เสียงเด็กแรกเกิดร้องไห้จ้า ดังแทรกบรรยากาศสีเทาหม่นของเวลาเช้ามืด จากบ้านหลังหนึ่งภายในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า พิเมนต้า
"คลอดแล้วค่ะ! คลอดแล้ว! โอ... เป็นเด็กผู้ชายค่ะ หน้าตาน่าชังเชียว" เสียงแม่เฒ่าผู้ทำคลอดเอ่ยขึ้น นางแหวกม่านบังตาออกในอ้อมอกมีร่าง ของเด็กน้อยแรกเกิดร้องไห้สุดเสียง
ชายชราร่างสูงเดินเข้าหาแม่หมอตำแย ดวงตาสีเทาฉาบไปด้วยความยินดี
"ไหนดูซิ? อืม... หน้าตาน่ารักน่าชังคล้ายแม่เจ้าจริงๆ" เสียงแหบพร่าอันบ่งบอกถึงอายุที่ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน ออกจากปาก ของจอมเวทย์ผู้ปกครอง เมือง หลังจากที่รับเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมแขน ผู้อาวุโสตรวจดูร่างกายเด็กตามธรรมเนียม ปฏิบัติ
"โอ! แพนซี่!มาดูนี่เร็ว" ผู้อาวุโสร้องเรียกแม่เฒ่าทันทีที่พลิกหลังมือซ้ายของเด็กขึ้นดู
"อะไรรึท่าน?" นางร้องถามอย่างใคร่รู้ "ฆ้อนของธอร์เป็นพยานเถิด! เด็กคนนี้.... "ท่านโฮร่าคะ " นางอุทานอย่างตกใจ ทันทีที่เห็นในสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสแสดง
"แล้วเฟลิน่าหล่ะ เรื่องนี้แม่ของเด็กสมควรจะรู้เรื่อง"
"เหนื่อยจนหลับไปแล้วค่ะ ดิฉันว่าอย่าเพิ่งไปปลุกเลย ให้นางพักเสียก่อนเถิด"
เสียงเคาะประตูดังแทรกขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง แขกที่มาเยือนก้าวเข้ามาเป็นชายวันกลางคนร่างกายกำยำสันทัด สวมผ้าคลุมสีเทาแกมม่วง บนศีรษะมีหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าไว้
"คุณคะ ที่นี่ไม่ต้อนรับแขกค่ะ" แม่หมอตำแยร้องขึ้น นางพยายามทำหน้าที่แม่หมอให้ดีที่สุด
ท่านผู้อาวุโสโฮร่ายกมือขึ้นห้ามพร้อมกับส่งสายตาเป็นนัยว่าให้นางออกไปก่อน แม่เฒ่าค้อมศีรษะรับอย่างงุนงง ก่อนที่จะก้าวออกไปจากห้องด้วยสีหน้าสงสัย
"นี่รึ? ลูกของนาง" แขกนิรนามถามขึ้นพร้อมกับถอดหมวกออกเผยให้เห็นเส้นผมสีดอกเลา และดวงตาที่มืดบอดไปข้างหนึ่ง
"ท.... ท่าน! ท่านมาทำอะไรที่นี่?" ท่านผู้อาวุโสเอ่ยเสียงสั่น เขาจดจำเจ้าของร่างนี้ได้ดี
"ไม่เอาน่า... ให้ข้าดูเด็กคนนั้นหน่อยสิ" ชายนิรนามพูดอย่างเป็นกันเอง เอื้อมแขนเข้าอุ้มเด็กน้อยที่บัดนี้ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
"ท่านนำเด็กคนนี้กลับไปไม่ได้ ท่านก็รู้ดีอยู่แก่ใจ" ท่านโฮร่าพูดขึ้น สองมือพยายามคว้าเด็กกลับคืนมา
"ข้าทราบดีๆ" ชายตาบอดตอบอย่างหน่ายๆ ยื่นเด็กกลับคืนสู่อ้อมกอดของท่านผู้อาวุโส "ข้ามาที่นี่เพื่อคุยกับท่าน"
ผู้อาวุโสโฮร่า ลูบหลังมือของเด็กน้อยที่มีรอยประหลาดราว กับรอยสัก รูปดาวห้าแฉกอย่างแผ่วเบา และแล้ว บทสนทนาอันเป็นความลึกลับ ที่หาผู้ใดทราบได้ก็เริ่มขึ้น................
First Journey
"ฮือๆๆ......ฮือ....ซิกๆ......ฮือ......" เสียงร้องไห้ราวกับเด็กน้อยที่ถูกพรากออกจากอ้อมอกแม่ดังมาจากหน้าโบสถ์ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือใจกลางเมืองแอมโบรเซียเมืองหลวงแห่งอาณาจักรโทเทีย
นักบวชตัวน้อยผมสีทองประกาย ตัดกับดวงตาสีเขียวสดอันชุ่ม ไปด้วยน้ำตา กำลังโผกอดนักบวชหนุ่มรูปงาม ผมสีเข้มซึ่งทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเสียมิได้ ทั้งสองต่างยืนอยู่หลังหลวงพ่อชรารูปหนึ่ง
"เซราฟ! พอได้แล้ว! ไม่นะ! เสื้อข้า! ชุดข้า! เปียกหมดแล้ว!!!" นักบวชหนุ่มโวยวายพลางพยายามดันศีรษะของ เซราฟให้ออกห่างจากเอวตน
"ฮึกๆ" นักบวชตัวน้อยสะอื้น "แต่ว่า พี่ลูคาริมฮะ ผม....ผม...... ผมเพิ่งเป็น นักบวชได้ไม่กี่วันเองนะฮะ แล้วนี่จะให้ผมออกนอกตัวเมืองคนเดียว ทำงานคนเดียว
โดยไม่มีใครเลยเนี่ยนะฮะ พี่ลูคาริมไปกับผมนะฮะ ผมกลัว... ฮือๆ.."
เซราฟร้องไห้อีกครั้งพลางโผเข้ากอดลูคาริม ที่พยายามปัดป้องทุกวิถีทาง
"เอายังไงดีครับ? คุณพ่อ" ลูคาริมถามหลวงพ่อโดยหวังว่าท่านจะสามารถแก้ปัญหาให้เขาได้
"เอ่อ... พ่อว่านะ ลูคาริมไปส่งเซราฟที่นู่นก็ได้นี่นา" หลวงพ่อตอบกลับอย่างลังเล "ไม่เป็นไรหรอกน่า ตามใจเซราฟหน่อยเถอะ อย่างไรนี่ก็งานแรกนะ" หลวงพ่อเอ่ยขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับความหวังของลูคาริมโดยสิ้นเชิง
"นะ นะ แค่ไปส่งก็ยังดี นะฮะ นะ นะ" เซราฟอ้อน ดวงตาสีมรกตรื้นน้ำตาเปล่งประกายอ้อนวอน
"เอาล่ะๆ! พี่ยอมแล้ว" นักบวชหนุ่มตะโกนอย่างเหลืออด "งั้นแค่ไปส่งนะ พอถึงแล้วพี่ก็จะกลับ อะไรกัน! ไปแค่เดือนเดียวทำอย่างกับต้องไปอยู่ตลอดชีวิต" ลูคาริมประชด พลางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาน้ำมูกให้เซราฟ
"ขอบคุณครับ! พี่ลูคาริมใจดีที่สุดเลยล่ะ ผมจะทำงานชิ้นแรกนี้ให้ดีที่สุดเลยครับ" เซราฟร้องอย่างดีใจ ความปิติยินดีแบบเด็กๆฉาบทับไปทั่วทั้งสีหน้า
หลวงพ่อผู้ชราหันกลับมาหาเซราฟ "เอาล่ะเซราฟ ทีนี้ฟังพ่อนะ" หลวงพ่อคุกเข่าลง ใบหน้าเสมอกับเซราฟ น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดแจ้ง "อย่างที่เจ้าได้รู้อยู่แล้วถึงงานของเจ้า แต่พ่อก็จะขอย้ำอีกครั้ง ตัวเจ้าเองมีพรสวรรค์ในการจดจำและรับทักษะเวทย์ได้ดี ทางเราจึงส่งเจ้าไปยังเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเวทมนตร์ แต่จงจำไว้! พลังเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพลังมืด
ที่ผู้ออกบวชอย่างเราไม่สมควรไปแตะต้อง เจ้ามีหน้าที่จดจำรูปแบบการใช้ แนวทางปฏิบัติและความเชื่อของเหล่า นักเวทย์มา เท่านั้น จงอย่าคิดที่จะลอกเลียน
หรือปฏิบัติตามรูปแบบพลัง เหล่านั้นเป็นอันขาด! เข้าใจที่พ่อพูดไหม? เซราฟ"
"ครับ! ผมเข้าใจทุกอย่างดีครับ และผมจะทำอย่างสุดฝีมือเลย" เซราฟรับคำด้วยวาจาที่หนักแน่น
"พี่ว่าเราออกเดินทางได้แล้วนะ วันนี้พี่ต้องกลับมาทำมิสซาที่โบสถ์อีก เดี๋ยวจะไม่ทัน" ลูคาริมตัดบท พลางก้าวเดินออกไปข้างหน้า
"เดินทางดีๆนะ รักษาตัวด้วยล่ะเซราฟ" หลวงพ่ออวยพรพร้อมโบกมือลา
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นดั่งบิดาแห่งข้า..." เสียงอันทุ้มนุ่มถูกเอื้อนเอ่ยจากปากลูคาริมฝ่ามือของเขาถือหินสีน้ำเงินสดใสราวลูกกวาด "บัดนี้ลูกขอให้พระองค์นำหนทางที่ลูกต้องการไปสู่ มายังเบื้องหน้าลูกด้วยเถิด ด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จักดูแลเรา และนำพาเราไปยังที่ปลอดภัย ดังคำลูกวิงวอนเทอญ..." ทันทีที่สิ้นเสียงสวดของพรีสต์หนุ่ม หินสีในมือก็กลับสลายเป็นผุยผงร่วงลงพื้น และทันทีที่ฝุ่นละอองสีน้ำเงินนั้นแตะสัมผัส กับผิวดินก็เกิดม่านแสงสีเงินยวงปรากฏขึ้นมาจากพื้นเป็นวงกลมสว่างเจิดจ้าจน ไม่อาจมองเห็นพื้นดินเดิมที่มันเคยมีอยู่
"เอ้า! เข้าไปสิ มัวแต่ยืนดูอยู่ได้!" นักบวชหนุ่มตะโกนอย่างเหลืออดใส่เซราฟที่ได้แต่ยืนมองลำแสงอย่างตกตะลึง
นักบวชตัวน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดเข้าไปในม่านแสง ทันใดนั้น แสงสว่างรอบข้างก็บาดตาจนแม้กระทั่งหลับตาสนิทก็สามารถรู้สึกได้ถึงความ
เจิดจ้า ร่วงกายของเซราฟหมุนคว้างราวกับถูกฉุดกระชากให้ยกขึ้นและเหวี่ยงลง มาสลับกัน เซราฟรู้สึกว่าเขาได้เป็นองุ่นในเทศกาลไวน์ ตอนที่ย่ำองุ่นไม่มีผิด เมื่อทั้งสองหายลับไปในประตูวาร์ปก็มีแม่ชีรูปหนึ่งเดินออกมา
"จะดีเหรอคะคุณพ่อ เซราฟเองก็ยังเด็กอยู่เลย" ซิสเตอร์เอ่ยถามด้วยความ
เป็นห่วง "ไม่รู้ว่าที่ประชุมศาสนจักรคิดยังไงถึงส่งเด็กตัวแค่นั้นไป มันออกจะอันตรายไปเสียหน่อย"
"เชื่อใจพ่อเถอะ เห็นอย่างนี้ เซราฟเองก็เป็นคนเดียวในรอบ ๓๒ ปีที่ได้ยินเสียงเรียกจากพระองค์นะ และยังสามารถอ่านภาษาละตินได้อย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่อายุยัง ๗ ขวบ เซราฟน่ะ ไม่ใช่เด็กธรรมดาหรอก... พ่อเชื่อเช่นนั้น" หลวงพ่อกล่าวอย่างมั่นใจ
"แต่อย่างไร เด็กก็ยังเป็นเด็กนะคะ" แม่ชีพูดขึ้น มีความกังวลเจืออยู่ในน้ำเสียง
.......................................
ด้านเซราฟเมื่อแสงเหล่านั้นค่อยๆหรี่ลงและความรู้สึกราวกับถูกย่ำอยู่ตลอดนั้นหายไป ทันทีที่ดวงตาของเซราฟเริ่มปรับสภาพเข้าสู่ปกติ ภาพแรกที่เขาเห็นก็สร้างความประทับใจให้เขาได้ไม่น้อยสิ่งที่ปรากฏในสายตาของ เขาคือหอคอยรูปทรงกรวยสูงตระหง่านเสียดฟ้าราวกับไม่สิ้นสุดมีบันไดเวียน ที่สลักจาก หินเนื้อเดียว กับหอคอยวนประกบอยู่รอบนอกโดยไร้ราว บันได ตามผนังต่างๆก็มีหน้าต่างเจาะไว้ บางบานก็มีคนมายืนอยู่ บางบาน ก็มีแสงสีสัน ประหลาดพุ่งออกมา แต่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งนักคือที่บริเวณยอดของหอคอยที่เห็นอยู่ไกลลิบ บนยอดนั้นมีหินผลึกสีม่วงอ่อนขนาดมหึมาลอยคว้างอยู่ด้านบน เซราฟจ้องมอง อยู่นานราวกับกาลเวลาถูกทำให้หยุดนิ่ง
"ถึงแล้วล่ะ ที่นี่คือเมืองพิเมนต้า เมื่อครู่เรียกว่าการวาร์ปน่ะ อีกหน่อยก็ชินไปเอง" เสียงของลูคาริมปลุกให้ ตื่นตื่นจากความประทับใจ การวาร์ปที่ลูคาริมหมายถึงนั้น คือการเคลื่อนย้ายมวลสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความรวดเร็ว แต่ผู้ที่จะใช้ทักษะเวทย์นี้ได้ ต้องฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและเวทย์นี้ถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ออกบวชเท่านั้น
"แล้วอีกอย่างนะ" ลูคาริมดึงตัวเซราฟเข้ามากระซิบ
"อย่าเอ่ยนามพระเจ้าของเราถ้าไม่จำเป็น ชาวพิเมนต้าที่นี่นับถือศาสนาต่าง จากของเราโดยสิ้นเชิง มีนักเวทย์ไม่มากหรอกนะ ที่จะยอมรับในพระเจ้าของเราได้" ลูคาริมกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่ชวนขนลุก
"ค...ค......ครับ..บ" เซราฟรับคำอย่างขวัญเสีย
"เอ้านี่!" นักบวชหนุ่มโพล่งขึ้น "ใบแสดงตน อันนี้จะบอกว่าเจ้าถูกส่งมาจาก ศาสนจักร อันนี้เป็นแผนที่เมือง ที่จริงเมืองนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เล็กจะตาย... แล้วนี่ก็เงินค่าใช้จ่ายของเจ้า ใช้ประหยัดๆหน่อยล่ะ" ลูคาริมปราม พร้อมๆกับที่ยัดสิ่งของทั้งหมดใส่มือของเซราฟ
เซราฟรับของทั้งหมดมาเก็บเข้ากระเป๋าในผ้าคลุมของตนเองอย่างเรียบร้อย แล้วจึงส่งสายตาวิงวอนกลับไปหาลูคาริม
"ไม่ได้!" และราวกับว่านักบวชหนุ่มจะรู้ความหมายของสายตาคู่นั้น "ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ ค้างแค่คืนเดียวก็ไม่ได้ ได้โปรดเถิด! อย่าทำสายตาอย่างนี้ ข้าบอกแล้วไงว่าวันนี้ข้าต้องไปมิสซา" ลูคาริมแข็งใจเอ่ยกับเซราฟ
เมื่อเห็นว่าทำ หรือพูดอย่างไรก็ตาม เซราฟเองก็เอาแต่ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ เขาจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ควานหาอะไรบางอย่าง
"งั้นเอานี่ไปละกัน เอาไว้เผื่อคิดถึงบ้าน" ลูคาริมยื่นของบางอย่างมาให้เซราฟรับไว้ นั่นคือผลึกหินสีฟ้าสด ลาพิซ ลาซูรี (Lapis Lazuli) เม็ดสีสวยสดราวกับ ลูกกวาด ให้เขาหนึ่งก้อน
"เอ่อ... ก็ข้าไม่มีอะไรติดตัวมานี่นา จะให้กางเขนเจ้า เจ้าก็มีแล้วเก็บลาพิซ ก้อนนี้ไว้เถอะ ข้าให้"
"ขอบคุณฮะพี่ลูคาริม ผมจะเก็บอย่างดีเลยล่ะ" เซราฟดีใจราวกับเด็กเล็กๆบรรจงเก็บหินก้อนนั้นไว้อย่างดี ลูคาริมเองก็โล่งอกที่ทำให้เซราฟร่าเริงได้อีกครั้ง
"งั้นพี่กลับแล้วนะ" นักบวชหนุ่มกล่าวคำลา ก่อนที่หันหลังล้วงเอาหินลาพิซขึ้นมาอีกก้อนพร้อมกับร่ายบทสวดแห่งการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
"ลาก่อนครับ ถ้าว่างก็มาเยี่ยมผมบ้างนะ" เซราฟตะโกนส่งหลัง โบกมือไหวๆ ก่อนที่ลูคาริมจะหายเข้าไปในลำแสงสีเงินยวงนั้น