forwriter.com
 
นวนิยายโรแมนติก

 

บันทึกร้อยวันฉันจะเขียนนวนิยายให้จบ

 

 

วันที่ ๘

การเขียนนวนิยาย คุณอยู่เพียงคนเดียว กับตัวละครของคุณเท่านั้น

 

*.*.*.*.*.*.

ระหว่างทะเล กับ ภูเขา ฉันไม่รู้จะชอบอย่างไหนมากกว่ากัน แต่ตอนเด็ก ฉันชอบภูเขา เพราะมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรให้ดู ให้ศึกษามากกว่าทะเล ที่มีเพียงน้ำเค็มๆ กับหาดทรายเท่านั้น

แต่นั่นแหละ มาถึงตอนนี้ ฉันกลับชอบทะเล ฉันเริ่มรู้สึกว่าความกว้างใหญ่ของมัน งดงาม แม้จะเปลี่ยนแปลงจนยากจะคาดถึงได้ในแต่ละวัน

ความกว้างใหญ่สุดสายตาของมัน เงียบสงบ แต่ดูลึกลับ

เสียงคลื่น เหมือน จะแปรเปลี่ยนเป็นเพลงต่างๆ ได้ ตามอารมณ์ของเราเอง มันเหมือนจะบรรเลงให้ฟังได้ทุกเพลงที่เราต้องการได้ยิน

อยู่ที่ทะเล อารมณ์จะเปลี่ยนไปได้ตามช่วงเวลา

ในตอนเช้า มันแสนจะบริสุทธิ์สดชื่น ให้ชีวิตชีวา มีพลังแห่งความกระตือรือร้น

ในตอนกลางวันที่แดดเปรี้ยง เพียงแค่ได้เหม่อมอง ท้องฟ้า มีเมฆขาวเป็นปุยลอยล่อง เป็นรูปร่างต่างๆ มันก็สร้างจินตนาการหลากหลาย

ในตอนเย็น ยามอาทิตย์จะลับขอบฟ้า นี่คือความอัศจรรย์อย่างแท้จริงของ ทะเล ท้องฟ้าที่ต่างสีสรร มันบรรเจิดสวยงามเสียยิ่งกว่า โลกแฟนตาซีใด ๆ ที่เราจะนึกถึง เพียงแต่มันเป็นจริงกว่า

ในตอนดึก ไม่ว่าจะเป็นคืนที่จันทร์ทอแสงสกาวสว่างไสว หรือ ในคืนเดือนมืด ที่มีหมู่ดาวเป็นล้าน ๆ กระพริบพราวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า มันก็สร้างความโรแมนติกได้เช่นเดียวกัน

ทะเลมันบีบคั้นสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้กับฉันอย่างหลากหลาย ได้มากกว่าสถานที่ใด ๆ …

*.*.*.*.*.*.

เป็นไง?

ย้อนอ่านดูแล้วมันก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่หรอกนะ กับการเขียนแสดงความนึกคิดเกี่ยวกับทะเล โดยสมมติให้ผ่านตัวละคร คือ ฉัน ฟังดูมันจะเหมือนเรียงความมากกว่า จะเป็นนวนิยายนะเนี่ย ... หรือไม่เป็นอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ พอจะมองเห็นภาพหรือจินตนาการได้ไหม?

แต่เอาเหอะ ... ฉันเพิ่งเริ่มนี่นา ก็ต้องค่อย ๆ พัฒนาไป

ไม่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วจะไปหาเอากับใครจริงไหม?

วันนี้หลังจากกลับจากเดินเล่นในตอนเช้าแล้ว ฉันก็ต้องมาหงุดหงิดกับการที่ไฟฟ้าที่ดับตั้งแต่เมื่อวาน แล้วยังไม่มาอีก กาต้มน้ำก็ไม่ทำงาน ฉันเลยต้องใช้เตาแก๊สต้มน้ำชงกาแฟกินคนเดียวอย่างเซ็งๆ

ก็เจ้าของบ้านเขาเคยบอก ฝนหยุดแล้วไฟจะมาไงล่ะ?

นี่ไม่มาทั้งไฟ ทั้งเจ้าของบ้านเลย

เงียบดีจริงๆ

ฉันถือถ้วยกาแฟไปที่โต๊ะทำงาน หนังสือเล่มที่ฉันเจอในห้องสมุดเมื่อวาน วางอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละ

ฉันยังไม่ได้อ่านมันเลย

ฉันนั่งลงมือยังถือถ้วยกาแฟ มองปกหนังสือที่เก่าคร่ำคร่า ปกเป็นรูปผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ใหญ่มีเถาไม้เลื้อยพันรอบลำต้นดอกสีชมพู ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะก้มหน้านิดในมือของเธอมีปากกา (หรืออาจจะเป็นดินสอ) กำลังจรดอยู่ที่สมุดเล่มหนึ่ง

ฉันมีความรู้สึกแปลกๆ ว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้เงยหน้าขึ้นต้องเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียว (แต่อย่าเงย ฉันเผ่นแน่ ^--^ )

เชื่อไหม? เมื่อก่อนฉันมีทัศนคติไม่ค่อยจะเป็นบวกสักเท่าไหร่กับหนังสือประเภทนี้ เพราะมีความรู้สึกว่า การเขียนมันเป็นเรื่องเทคนิคเฉพาะส่วนบุคคล วิธีของใครก็ของมัน หากหนังสือที่เขาแนะนำแล้วทำได้จริง ป่านนี้มิใช่มีนักเขียนล้นประเทศแล้วเหรอ เพราะฉะนั้นไอ้ที่แนะนำไว้ มันอาจจะใช้ไม่ได้กับฉันก็ได้

มันก็เสริมกับความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ฉันเขียนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คู่มือมาช่วยหรอก และอีกอย่างที่ฉันคิดก็คือ การเขียนมันเป็นเรื่องจินตนาการของฉันเอง ฉันอยากใช้มันให้เต็มที่ ไม่ต้องการให้ใครมาชี้แนะ

แต่ความคิดนี้ของฉันเปลี่ยนไป เพราะคำพูดของยัยดาราที่ว่า

“ ฉันรู้ว่าแกเป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองยัยพัด ถ้าไม่ใช่เพราะดูถูกหนังสืออย่างนั้น ก็ต้องเป็นเพราะแกอิจฉาแน่ๆ และถ้าแกดูถูกหนังสือที่คนเขียนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจของเขา แกจะเป็นนักเขียนได้ยังไง และอีกอย่าง การที่จะอ่านหนังสือที่ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีเพิ่มขึ้นสักเล่ม มันจะทำให้แกตายหรือยังไง อย่าทำตัวฉลาดเสียจนโง่ไม่เปิดรับสิ่งต่างๆเข้ามาในหัวหน่อยได้ไหม? ”

คำพูดของยัยดาราก็กระทบใจฉันอย่างแรง

บางครั้งคนเราก็ทำอะไรหรือแสดงความรู้สึกออกไปอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน แต่ฉันก็โชคคดี ที่มีเพื่อนอย่างยัยดารา คอยเป็นกระจกส่องให้เห็นตัวเอง (แม้ว่าบางทีฉันอยากจะทุบกระจกนี่เสียให้แตกไปเลย)

จากวันนั้น ฉันพยายามทำให้ หนังสือทุกเล่ม ในมือกลายเป็นครูที่มีค่าสำหรับฉันเสมอ

ฉันพลิกอ่านสารบัญอย่างคร่าวๆ ก็มีอยู่ไม่กี่บท ดูแล้วก็เหมือนหนังสือที่กล่าวถึงการเขียนนวนิยายทั่วๆ ไปที่เคยอ่าน ตอนอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับการเขียนนวนิยาย ความกระตือรือร้นต่อหนังสือเล่มนี้จึงลดน้อยลง

แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไร และยังคิดอะไรไม่ออก ฉันจึงเปิดอ่านมันต่อไป

คนที่จะเขียนนวนิยายรักได้ ต้องเป็นคนที่ชอบอ่านนวนิยายรักด้วย หากคุณไม่ชอบนวนิยายรัก ก็ควรจะหาแนวอื่นดีกว่า

เพราะหากคุณอ่านและชอบมัน คุณจะมีแนวโน้มที่จะเขียนในนวนิยายแนวนี้ได้ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีเรื่องในหัวมากขึ้น ไม่ว่ามันจะเริ่มมาจากความขัดอกขัดใจจากเรื่องเดิมที่ได้อ่านจนอยากจะแต่งขึ้นเอง หรือ จินตนาการต่อยอดจากคนอื่น คนชอบอ่านจะมีเรื่องในหัวของตัวเองเกิดขึ้นได้ดีเสมอ ... และก็เริ่มจะฝันอยากเป็นนักเขียนบ้าง (เอะ ... เข้าท่าเหมือนฉันนี่ไง )

การเขียนนวนิยายรัก ควรจะเริ่มที่ความรักในการชอบอ่านเสียก่อน เริ่มที่ความสุขกับการได้เขียนเรื่องที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่เงิน

(ฉันไม่แน่ใจว่าฉันมีพื้นฐานมาจากตรงนี้ หรือเปล่า เพราะฉันเองก็อ่านไปหมดทุกแนว แต่ก็สรุปได้ล่ะว่า จะเป็นนวนิยายรักมากกว่าแนวอื่น )

จงเริ่มเขียนหนังสือในแบบที่คุณอยากอ่าน เพราะคุณคือคนอ่านคนแรกของหนังสือของคุณเอง

หากคุณสนุกกับมัน คนอ่านทีหลังคุณก็จะสนุกกับมัน

เมื่อเริ่มเขียนอย่าไปตามตลาด ให้เชื่อมั่นในตัวเอง

เพราะนวนิยายรัก ไม่มีคำว่าพ้นสมัย สิ่งเดิมๆ ยังขายได้เสมอ

และโชคดี ที่นวนิยายเป็นหนังสือประเภทที่ แม้คนอ่านจะรู้ตอนจบ ก็ยังต้องการอ่านอยู่เช่นเดิม

การเขียนนวนิยายรักต้องเขียนเน้นกระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง อันเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึก ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะต่างๆ ของตัวละคร

การเขียนจริง ๆ แล้วมันก็มีกระบวนการของมันเองในแต่ละคน เขียนหาไอเดียก่อนลงมือเขียนจริง เขียนต้นร่างอันแรก แล้วก็เขียนใหม่ แก้ไขดัดแปลงอีก จนถึงที่สุด

หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่สูตรสำเร็จ

ในการเขียน นวนิยาย คุณอยู่เพียงคนเดียว กับตัวละครของคุณเท่านั้น

ไม่มีใครช่วยให้คุณเป็นนักเขียนได้ นอกจากตัวคุณเอง

 

อ่านถึงตอนนี้ ฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูแรงๆ

ไฟฟ้าดับ ออดจึงไม่ทำงาน

แต่ผู้มาเยือน ทำเอาฉัน รู้สึกไม่สบายใจนัก

แม่ของนายโทนี่ มาคนเดียวเสียด้วย

ฉันก็เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า ฉันอยากอยู่เงียบๆ ทำในสิ่งที่ฉันต้องการทำ ไม่อยากรับแขกคนไหน ไม่ว่าใครทั้งนั้น ( เฮ้อ ! ความคิดนี้ไม่ควรมีสำหรับนางเอกนวนิยาย แต่ฉันไม่ใช่นี่ )

“ โทนี่ไม่อยู่เหรอ? ”

“ ออกไปตั้งแต่เมื่อวาน ยังไม่กลับค่ะ ”

“ ก็ดี ฉันอยากจะคุยกับเธอเป็นส่วนตัวเหมือนกัน ”

แม่ของเขา เดินนำฉันไปที่โซฟา ดุจเป็นเจ้าของบ้านเลย ( จะว่าไป ก็แม่เจ้าของบ้านนั่นแหละ)

“ เพิ่งจำได้ว่า ฉันเคยเห็นเธอมาก่อน เพื่อนของดาราใช่ไหม? ”

“ ค่ะ ”

ฉันตอบแล้วก็นิ่ง แต่สมองนั้นเริ่มทบทวนความจำ นี่จะใช่ คุณ วิภาสินี อดีตเคยเป็นเลขานุการของป๋ายัยดาราหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จากที่รู้มา คุณวิภาสินี เป็นภรรยาที่เก่งเป็นสาวสมัยใหม่ไม่ยอมลงให้กับแม่ใหญ่ แต่ก็เป็นภรรยาที่ป๋ารักและหลงเอามากๆ อยู่เหมือนกัน และเป็นภรรยาน้อยคนเดียวที่มีลูกกับป๋า แต่เอาไปเอามา คุณวิภาสินี ก็ไปแต่งงานกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง ที่เป็นเพื่อนของป๋านั่นเอง ป๋าหัวเสียอยู่นานเพราะเหมือนถูกลูบคม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่พูดถึง

“ แม่นั่นจ่ายให้เท่าไหร่ล่ะ? มาแสดงเป็นแฟนลูกชายฉัน ”

“ คะ? ”

ฉันมองหน้า แม่เขาอย่างงงๆ

“ อย่ามาตีหน้าซื่อ คิดเหรอว่าฉันจะไม่รู้ทัน ยัยเด็กนั่นเจ้าเล่ห์ ยิ่งกว่าแม่มันอีก ”

ฉันอึ้งกับน้ำเสียงแบบนั้น ฟังดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่

“ ทำไมถึงคิดอย่างนั้นคะ? ”

“ โทนี่ แทบจะไม่ได้อยู่เมืองไทยจะไปรู้จักเธอได้ยังไง? อีกอย่าง ฉันรู้นิสัยลูกชายฉันดี อย่างเธอนี่ไม่ใช่สเปคเขาหรอก ยัยลินดาสวยกว่าเธอเขายังไม่สนเลย ”

อ้าว ! จี้จุดอ่อนกันเลยนะคุณแม่ ฉันนึกขำในใจ ทั้งๆ ที่ควรจะโกรธ แต่มันเรื่องอะไรจะโกรธล่ะ ฉันไม่สนใจเลยต่างหาก หน้าที่ฉัน คือทำตามที่ยัยดาราขอร้อง ฉันทำไปแล้ว เมื่อไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไม่สนใจจริงๆ เลย ให้ตายสิ !

“ ยัยเด็กนั่นจ้างเธอเท่าไหร่ ฉันจะให้เป็นสองเท่า หรือมากกว่าตามที่เธอต้องการ ”

ยังกับในนิยาย เวร ! พล็อตนี้ เขาเอามาจากชีวิตจริงเหรอเนี่ย?

จะมาเล่นอย่างนี้ กับว่าที่นักเขียนนวนิยายรักชื่อดังอย่างฉันนะเหรอ? สวยล่ะ?

“ ความจริงเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญนะคะ ” ฉันพูดอย่างใจเย็น “ โทนี่เขาเคยขอดิฉันแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ หากแต่งกับเขา ดิฉันคงได้มากกว่าที่คุณคิดจะจ่าย แต่บังเอิญดิฉันเบื่อชีวิตแต่งงานน่ะค่ะ กว่าจะหย่ากับสามีคนก่อนได้ก็แทบแย่ เอาเป็นว่า เรื่องนี้ไม่ต้องใช้เงินหรอกค่ะ ไว้ดิฉันเบื่อเขา แล้วดิฉันจะไปเอง ” ฉันหยุดใช้สายตามองแม่ของเขาแล้วเน้นเสียงพูดว่า “ อีกอย่างที่ต้องบอก ดาราพิสุทธิ์ เป็นเพื่อนที่ฉันรัก ฉันไม่ต้องการได้ยินใครเอ่ยถึงเขาด้วยน้ำเสียงอย่างที่คุณใช้ มันทำให้ดิฉันไม่ชอบใจ พาลอยากแกล้งให้คนมันหัวใจวายเล่นเอาง่ายๆ อยากเป็นคนตั้งชื่อหลานไหมละคะ คุณย่า ”

ก็บอกแล้วว่า คนอย่างพัดชาวดี ไม่คิดอยากเป็นนางเอก มันน่ารำคาญ จริงๆ

พอแม่เขากลับไป ฉันเลยโทรไปหายัยดารา เล่าวีรกรรมที่ฉันทำให้แม่นายโทนี่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ด้วยความภาคภูมิใจ แต่มันกลับเตือนมาว่า

“ แกระวังตัวไว้หน่อยยัยพัด แม่เฮียคนนี้ เขาไม่ใช่เล่นๆนะ อย่าลืมบอกเฮียเขาไว้ด้วยล่ะ ”

อ้าว ! ฉันก่อเรื่องไปแล้วหรือนี่?

:+:+:+:+;

๑. อ่านหนังสือคู่มือการเขียนนวนิยายรักต่อ

๒. คิดหาโครงเรื่องไปพร้อมๆ กันด้วย

๓. เขียนต่อจาก บทที่ ๑ ที่ค้างไว้ (ที่ยังไม่ได้เขียนอะไรเลยน่ะ)

๔. เปิดแมกกาซีน หารูปดารามาดูเล่น

๕. เฮ้อ ! เซ็ง

๖. ชักไม่มีความสุขแล้วสิ ...

 


ฟีลิปดา

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย ฟีลิปดา
ติดต่อ  philipda@forwriter.com

 

 


 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก

 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.