธ ทุกคนยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แต่ยืนงุนงงอยู่อย่างนั้น

"พวกผู้ชายไปจับแขนขาของพ่อหนุ่มคนนี้ไว้ ไม่ต้องกลัว เค้าไม่รู้สึกตัวหรอก.... หยาบช้าที่สุด!!!" เอมิเลียพูด ท้ายประโยคดูเหมือนจะบอกปีศาจมากกว่าลูกมือ

พนักงานชายสองคนตรงมาจับแขนและขาของชายหนุ่มคนนั้นอย่างหวาดๆ

"แค่สองคนไม่พอแน่" เอมิเลียกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก็สะดุดอยู่กับเด็กหนุ่มทั้งคู่

"สองคนนี้ก็ไม่ไหว เด็กเกินไป.. แม่บ้าน! ไปหาเชือกมา เห็นทีต้องผูกแขนขาของเขาไว้กับเสาเตียงแล้วล่ะ เร็ว!!!" เอมิเลียตะโกนสั่งการอย่างชำนาญ เพียงไม่นานแม่บ้านก็ได้มัดเชือกมาสี่ขด และลงมือมัดแขนขาของชายผู้นั้นทันที

น่าแปลกที่ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวตื่นเลย แต่กลับครางดังขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะหายใจ เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาตามใบหน้าและร่างกายจนเสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่ม กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง ทว่าสีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างประหลาด

"นี่มันอะไรกัน? ชายคนนี้เป็นอะไร?" เคอิลคิด ภายในห้องดังระงมด้วยเสียงครางกระเส่าของชายหนุ่ม

เมื่อชายผู้นั้นถูกมัดไว้กับเสาเตียงอย่างดีแล้วทุกคนก็ถอยห่างออกมา มีเพียงเอมิเลียที่เดินตรงเข้าไปข้างกายเขา

"ต้องแข่งกับเวลาแล้วล่ะ ก็ขึ้นอยู่กับพ่อหนุ่มคนนี้จะอึดได้ซักเท่าไหร่" เอมิเลียหยิบของบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม เป็นหนังสือปกน้ำเงินขอบทอง มีกางเขนอยู่ที่หน้าปกและสันปก เซราฟจดจำหนังสือเล่มนั้นได้ดี พระคำภีร์นั่นเอง

พิธีกรรมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย The Seraphim

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.