*.*.*.*.*.*.
ระหว่างทะเล กับ ภูเขา ฉันไม่รู้จะชอบอย่างไหนมากกว่ากัน แต่ตอนเด็ก ฉันชอบภูเขา เพราะมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรให้ดู ให้ศึกษามากกว่าทะเล ที่มีเพียงน้ำเค็มๆ กับหาดทรายเท่านั้น
แต่นั่นแหละ มาถึงตอนนี้ ฉันกลับชอบทะเล ฉันเริ่มรู้สึกว่าความกว้างใหญ่ของมัน งดงาม แม้จะเปลี่ยนแปลงจนยากจะคาดถึงได้ในแต่ละวัน
ความกว้างใหญ่สุดสายตาของมัน เงียบสงบ แต่ดูลึกลับ
เสียงคลื่น เหมือน จะแปรเปลี่ยนเป็นเพลงต่างๆ ได้ ตามอารมณ์ของเราเอง มันเหมือนจะบรรเลงให้ฟังได้ทุกเพลงที่เราต้องการได้ยิน
อยู่ที่ทะเล อารมณ์จะเปลี่ยนไปได้ตามช่วงเวลา
ในตอนเช้า มันแสนจะบริสุทธิ์สดชื่น ให้ชีวิตชีวา มีพลังแห่งความกระตือรือร้น
ในตอนกลางวันที่แดดเปรี้ยง เพียงแค่ได้เหม่อมอง ท้องฟ้า มีเมฆขาวเป็นปุยลอยล่อง เป็นรูปร่างต่างๆ มันก็สร้างจินตนาการหลากหลาย
ในตอนเย็น ยามอาทิตย์จะลับขอบฟ้า นี่คือความอัศจรรย์อย่างแท้จริงของ ทะเล ท้องฟ้าที่ต่างสีสรร มันบรรเจิดสวยงามเสียยิ่งกว่า โลกแฟนตาซีใด ๆ ที่เราจะนึกถึง เพียงแต่มันเป็นจริงกว่า
ในตอนดึก ไม่ว่าจะเป็นคืนที่จันทร์ทอแสงสกาวสว่างไสว หรือ ในคืนเดือนมืด ที่มีหมู่ดาวเป็นล้าน ๆ กระพริบพราวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า มันก็สร้างความโรแมนติกได้เช่นเดียวกัน
ทะเลมันบีบคั้นสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้กับฉันอย่างหลากหลาย ได้มากกว่าสถานที่ใด ๆ
*.*.*.*.*.*.
เป็นไง?
ย้อนอ่านดูแล้วมันก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่หรอกนะ กับการเขียนแสดงความนึกคิดเกี่ยวกับทะเล โดยสมมติให้ผ่านตัวละคร คือ ฉัน ฟังดูมันจะเหมือนเรียงความมากกว่า จะเป็นนวนิยายนะเนี่ย ... หรือไม่เป็นอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ พอจะมองเห็นภาพหรือจินตนาการได้ไหม?
แต่เอาเหอะ ... ฉันเพิ่งเริ่มนี่นา ก็ต้องค่อย ๆ พัฒนาไป
ไม่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วจะไปหาเอากับใครจริงไหม?
วันนี้หลังจากกลับจากเดินเล่นในตอนเช้าแล้ว ฉันก็ต้องมาหงุดหงิดกับการที่ไฟฟ้าที่ดับตั้งแต่เมื่อวาน แล้วยังไม่มาอีก กาต้มน้ำก็ไม่ทำงาน ฉันเลยต้องใช้เตาแก๊สต้มน้ำชงกาแฟกินคนเดียวอย่างเซ็งๆ
ก็เจ้าของบ้านเขาเคยบอก ฝนหยุดแล้วไฟจะมาไงล่ะ?
นี่ไม่มาทั้งไฟ ทั้งเจ้าของบ้านเลย
เงียบดีจริงๆ
ฉันถือถ้วยกาแฟไปที่โต๊ะทำงาน หนังสือเล่มที่ฉันเจอในห้องสมุดเมื่อวาน วางอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละ
ฉันยังไม่ได้อ่านมันเลย
ฉันนั่งลงมือยังถือถ้วยกาแฟ มองปกหนังสือที่เก่าคร่ำคร่า ปกเป็นรูปผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ใหญ่มีเถาไม้เลื้อยพันรอบลำต้นดอกสีชมพู ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะก้มหน้านิดในมือของเธอมีปากกา (หรืออาจจะเป็นดินสอ) กำลังจรดอยู่ที่สมุดเล่มหนึ่ง
ฉันมีความรู้สึกแปลกๆ ว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้เงยหน้าขึ้นต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียว (แต่อย่าเงย ฉันเผ่นแน่ ^--^ )
เชื่อไหม? เมื่อก่อนฉันมีทัศนคติไม่ค่อยจะเป็นบวกสักเท่าไหร่กับหนังสือประเภทนี้ เพราะมีความรู้สึกว่า การเขียนมันเป็นเรื่องเทคนิคเฉพาะส่วนบุคคล วิธีของใครก็ของมัน หากหนังสือที่เขาแนะนำแล้วทำได้จริง ป่านนี้มิใช่มีนักเขียนล้นประเทศแล้วเหรอ เพราะฉะนั้นไอ้ที่แนะนำไว้ มันอาจจะใช้ไม่ได้กับฉันก็ได้
มันก็เสริมกับความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ฉันเขียนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คู่มือมาช่วยหรอก และอีกอย่างที่ฉันคิดก็คือ การเขียนมันเป็นเรื่องจินตนาการของฉันเอง ฉันอยากใช้มันให้เต็มที่ ไม่ต้องการให้ใครมาชี้แนะ
แต่ความคิดนี้ของฉันเปลี่ยนไป เพราะคำพูดของยัยดาราที่ว่า
ฉันรู้ว่าแกเป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองยัยพัด ถ้าไม่ใช่เพราะดูถูกหนังสืออย่างนั้น ก็ต้องเป็นเพราะแกอิจฉาแน่ๆ และถ้าแกดูถูกหนังสือที่คนเขียนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจของเขา แกจะเป็นนักเขียนได้ยังไง และอีกอย่าง การที่จะอ่านหนังสือที่ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีเพิ่มขึ้นสักเล่ม มันจะทำให้แกตายหรือยังไง อย่าทำตัวฉลาดเสียจนโง่ไม่เปิดรับสิ่งต่างๆเข้ามาในหัวหน่อยได้ไหม?
คำพูดของยัยดาราก็กระทบใจฉันอย่างแรง
บางครั้งคนเราก็ทำอะไรหรือแสดงความรู้สึกออกไปอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน แต่ฉันก็โชคคดี ที่มีเพื่อนอย่างยัยดารา คอยเป็นกระจกส่องให้เห็นตัวเอง (แม้ว่าบางทีฉันอยากจะทุบกระจกนี่เสียให้แตกไปเลย)
จากวันนั้น ฉันพยายามทำให้ หนังสือทุกเล่ม ในมือกลายเป็นครูที่มีค่าสำหรับฉันเสมอ
ฉันพลิกอ่านสารบัญอย่างคร่าวๆ ก็มีอยู่ไม่กี่บท ดูแล้วก็เหมือนหนังสือที่กล่าวถึงการเขียนนวนิยายทั่วๆ ไปที่เคยอ่าน ตอนอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับการเขียนนวนิยาย ความกระตือรือร้นต่อหนังสือเล่มนี้จึงลดน้อยลง
แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไร และยังคิดอะไรไม่ออก ฉันจึงเปิดอ่านมันต่อไป
คนที่จะเขียนนวนิยายรักได้ ต้องเป็นคนที่ชอบอ่านนวนิยายรักด้วย หากคุณไม่ชอบนวนิยายรัก ก็ควรจะหาแนวอื่นดีกว่า
เพราะหากคุณอ่านและชอบมัน คุณจะมีแนวโน้มที่จะเขียนในนวนิยายแนวนี้ได้ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีเรื่องในหัวมากขึ้น ไม่ว่ามันจะเริ่มมาจากความขัดอกขัดใจจากเรื่องเดิมที่ได้อ่านจนอยากจะแต่งขึ้นเอง หรือ จินตนาการต่อยอดจากคนอื่น คนชอบอ่านจะมีเรื่องในหัวของตัวเองเกิดขึ้นได้ดีเสมอ ... และก็เริ่มจะฝันอยากเป็นนักเขียนบ้าง (เอะ ... เข้าท่าเหมือนฉันนี่ไง )
การเขียนนวนิยายรัก ควรจะเริ่มที่ความรักในการชอบอ่านเสียก่อน เริ่มที่ความสุขกับการได้เขียนเรื่องที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่เงิน
(ฉันไม่แน่ใจว่าฉันมีพื้นฐานมาจากตรงนี้ หรือเปล่า เพราะฉันเองก็อ่านไปหมดทุกแนว แต่ก็สรุปได้ล่ะว่า จะเป็นนวนิยายรักมากกว่าแนวอื่น )
จงเริ่มเขียนหนังสือในแบบที่คุณอยากอ่าน เพราะคุณคือคนอ่านคนแรกของหนังสือของคุณเอง
หากคุณสนุกกับมัน คนอ่านทีหลังคุณก็จะสนุกกับมัน
เมื่อเริ่มเขียนอย่าไปตามตลาด ให้เชื่อมั่นในตัวเอง
เพราะนวนิยายรัก ไม่มีคำว่าพ้นสมัย สิ่งเดิมๆ ยังขายได้เสมอ
และโชคดี ที่นวนิยายเป็นหนังสือประเภทที่ แม้คนอ่านจะรู้ตอนจบ ก็ยังต้องการอ่านอยู่เช่นเดิม
การเขียนนวนิยายรักต้องเขียนเน้นกระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง อันเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึก ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะต่างๆ ของตัวละคร
การเขียนจริง ๆ แล้วมันก็มีกระบวนการของมันเองในแต่ละคน เขียนหาไอเดียก่อนลงมือเขียนจริง เขียนต้นร่างอันแรก แล้วก็เขียนใหม่ แก้ไขดัดแปลงอีก จนถึงที่สุด
หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ในการเขียน นวนิยาย คุณอยู่เพียงคนเดียว กับตัวละครของคุณเท่านั้น
ไม่มีใครช่วยให้คุณเป็นนักเขียนได้ นอกจากตัวคุณเอง
อ่านถึงตอนนี้ ฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแรงๆ
ไฟฟ้าดับ ออดจึงไม่ทำงาน
แต่ผู้มาเยือน ทำเอาฉัน รู้สึกไม่สบายใจนัก
แม่ของนายโทนี่ มาคนเดียวเสียด้วย
ฉันก็เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า ฉันอยากอยู่เงียบๆ ทำในสิ่งที่ฉันต้องการทำ ไม่อยากรับแขกคนไหน ไม่ว่าใครทั้งนั้น ( เฮ้อ ! ความคิดนี้ไม่ควรมีสำหรับนางเอกนวนิยาย แต่ฉันไม่ใช่นี่ )
โทนี่ไม่อยู่เหรอ?
ออกไปตั้งแต่เมื่อวาน ยังไม่กลับค่ะ
ก็ดี ฉันอยากจะคุยกับเธอเป็นส่วนตัวเหมือนกัน
แม่ของเขา เดินนำฉันไปที่โซฟา ดุจเป็นเจ้าของบ้านเลย ( จะว่าไป ก็แม่เจ้าของบ้านนั่นแหละ)
เพิ่งจำได้ว่า ฉันเคยเห็นเธอมาก่อน เพื่อนของดาราใช่ไหม?
ค่ะ
ฉันตอบแล้วก็นิ่ง แต่สมองนั้นเริ่มทบทวนความจำ นี่จะใช่ คุณ วิภาสินี อดีตเคยเป็นเลขานุการของป๋ายัยดาราหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จากที่รู้มา คุณวิภาสินี เป็นภรรยาที่เก่งเป็นสาวสมัยใหม่ไม่ยอมลงให้กับแม่ใหญ่ แต่ก็เป็นภรรยาที่ป๋ารักและหลงเอามากๆ อยู่เหมือนกัน และเป็นภรรยาน้อยคนเดียวที่มีลูกกับป๋า แต่เอาไปเอามา คุณวิภาสินี ก็ไปแต่งงานกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง ที่เป็นเพื่อนของป๋านั่นเอง ป๋าหัวเสียอยู่นานเพราะเหมือนถูกลูบคม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่พูดถึง
แม่นั่นจ่ายให้เท่าไหร่ล่ะ? มาแสดงเป็นแฟนลูกชายฉัน
คะ?
ฉันมองหน้า แม่เขาอย่างงงๆ
อย่ามาตีหน้าซื่อ คิดเหรอว่าฉันจะไม่รู้ทัน ยัยเด็กนั่นเจ้าเล่ห์ ยิ่งกว่าแม่มันอีก
ฉันอึ้งกับน้ำเสียงแบบนั้น ฟังดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่
ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ?
โทนี่ แทบจะไม่ได้อยู่เมืองไทยจะไปรู้จักเธอได้ยังไง? อีกอย่าง ฉันรู้นิสัยลูกชายฉันดี อย่างเธอนี่ไม่ใช่สเปคเขาหรอก ยัยลินดาสวยกว่าเธอเขายังไม่สนเลย
อ้าว ! จี้จุดอ่อนกันเลยนะคุณแม่ ฉันนึกขำในใจ ทั้งๆ ที่ควรจะโกรธ แต่มันเรื่องอะไรจะโกรธล่ะ ฉันไม่สนใจเลยต่างหาก หน้าที่ฉัน คือทำตามที่ยัยดาราขอร้อง ฉันทำไปแล้ว เมื่อไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไม่สนใจจริงๆ เลย ให้ตายสิ !
ยัยเด็กนั่นจ้างเธอเท่าไหร่ ฉันจะให้เป็นสองเท่า หรือมากกว่าตามที่เธอต้องการ
ยังกับในนิยาย เวร ! พล็อตนี้ เขาเอามาจากชีวิตจริงเหรอเนี่ย?
จะมาเล่นอย่างนี้ กับว่าที่นักเขียนนวนิยายรักชื่อดังอย่างฉันนะเหรอ? สวยล่ะ?
ความจริงเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญนะคะ ฉันพูดอย่างใจเย็น โทนี่เขาเคยขอดิฉันแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ หากแต่งกับเขา ดิฉันคงได้มากกว่าที่คุณคิดจะจ่าย แต่บังเอิญดิฉันเบื่อชีวิตแต่งงานน่ะค่ะ กว่าจะหย่ากับสามีคนก่อนได้ก็แทบแย่ เอาเป็นว่า เรื่องนี้ไม่ต้องใช้เงินหรอกค่ะ ไว้ดิฉันเบื่อเขา แล้วดิฉันจะไปเอง ฉันหยุดใช้สายตามองแม่ของเขาแล้วเน้นเสียงพูดว่า อีกอย่างที่ต้องบอก ดาราพิสุทธิ์ เป็นเพื่อนที่ฉันรัก ฉันไม่ต้องการได้ยินใครเอ่ยถึงเขาด้วยน้ำเสียงอย่างที่คุณใช้ มันทำให้ดิฉันไม่ชอบใจ พาลอยากแกล้งให้คนมันหัวใจวายเล่นเอาง่ายๆ อยากเป็นคนตั้งชื่อหลานไหมละคะ คุณย่า
ก็บอกแล้วว่า คนอย่างพัดชาวดี ไม่คิดอยากเป็นนางเอก มันน่ารำคาญ จริงๆ
พอแม่เขากลับไป ฉันเลยโทรไปหายัยดารา เล่าวีรกรรมที่ฉันทำให้แม่นายโทนี่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ด้วยความภาคภูมิใจ แต่มันกลับเตือนมาว่า
แกระวังตัวไว้หน่อยยัยพัด แม่เฮียคนนี้ เขาไม่ใช่เล่นๆนะ อย่าลืมบอกเฮียเขาไว้ด้วยล่ะ
อ้าว ! ฉันก่อเรื่องไปแล้วหรือนี่?
:+:+:+:+;
๑. อ่านหนังสือคู่มือการเขียนนวนิยายรักต่อ
๒. คิดหาโครงเรื่องไปพร้อมๆ กันด้วย
๓. เขียนต่อจาก บทที่ ๑ ที่ค้างไว้ (ที่ยังไม่ได้เขียนอะไรเลยน่ะ)
๔. เปิดแมกกาซีน หารูปดารามาดูเล่น
๕. เฮ้อ ! เซ็ง
๖. ชักไม่มีความสุขแล้วสิ ...