ฝนตกไม่หยุดทั้งคืน ฉันมองออกไปด้านนอก มันยังครึ้ม มืด มีฝนโปรยปราย
ทั้ง ๆ ที่จะ สิบโมงเช้าอยู่แล้ว แต่ฉันยังนอนบนเตียงอยู่เลย ก็อากาศมันน่านอนจริง ๆ และฉันก็ยังไม่ได้คิดจะเริ่มต้นทำอะไรในวันนี้ นอกจาก ... วางแผน
ไม่ว่าจะทำอะไร ควรจะเริ่มต้นที่การวางแผน ... ฉันเชื่ออย่างนั้น
และถ้าทำไม่ได้อย่างแผน ก็ต้องมีความยืดหยุ่น(ไม่ใช่ข้อแก้ตัว) ... ฉันเชื่ออย่างนั้น
ดังนั้นฉันจึง หยิบกระดาษและปากกา มานอนขีดเขียนตารางการทำงานแต่ละวันของฉันดังนี้
หมายกำหนดการคร่าว ๆ ในแต่ละวัน ( พร้อมปรับปรุงได้ทุกเมื่อ )
๖.๐๐ น. ตื่นนอน
( ถ้าขยัน ก็ให้วิ่งออกกำลังกายประมาณสามสิบนาที ในช่วงนี้ด้วย )
๗.๓๐ น. อาหารเช้า ( ยืดหยุ่น ) พร้อมฟังข่าว
๘.๓๐ น. เข้าโต๊ะทำงาน
๑๑.๓๐ พัก
๑๓.๐๐ เข้าโต๊ะทำงานใหม่
๑๖.๐๐ เลิกงาน
หลังเลิกงาน ไปเดินดูทะเล อ่านหนังสือ ดูทีวี พักผ่อน อาหารเย็น ฯลฯ
๒๐.๐๐ ๒๒.๐๐ ทำงาน
นี่ฉันก็ทำตารางเอาไว้เผื่อ ๆ อย่างนั้นเอง และตั้งใจว่า จะยังไม่เริ่มจนกว่าจะพักครบหนึ่ง อาทิตย์เสียก่อน ฉันยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง สี่วัน เมื่อถึงเวลานั้นฉันอาจจะเปลี่ยนตารางการทำงานของฉันใหม่ก็ได้ แต่ในวันนี่สิ่งที่ฉันต้องทำหลังจากลุกขึ้นอาบน้ำ หาอะไรใส่ท้องเสร็จ ก็คือ
จัดโต๊ะทำงาน ... แล้วฉันก็คิดขึ้นได้
เจ้าปลาทองของฉัน ซวยละสิ ลืมเอาออกจากถุง
ถึงตอนนี้ ฉันก็แทบกระโดดจากเตียงไปเลย แต่แล้ว ...
โอ้ย
จะไม่ให้อุทานได้ยังไงล่ะ ก็มันเจ็บนี่ ฉันสะดุดผ้าห่มตกเตียง แย่ที่สุดเลย ถ้าปลาทองของฉันตาย ฉันจะรัองไห้ จริง ๆ ด้วย ฉันลุกเดินเขย่ง ๆ นิดหน่อย ไปที่ตระกร้า
โชคดี... มันยังไม่ตาย
ในชีวิตฉันไม่เคยเลี้ยงสัตว์อะไรนอกจากปลา และมันมักไม่ค่อยจะรอด ขนาดปลาหางนกยูงภายใต้การดูแลของฉันยังอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเลยคุณเอ๋ย
ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ฉันเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องปลาน่ะ เป็นเพราะฉันสัญญากับตัวเองเอาไว้ เล่น ๆ ว่า ถ้าฉันเลี้ยงปลาคู่นี้ได้ครบ ๑๐๐ วัน แสดงว่าฉันจะเขียน นวนิยายได้จบภายใน ๑๐๐ วันเหมือนกัน ขืนมันตาย ก็ ลางร้าย เท่านั้นสิ ใช่ไหม ?
เออ... แล้วจะมีใครจะเอาเรื่องการเขียนนวนิยายมาวัดดวงกับการเลี้ยงปลาอย่างฉันไหมนี่ ?
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนั่นแหละ ไอ้ที่พอจะเขย่ง ๆ ได้ชักจะปวดขึ้นมาทีเดียว สงสัยขาฉันมันจะแพลงเอาจริง ๆ จะพึ่งใครได้ล่ะทีนี้
เจ้าของบ้านนะเหรอ ... เฮอะ เลิกคิดไปเลยยัยพัด ฉันบอกตัวเอง
ก็ต้องกัดฟันทน ลากขาตัวเองออกไป อย่างน้อย มันก็น่าจะมี ยาให้ฉันได้ทาบ้างหรอก
บ้านเงียบมาก เขาอาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ ดี ... ไม่ต้องลากขาทุเรศ ๆ ให้คนเห็น แต่พอฉันเดินเขย่งไปถึงมุมครัว ก็ต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงถาม
ขาเป็นไร
คนอะไร ชอบมาเงียบ ๆ ให้ตกใจอยู่เรื่อย
พี่ชายยัยดารา ยืนหล่ออยู่ที่เชิงบันได ในเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ขายาวสีซีด ท่าทางเหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ เพราะมือข้างหนึ่งของเขายังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกอยู่
ตกเตียง ฉันตอบสั้น ๆ แล้วเดินเขย่งไปเข้าเคาน์เตอร์ด้านใน กะจะชงกาแฟดื่ม
ชงเผื่อด้วยนะ ถ้าแก้วขนาดเมื่อวาน ใส่น้ำครึ่งเดียวก็พอ ปิ้งขนมปัง แล้วทา แซนวิส สเปรดให้ด้วยอยู่ในตู้เย็น เขาสั่ง แล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป
นอกจากจะไม่เห็นใจคนขาเจ็บ แล้วยังใช้งานอีก ไม่มีน้ำใจเลยจริง ๆ แฮะ
ฉันก็นึกอย่างคนใจดำนะว่า จะทำยังไงถ้าฉันไม่ทำให้อย่างที่สั่งน่ะ
แต่ก็อย่างว่าละ โดยพื้นฐานฉันมันเป็นคนมีน้ำใจเหลือเฟืออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขากลับมาอีกครั้งทุกอย่างที่สั่ง ก็พร้อมเหมือนในร้านอาหารเลย ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้สั่งไส้กรอกไข่ดาว ด้วย ฉันจึงไม่ได้ทอดเผื่อ
แต่ ...แหะ ... ฉันรู้สึกผิดนิด ๆ เมื่อเห็นเขาถือกล่องปฐมพยาบาลลงมาด้วย
ทอดไข่ดาว กับไส้กรอก เป็นด้วยเหรอ
เขาก็คงถามธรรมดา ๆ หรอกนะ แต่ฉันก็ร้อนตัว จึงพยายามแก้ตัวในความไม่มีน้ำใจของฉัน ไปเป็นความผิดของเขาเองว่า
ไม่ได้ทำเผื่อ เพราะไม่ได้สั่ง
แต่ทว่า ...มันไม่จำเป็นเลยสักนิด
ไม่เป็นไร ฉันเอาที่ทำแล้วก็ได้
คุณพระช่วย ... นี่ฉันกำลังเจอกับผู้ชายประเภทไหนกันนี่
ทำยังไงถึงตกเตียง เขาถามขณะใช้ส้อมจิ้มไส้กรอก
รีบ เลยสะดุดผ้าห่ม
นึกว่าซุ่มซ่ามไปเดินชนอะไรเสียอีก
ฟังจากน้ำเสียงก็คือ ที่สะดุดผ้าห่มตกเตียง มันยิ่งกว่าซุ่มซ่ามเสียอีก ฉันไม่พอใจก็เลยนิ่งเงียบ กัดกินแซนวิสตามด้วยกาแฟด้วยความเร็วเพื่อให้การกินจบสิ้นเสียที หน้าฉันคงบึ้งบอกความรู้สึกอยู่หรอก
เดี๋ยวกินเสร็จจะดูขาให้ เขาบอก
ไม่ต้อง
ฉันยกกาแฟขึ้นดื่มจนเกลี้ยง วางแก้วแล้ว เอื้อมมือไปที่กล่องปฐมพยาบาลใกล้เขา แต่เขาเอามือมาวางทับไว้พูดขรึม ๆ ว่า
ไปนั่งรออยู่โซฟาโน่น เดี๋ยวจะดูให้ ฉันไม่คิดจะกินไส้กรอกไข่ดาวเธอฟรี ๆ หรอก
ฉันมานั่งที่โซฟา เปิดทีวีรอ ตอนแรกก็กะจะเดินเข้าห้องตัวเองไปเลยเหมือนกัน เพราะไม่พอใจคำพูดของเขา แต่เมื่อคิดว่าหากปล่อยเอาไว้ เกิดมันปวดขึ้นมากเรื่อย ๆ แล้วต้องง้อเขาทีหลังก็เสียฟอร์มแย่ ในเมื่อไม่อยากติดค้างบุญคุณกัน ก็ปล่อยให้เขาดูให้ก็แล้วกัน
เห็นไหม ? อย่างน้อยฉันก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่ทำตัวเป็นนางเอกในนวนิยายโง่ ๆ แน่
แหะ ... แต่ความจริงก็เป็นไม่ได้ ฉันสวยไม่ได้มาตรฐานแม้แต่นางเอกที่ฉันจะสร้างขึ้นเองหรอก สูงไม่ถึงร้อยหกสิบด้วยซ้ำ หน้าตานะเหรอ ?
มองดูให้ชิน ๆตา ก็พอดูได้อยู่หรอก ยัยดารา เคยให้คำวิจารณ์
แต่สิ่งหนึ่งที่ยัยดาราปฏิเสธไม่ได้ และ ฉันเองภูมิใจในตัวเอง ก็คือ ... ขาฉันสวย
และทีฉันใส่กางเกงขาสั้นวันนี้ ก็ไม่ได้กะจะยั่วใครนะ
แล้วเขาก็เดินมานั่งที่ปลายด้านหนึ่งของโซฟาตัวเดียวกับฉัน
ไหนดูสิ
ฉันรู้สึกเขินนิด ๆ เมื่อยืดขาข้างที่เจ็บไปทางเขา ก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้สัมผัสฉันหรอกแม้มันจะไม่ใช่ขาอ่อนก็เถอะ เขาจับขาข้างที่เจ็บขึ้นตรวจดู
แค่แพลง ไม่ถึงกับซ้น ทายาใช้ผ้าพันไว้เดี๋ยวก็หาย
ฉันหดขาเข้ามาเมื่อเห็นเขาจ้องไปที่รอยสักรูปหัวใจสีแดงที่ปลายเท้าของฉัน แต่เพราะเขายังยึดมันเอาไว้อยู่ ฉันจึงต้องอุทานด้วยความเจ็บ
นั่งเฉย ๆ เป็นไหม ? เสียงเขาเหมือนรำคาญขึ้นมา แล้วก็ฉวยกล่องปฐมพยาบาลเปิดเอาหลอดยาขึ้นมา
เดี๋ยวทาเอง ฉันบอก
เขาแค่ขมวดคิ้วให้ฉัน แต่บีบหลอดยาทาให้เงียบ ๆ มือเขาเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะนวดมันไปด้วย
ทำไมถึงสักรูปหัวใจไว้ที่เท้าี้
ก็ทำเล่น ๆ ฉันตอบแต่หน้าแดงจัดเมื่อคิดถึงคำประกาศหลังการสักที่คึกคะนองครั้งนี้ว่า
ฉันจะรักผู้ชายคนแรก ที่คุกเข่าและมองเห็นหัวใจของฉัน
จะมีคนรู้อยู่คนเดียว ก็ ยัยดาราเพื่อนซี้ฉันนั่นแหละ แถมมันยังทำนายไว้ด้วยว่า
แกขึ้นคานแน่ นังพัด
โชคดีที่ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้คุกเข่าให้ฉัน เขาแค่เห็นมัน ไม่งั้น ... เฮ้อ ไม่อยากคิดต่อ
ดิฉันไปบ้านดาราบ่อย ๆ ทำไมไม่เคยเห็นคุณเลย ฉันชวนคุย
ฉันไม่ใช่ลูกแม่ใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่ตึกเหลือง
ตึกเหลือง คือคฤหาสน์หลังใหญ่ มันมีอาณาบริเวณกว้างขวาง เพราะลูก ๆ ทุกคน แม้จะออกเรือนไปแล้ว ก็จะอาศัยอยู่ร่วมกันที่นี่ เป็นบ้านที่อบอุ่น แม้ว่า ป๋า ซึ่งเป็นพ่อของดาราพิสุทธิ์ จะมีเมียเล็กเมียน้อย แต่ก็ไม่มีใครได้รับการเชิดหน้าชูตาและให้เกียรติ เทียบเท่าแม่ใหญ่ ซึ่งเป็นภรรยา คู่ทุกข์คู่ยากของป๋า และถ้าจะแปลกันง่าย ๆ เขาเป็นลูกเมียน้อย ดังนั้นคำตอบของเขาเลยทำให้ฉันเงียบไป มองเขาเอาผ้าพันเคล็ดออกมา พันเท้าให้ฉันเงียบ ๆ แล้วก็นึกขึ้นได้
คุณชื่ออะไร ? ฉันถาม
ถามทำไม ? เขาย้อน
จะบ้าตาย ... คนเราเวลาถูกถามชื่อ ก็ต้องตอบชื่อตัวเองออกมาสิใช่ไหม ? ไม่ใช่มาย้อนแบบนี้ แสดงว่านายนี่ ต้องยวนมาก ๆ เลย
ยัยดาราเรียกคุณว่ายังไง ?
เขาเงยหน้า เหมือนจะมีรอยยิ้มนิด ๆ ติดที่ริมฝีปาก
อยากเรียกอะไรก็เรียก แต่อย่ามาเรียกฉันพี่ เพราะเราไม่ใช่พี่น้องกัน
คนไทยนะคุณ ถึงไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เขาก็เรียกให้เกียรติกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นลุงเป็นป้า น้าอา ทั้งนั้นแหละ ถ้าดูวัย ดูหน้าแล้ว
ฉันไม่อยากให้เธอเรียกฉันว่าพี่
ค่ะเฮีย ฉันรับคำอย่างนอบน้อม
คำนี้ก็ไม่ให้เรียก
ค่ะ ฉันยิ้มเพราะนึกขำ คนอะไรไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย ท่าทางเขาหงุดหงิดที่เห็นฉันยิ้มเสียด้วยซ้ำ เงียบไปครู่ฉันก็ถามเขาว่า
คุณป่วยเป็นอะไร ?
เขาเงยหน้า ขมวดคิ้ว มองฉันอย่างงง ๆ
ยัยดาราบอกฉันว่าคุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล
เขาไม่ตอบ แต่พันผ้าให้ฉันจนเสร็จ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า
ฉันเพิ่งออกจากคุก ไม่ใช่โรงพยาบาล
ถ้าคิดว่าจะขู่ให้ฉันกลัวละก็ ... คิดผิดแล้ว
เข้าไปทำอะไรในนั้นเหรอคะ
เขานิ่ง มองหน้าฉันย้อนว่า
อยากรู้เรื่องฉันมากจริง ๆ เหรอ ?
สายตาดุ ๆ ที่มองมานั่นหรอกทำให้ฉันคิดว่า หยุดแค่นี้ดีกว่า
ก็แค่อยากชวนคุยเท่านั้น ถ้าคุณไม่อยากคุย ฉันเข้าห้องไปนอนดีกว่า ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยดูเท้าให้
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาไปบ่ายสี่โมง ขยับข้อเท้าตัวเองก็ไม่ค่อยจะเจ็บแล้ว แถมท้องฟ้าก็แจ่มใสมีแดด ตอนแรกฉันคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ก็เปลี่ยนใจ จัดโต๊ะทำงานดีกว่า แล้วฉัน ก็ลุกขึ้นมารื้อของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ก็พวกหนังสือ กับนิตยสารต่าง ๆ นั่นแหละ ฉันขนมาเกือบเต็มกระเป๋า ยังจำได้ว่า มันหนักเป็นบ้าเลย ตอนที่ต้องหิ้วเอง
พอขยับเท้าก็เห็นว่าพอไหว เลยยกหนังสือแล้ว ค่อย ๆ เดินออกมาวางไว้ ที่โต๊ะข้างนอก
พี่ชายยัยดารา นั่งดูทีวี ไม่สนใจแม้แต่จะมองมาที่ฉันเลย แต่ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรนักหรอก ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว
ฉันเดินเขยกอยู่สองรอบ แต่พอรอบที่สาม ตอนที่ฉันกำลังวางหนังสือลงที่โต๊ะ กองหนังสือมันดันล้มไหลตกมาโดนขาข้างที่ฉันเจ็บพอดี
โอ๊ย !! ฉันร้องออกมาเสียงดังเลยล่ะ เจ็บจนน้ำตาเล็ด กระแทกตัวนั่งเก้าอี้
เป็นอะไรไปอีกล่ะ ? พี่ชายยัยดารา เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่ได้สังเกต แต่เขาก็คุกเข่าลง จับขาฉันดู ผ้าที่พันเอาไว้ มันหลุดเพราะแรงกระแทกของหนังสือ เขาจึงแกะออกแล้วเริ่มพันให้ฉันใหม่
ทำไมไม่รู้จักอยู่เฉย ๆ เสียบ้างน่ะ ขาเจ็บอยู่อย่างนี้
เบื่อ อยากจัดโต๊ะ
จะเอ่ยปาก ขอให้ช่วยยกออกมาให้มันเสียหน้านักเหรอ
ก็ถ้าคนมีน้ำใจ เห็นขาเจ็บอยู่อย่างนี้ ต้องรอให้เอ่ยปากด้วยเหรอ ?
ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าอยากให้ช่วย ชอบแสดงให้เห็นอยู่นี่นาว่าทำเองได้
ก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ว่า ผู้ชายอย่างคุณต้องรอให้เอ่ยปากขอร้องเสียก่อน ถึงจะช่วย
เธอนี่เถียงคำไม่ตกฟาก
คุณก็ชอบวางอำนาจ
เขานิ่งเงียบไป มือที่พันผ้าให้ฉันยังทำงานเป็นปกติ แล้วเสียงเขาก็เนิบ ๆ ขึ้นว่า
อยากรู้ไหม ?ว่าฉันติดคุกข้อหาอะไร
ฉันไม่ทันตอบ เขาก็พูดต่อว่า
ข่มขืนหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตน
ท่าทางเขาจริงจัง เสียจนฉันต้องบอกกับตัวเองว่า อย่าลืมโทรไปถามยัยดารา
ถีงแม้ตอนนี้เธอจะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด แต่ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม ? เวลาฉันโกรธ ช่วยหลบ ๆหน่อย อย่ายั่วให้มันมาก ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่งามระหว่างเรา
แล้วฉันก็สะดุ้ง เมื่อมือหนัก ๆ ของเขามาแตะที่ต้นขาอันเปลือยเปล่าของฉัน ด้วยความตกใจปฏิกิริยาโต้กลับของฉัน ก็คือใช้เท้าข้างที่ไม่เจ็บยันไปที่หน้าอกเขาสุดแรง แต่ดูเหมือนเขาจะคอยระวังตัวอยู่แล้วจึงเอนหลังราบกับพื้นหลบไปได้ แต่แรงที่ฉันยันออกไปมันทำให้ฉันถึงกับไถลตกเก้าอี้ เขาหัวเราะก้องอย่างพอใจเมื่อลุกขึ้นมายืนค้ำหัวฉัน ที่นั่งอยู่กับพื้น
อีตาบ้านี่หลอก ให้ฉันตกใจ
ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย อย่างเธอไม่ใช่สเปคฉันหรอก มาลุกขึ้น
เขายื่นมือมาให้ฉัน ฉันมองหน้าเขาอยู่อึดใจก่อนจะยึดมือเขาดึงตัวเองขึ้นยืน สัญญากับตัวเองเลยว่า ฉันต้องเอาคืนเรื่องนี้ให้ได้
นั่งอยู่นี่แหละ มีอะไรต้องขนออกมาอีกไหม จะยกออกมาให้ เขาเสนอตัวด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ฉันทำหน้าเฉย บอกว่า
หนังสือที่กองอยู่ในห้อง แล้วก็อ่างปลาในห้องน้ำ
เขาเดินเข้าออกสองสามเที่ยวก็ขนทุกอย่างออกมาได้หมด แล้วก็กลับไปนั่งดูทีวีต่อ
ฉันก็หันมาจัดหนังสือของฉันบ้าง บางเล่มที่สะดุดตาก็เปิดอ่านไปด้วยจัดให้เป็นระเบียบไปด้วย มันเพลินจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนสังเกตเห็นแสงสีทองลอดเข้ามาในห้อง ฉันจึงหยุด มองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์กำลังจะตก มันสวยเสียจน ฉันอดไม่ได้ที่จะไสเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่ไปชิดผนังกระจก นิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างดื่มด่ำตกอยู่ในภวังค์
ฉันเขียนยังไม่เก่ง จึงไม่รู้ว่าจะบรรยายให้เห็นภาพได้อย่างไร นอกจากจะบอกความรู้สึกกึ่งเหงา กึ่งสุข สงบ ในใจที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมธรรมชาติ มันถึงได้มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับคนชอบเขียน ชอบวาดได้มากแค่ไหน