forwriter.com
 
นวนิยายโรแมนติก

 

บันทึกร้อยวันฉันจะเขียนนวนิยายให้จบ

 

 

วันที่ ๓

วางแผน หมายกำหนดการ ? อะไร ๆ ก็ได้ ที่ทำให้รู้ว่าคุณ ล้นมือ

ฝนตกไม่หยุดทั้งคืน ฉันมองออกไปด้านนอก มันยังครึ้ม มืด มีฝนโปรยปราย

ทั้ง ๆ ที่จะ สิบโมงเช้าอยู่แล้ว แต่ฉันยังนอนบนเตียงอยู่เลย ก็อากาศมันน่านอนจริง ๆ และฉันก็ยังไม่ได้คิดจะเริ่มต้นทำอะไรในวันนี้ นอกจาก ... วางแผน

ไม่ว่าจะทำอะไร ควรจะเริ่มต้นที่การวางแผน ... ฉันเชื่ออย่างนั้น

และถ้าทำไม่ได้อย่างแผน ก็ต้องมีความยืดหยุ่น(ไม่ใช่ข้อแก้ตัว) ... ฉันเชื่ออย่างนั้น

ดังนั้นฉันจึง หยิบกระดาษและปากกา มานอนขีดเขียนตารางการทำงานแต่ละวันของฉันดังนี้

หมายกำหนดการคร่าว ๆ ในแต่ละวัน ( พร้อมปรับปรุงได้ทุกเมื่อ )

๖.๐๐ น. ตื่นนอน

( ถ้าขยัน ก็ให้วิ่งออกกำลังกายประมาณสามสิบนาที ในช่วงนี้ด้วย )

๗.๓๐ น. อาหารเช้า ( ยืดหยุ่น ) พร้อมฟังข่าว

๘.๓๐ น. เข้าโต๊ะทำงาน

๑๑.๓๐ พัก

๑๓.๐๐ เข้าโต๊ะทำงานใหม่

๑๖.๐๐ เลิกงาน

หลังเลิกงาน ไปเดินดูทะเล อ่านหนังสือ ดูทีวี พักผ่อน อาหารเย็น ฯลฯ

๒๐.๐๐ – ๒๒.๐๐ ทำงาน

นี่ฉันก็ทำตารางเอาไว้เผื่อ ๆ อย่างนั้นเอง และตั้งใจว่า จะยังไม่เริ่มจนกว่าจะพักครบหนึ่ง อาทิตย์เสียก่อน ฉันยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง สี่วัน เมื่อถึงเวลานั้นฉันอาจจะเปลี่ยนตารางการทำงานของฉันใหม่ก็ได้ แต่ในวันนี่สิ่งที่ฉันต้องทำหลังจากลุกขึ้นอาบน้ำ หาอะไรใส่ท้องเสร็จ ก็คือ

จัดโต๊ะทำงาน ... แล้วฉันก็คิดขึ้นได้

เจ้าปลาทองของฉัน ซวยละสิ ลืมเอาออกจากถุง

ถึงตอนนี้ ฉันก็แทบกระโดดจากเตียงไปเลย แต่แล้ว ...

“ โอ้ย ”

จะไม่ให้อุทานได้ยังไงล่ะ ก็มันเจ็บนี่ ฉันสะดุดผ้าห่มตกเตียง แย่ที่สุดเลย ถ้าปลาทองของฉันตาย ฉันจะรัองไห้ จริง ๆ ด้วย ฉันลุกเดินเขย่ง ๆ นิดหน่อย ไปที่ตระกร้า

โชคดี... มันยังไม่ตาย

ในชีวิตฉันไม่เคยเลี้ยงสัตว์อะไรนอกจากปลา และมันมักไม่ค่อยจะรอด ขนาดปลาหางนกยูงภายใต้การดูแลของฉันยังอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเลยคุณเอ๋ย

ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ที่ฉันเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องปลาน่ะ เป็นเพราะฉันสัญญากับตัวเองเอาไว้ เล่น ๆ ว่า ถ้าฉันเลี้ยงปลาคู่นี้ได้ครบ ๑๐๐ วัน แสดงว่าฉันจะเขียน นวนิยายได้จบภายใน ๑๐๐ วันเหมือนกัน ขืนมันตาย ก็ ลางร้าย เท่านั้นสิ ใช่ไหม ?

เออ... แล้วจะมีใครจะเอาเรื่องการเขียนนวนิยายมาวัดดวงกับการเลี้ยงปลาอย่างฉันไหมนี่ ?

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนั่นแหละ ไอ้ที่พอจะเขย่ง ๆ ได้ชักจะปวดขึ้นมาทีเดียว สงสัยขาฉันมันจะแพลงเอาจริง ๆ จะพึ่งใครได้ล่ะทีนี้

เจ้าของบ้านนะเหรอ ... เฮอะ เลิกคิดไปเลยยัยพัด ฉันบอกตัวเอง

ก็ต้องกัดฟันทน ลากขาตัวเองออกไป อย่างน้อย มันก็น่าจะมี ยาให้ฉันได้ทาบ้างหรอก

บ้านเงียบมาก เขาอาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ ดี ... ไม่ต้องลากขาทุเรศ ๆ ให้คนเห็น แต่พอฉันเดินเขย่งไปถึงมุมครัว ก็ต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงถาม

“ ขาเป็นไร ”

คนอะไร ชอบมาเงียบ ๆ ให้ตกใจอยู่เรื่อย

พี่ชายยัยดารา ยืนหล่ออยู่ที่เชิงบันได ในเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ขายาวสีซีด ท่าทางเหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ เพราะมือข้างหนึ่งของเขายังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกอยู่

“ ตกเตียง ” ฉันตอบสั้น ๆ แล้วเดินเขย่งไปเข้าเคาน์เตอร์ด้านใน กะจะชงกาแฟดื่ม

“ ชงเผื่อด้วยนะ ถ้าแก้วขนาดเมื่อวาน ใส่น้ำครึ่งเดียวก็พอ ปิ้งขนมปัง แล้วทา แซนวิส สเปรดให้ด้วยอยู่ในตู้เย็น ” เขาสั่ง แล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป

นอกจากจะไม่เห็นใจคนขาเจ็บ แล้วยังใช้งานอีก ไม่มีน้ำใจเลยจริง ๆ แฮะ

ฉันก็นึกอย่างคนใจดำนะว่า จะทำยังไงถ้าฉันไม่ทำให้อย่างที่สั่งน่ะ

แต่ก็อย่างว่าละ โดยพื้นฐานฉันมันเป็นคนมีน้ำใจเหลือเฟืออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขากลับมาอีกครั้งทุกอย่างที่สั่ง ก็พร้อมเหมือนในร้านอาหารเลย ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้สั่งไส้กรอกไข่ดาว ด้วย ฉันจึงไม่ได้ทอดเผื่อ

แต่ ...แหะ ... ฉันรู้สึกผิดนิด ๆ เมื่อเห็นเขาถือกล่องปฐมพยาบาลลงมาด้วย

“ ทอดไข่ดาว กับไส้กรอก เป็นด้วยเหรอ ”

เขาก็คงถามธรรมดา ๆ หรอกนะ แต่ฉันก็ร้อนตัว จึงพยายามแก้ตัวในความไม่มีน้ำใจของฉัน ไปเป็นความผิดของเขาเองว่า

“ ไม่ได้ทำเผื่อ เพราะไม่ได้สั่ง ”

แต่ทว่า ...มันไม่จำเป็นเลยสักนิด

“ ไม่เป็นไร ฉันเอาที่ทำแล้วก็ได้ ”

คุณพระช่วย ... นี่ฉันกำลังเจอกับผู้ชายประเภทไหนกันนี่

 

“ ทำยังไงถึงตกเตียง ” เขาถามขณะใช้ส้อมจิ้มไส้กรอก

“ รีบ เลยสะดุดผ้าห่ม ”

“ นึกว่าซุ่มซ่ามไปเดินชนอะไรเสียอีก ”

ฟังจากน้ำเสียงก็คือ ที่สะดุดผ้าห่มตกเตียง มันยิ่งกว่าซุ่มซ่ามเสียอีก ฉันไม่พอใจก็เลยนิ่งเงียบ กัดกินแซนวิสตามด้วยกาแฟด้วยความเร็วเพื่อให้การกินจบสิ้นเสียที หน้าฉันคงบึ้งบอกความรู้สึกอยู่หรอก

“ เดี๋ยวกินเสร็จจะดูขาให้ ” เขาบอก

“ ไม่ต้อง ”

ฉันยกกาแฟขึ้นดื่มจนเกลี้ยง วางแก้วแล้ว เอื้อมมือไปที่กล่องปฐมพยาบาลใกล้เขา แต่เขาเอามือมาวางทับไว้พูดขรึม ๆ ว่า

“ ไปนั่งรออยู่โซฟาโน่น เดี๋ยวจะดูให้ ฉันไม่คิดจะกินไส้กรอกไข่ดาวเธอฟรี ๆ หรอก ”

 

ฉันมานั่งที่โซฟา เปิดทีวีรอ ตอนแรกก็กะจะเดินเข้าห้องตัวเองไปเลยเหมือนกัน เพราะไม่พอใจคำพูดของเขา แต่เมื่อคิดว่าหากปล่อยเอาไว้ เกิดมันปวดขึ้นมากเรื่อย ๆ แล้วต้องง้อเขาทีหลังก็เสียฟอร์มแย่ ในเมื่อไม่อยากติดค้างบุญคุณกัน ก็ปล่อยให้เขาดูให้ก็แล้วกัน

เห็นไหม ? อย่างน้อยฉันก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่ทำตัวเป็นนางเอกในนวนิยายโง่ ๆ แน่

แหะ ... แต่ความจริงก็เป็นไม่ได้ ฉันสวยไม่ได้มาตรฐานแม้แต่นางเอกที่ฉันจะสร้างขึ้นเองหรอก สูงไม่ถึงร้อยหกสิบด้วยซ้ำ หน้าตานะเหรอ ?

“ มองดูให้ชิน ๆตา ก็พอดูได้อยู่หรอก ” ยัยดารา เคยให้คำวิจารณ์

แต่สิ่งหนึ่งที่ยัยดาราปฏิเสธไม่ได้ และ ฉันเองภูมิใจในตัวเอง ก็คือ ... ขาฉันสวย

และทีฉันใส่กางเกงขาสั้นวันนี้ ก็ไม่ได้กะจะยั่วใครนะ

 

แล้วเขาก็เดินมานั่งที่ปลายด้านหนึ่งของโซฟาตัวเดียวกับฉัน

“ ไหนดูสิ ”

ฉันรู้สึกเขินนิด ๆ เมื่อยืดขาข้างที่เจ็บไปทางเขา ก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้สัมผัสฉันหรอกแม้มันจะไม่ใช่ขาอ่อนก็เถอะ เขาจับขาข้างที่เจ็บขึ้นตรวจดู

“ แค่แพลง ไม่ถึงกับซ้น ทายาใช้ผ้าพันไว้เดี๋ยวก็หาย ”

ฉันหดขาเข้ามาเมื่อเห็นเขาจ้องไปที่รอยสักรูปหัวใจสีแดงที่ปลายเท้าของฉัน แต่เพราะเขายังยึดมันเอาไว้อยู่ ฉันจึงต้องอุทานด้วยความเจ็บ

“ นั่งเฉย ๆ เป็นไหม ? ” เสียงเขาเหมือนรำคาญขึ้นมา แล้วก็ฉวยกล่องปฐมพยาบาลเปิดเอาหลอดยาขึ้นมา

“ เดี๋ยวทาเอง ” ฉันบอก

เขาแค่ขมวดคิ้วให้ฉัน แต่บีบหลอดยาทาให้เงียบ ๆ มือเขาเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะนวดมันไปด้วย

“ ทำไมถึงสักรูปหัวใจไว้ที่เท้าี้ ”

“ ก็ทำเล่น ๆ ” ฉันตอบแต่หน้าแดงจัดเมื่อคิดถึงคำประกาศหลังการสักที่คึกคะนองครั้งนี้ว่า

“ ฉันจะรักผู้ชายคนแรก ที่คุกเข่าและมองเห็นหัวใจของฉัน ”

จะมีคนรู้อยู่คนเดียว ก็ ยัยดาราเพื่อนซี้ฉันนั่นแหละ แถมมันยังทำนายไว้ด้วยว่า

“ แกขึ้นคานแน่ นังพัด ”

โชคดีที่ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้คุกเข่าให้ฉัน เขาแค่เห็นมัน ไม่งั้น ... เฮ้อ ไม่อยากคิดต่อ

“ ดิฉันไปบ้านดาราบ่อย ๆ ทำไมไม่เคยเห็นคุณเลย ” ฉันชวนคุย

“ ฉันไม่ใช่ลูกแม่ใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่ตึกเหลือง ”

ตึกเหลือง คือคฤหาสน์หลังใหญ่ มันมีอาณาบริเวณกว้างขวาง เพราะลูก ๆ ทุกคน แม้จะออกเรือนไปแล้ว ก็จะอาศัยอยู่ร่วมกันที่นี่ เป็นบ้านที่อบอุ่น แม้ว่า ป๋า ซึ่งเป็นพ่อของดาราพิสุทธิ์ จะมีเมียเล็กเมียน้อย แต่ก็ไม่มีใครได้รับการเชิดหน้าชูตาและให้เกียรติ เทียบเท่าแม่ใหญ่ ซึ่งเป็นภรรยา คู่ทุกข์คู่ยากของป๋า และถ้าจะแปลกันง่าย ๆ เขาเป็นลูกเมียน้อย ดังนั้นคำตอบของเขาเลยทำให้ฉันเงียบไป มองเขาเอาผ้าพันเคล็ดออกมา พันเท้าให้ฉันเงียบ ๆ แล้วก็นึกขึ้นได้

“ คุณชื่ออะไร ? ” ฉันถาม

“ ถามทำไม ? ” เขาย้อน

จะบ้าตาย ... คนเราเวลาถูกถามชื่อ ก็ต้องตอบชื่อตัวเองออกมาสิใช่ไหม ? ไม่ใช่มาย้อนแบบนี้ แสดงว่านายนี่ ต้องยวนมาก ๆ เลย

“ ยัยดาราเรียกคุณว่ายังไง ? ”

เขาเงยหน้า เหมือนจะมีรอยยิ้มนิด ๆ ติดที่ริมฝีปาก

“ อยากเรียกอะไรก็เรียก แต่อย่ามาเรียกฉันพี่ เพราะเราไม่ใช่พี่น้องกัน ”

“ คนไทยนะคุณ ถึงไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เขาก็เรียกให้เกียรติกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นลุงเป็นป้า น้าอา ทั้งนั้นแหละ ถ้าดูวัย ดูหน้าแล้ว ”

“ ฉันไม่อยากให้เธอเรียกฉันว่าพี่ ”

“ ค่ะเฮีย ” ฉันรับคำอย่างนอบน้อม

“ คำนี้ก็ไม่ให้เรียก ”

“ ค่ะ ” ฉันยิ้มเพราะนึกขำ คนอะไรไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย ท่าทางเขาหงุดหงิดที่เห็นฉันยิ้มเสียด้วยซ้ำ เงียบไปครู่ฉันก็ถามเขาว่า

“ คุณป่วยเป็นอะไร ? ”

เขาเงยหน้า ขมวดคิ้ว มองฉันอย่างงง ๆ

“ ยัยดาราบอกฉันว่าคุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ”

เขาไม่ตอบ แต่พันผ้าให้ฉันจนเสร็จ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า

“ ฉันเพิ่งออกจากคุก ไม่ใช่โรงพยาบาล ”

ถ้าคิดว่าจะขู่ให้ฉันกลัวละก็ ... คิดผิดแล้ว

“ เข้าไปทำอะไรในนั้นเหรอคะ ”

เขานิ่ง มองหน้าฉันย้อนว่า

“ อยากรู้เรื่องฉันมากจริง ๆ เหรอ ? ”

สายตาดุ ๆ ที่มองมานั่นหรอกทำให้ฉันคิดว่า หยุดแค่นี้ดีกว่า

“ ก็แค่อยากชวนคุยเท่านั้น ถ้าคุณไม่อยากคุย ฉันเข้าห้องไปนอนดีกว่า ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยดูเท้าให้ ”

ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาไปบ่ายสี่โมง ขยับข้อเท้าตัวเองก็ไม่ค่อยจะเจ็บแล้ว แถมท้องฟ้าก็แจ่มใสมีแดด ตอนแรกฉันคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ก็เปลี่ยนใจ จัดโต๊ะทำงานดีกว่า แล้วฉัน ก็ลุกขึ้นมารื้อของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ก็พวกหนังสือ กับนิตยสารต่าง ๆ นั่นแหละ ฉันขนมาเกือบเต็มกระเป๋า ยังจำได้ว่า มันหนักเป็นบ้าเลย ตอนที่ต้องหิ้วเอง

พอขยับเท้าก็เห็นว่าพอไหว เลยยกหนังสือแล้ว ค่อย ๆ เดินออกมาวางไว้ ที่โต๊ะข้างนอก

พี่ชายยัยดารา นั่งดูทีวี ไม่สนใจแม้แต่จะมองมาที่ฉันเลย แต่ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรนักหรอก ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว

ฉันเดินเขยกอยู่สองรอบ แต่พอรอบที่สาม ตอนที่ฉันกำลังวางหนังสือลงที่โต๊ะ กองหนังสือมันดันล้มไหลตกมาโดนขาข้างที่ฉันเจ็บพอดี

“ โอ๊ย !! ” ฉันร้องออกมาเสียงดังเลยล่ะ เจ็บจนน้ำตาเล็ด กระแทกตัวนั่งเก้าอี้

“ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ? ” พี่ชายยัยดารา เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่ได้สังเกต แต่เขาก็คุกเข่าลง จับขาฉันดู ผ้าที่พันเอาไว้ มันหลุดเพราะแรงกระแทกของหนังสือ เขาจึงแกะออกแล้วเริ่มพันให้ฉันใหม่

“ ทำไมไม่รู้จักอยู่เฉย ๆ เสียบ้างน่ะ ขาเจ็บอยู่อย่างนี้ ”

“ เบื่อ อยากจัดโต๊ะ ”

“ จะเอ่ยปาก ขอให้ช่วยยกออกมาให้มันเสียหน้านักเหรอ ”

“ ก็ถ้าคนมีน้ำใจ เห็นขาเจ็บอยู่อย่างนี้ ต้องรอให้เอ่ยปากด้วยเหรอ ? ”

“ ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าอยากให้ช่วย ชอบแสดงให้เห็นอยู่นี่นาว่าทำเองได้ ”

“ ก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ว่า ผู้ชายอย่างคุณต้องรอให้เอ่ยปากขอร้องเสียก่อน ถึงจะช่วย ”

“ เธอนี่เถียงคำไม่ตกฟาก ”

“ คุณก็ชอบวางอำนาจ ”

เขานิ่งเงียบไป มือที่พันผ้าให้ฉันยังทำงานเป็นปกติ แล้วเสียงเขาก็เนิบ ๆ ขึ้นว่า

“ อยากรู้ไหม ?ว่าฉันติดคุกข้อหาอะไร ”

ฉันไม่ทันตอบ เขาก็พูดต่อว่า

“ ข่มขืนหญิงอื่นซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตน ”

ท่าทางเขาจริงจัง เสียจนฉันต้องบอกกับตัวเองว่า อย่าลืมโทรไปถามยัยดารา

“ ถีงแม้ตอนนี้เธอจะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด แต่ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม ? เวลาฉันโกรธ ช่วยหลบ ๆหน่อย อย่ายั่วให้มันมาก ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่งามระหว่างเรา ”

แล้วฉันก็สะดุ้ง เมื่อมือหนัก ๆ ของเขามาแตะที่ต้นขาอันเปลือยเปล่าของฉัน ด้วยความตกใจปฏิกิริยาโต้กลับของฉัน ก็คือใช้เท้าข้างที่ไม่เจ็บยันไปที่หน้าอกเขาสุดแรง แต่ดูเหมือนเขาจะคอยระวังตัวอยู่แล้วจึงเอนหลังราบกับพื้นหลบไปได้ แต่แรงที่ฉันยันออกไปมันทำให้ฉันถึงกับไถลตกเก้าอี้ เขาหัวเราะก้องอย่างพอใจเมื่อลุกขึ้นมายืนค้ำหัวฉัน ที่นั่งอยู่กับพื้น

อีตาบ้านี่หลอก ให้ฉันตกใจ

“ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย อย่างเธอไม่ใช่สเปคฉันหรอก มาลุกขึ้น ”

เขายื่นมือมาให้ฉัน ฉันมองหน้าเขาอยู่อึดใจก่อนจะยึดมือเขาดึงตัวเองขึ้นยืน สัญญากับตัวเองเลยว่า ฉันต้องเอาคืนเรื่องนี้ให้ได้

“ นั่งอยู่นี่แหละ มีอะไรต้องขนออกมาอีกไหม จะยกออกมาให้ ” เขาเสนอตัวด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ฉันทำหน้าเฉย บอกว่า

“ หนังสือที่กองอยู่ในห้อง แล้วก็อ่างปลาในห้องน้ำ ”

เขาเดินเข้าออกสองสามเที่ยวก็ขนทุกอย่างออกมาได้หมด แล้วก็กลับไปนั่งดูทีวีต่อ

 

ฉันก็หันมาจัดหนังสือของฉันบ้าง บางเล่มที่สะดุดตาก็เปิดอ่านไปด้วยจัดให้เป็นระเบียบไปด้วย มันเพลินจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนสังเกตเห็นแสงสีทองลอดเข้ามาในห้อง ฉันจึงหยุด มองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์กำลังจะตก มันสวยเสียจน ฉันอดไม่ได้ที่จะไสเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่ไปชิดผนังกระจก นิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างดื่มด่ำตกอยู่ในภวังค์

ฉันเขียนยังไม่เก่ง จึงไม่รู้ว่าจะบรรยายให้เห็นภาพได้อย่างไร นอกจากจะบอกความรู้สึกกึ่งเหงา กึ่งสุข สงบ ในใจที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมธรรมชาติ มันถึงได้มีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับคนชอบเขียน ชอบวาดได้มากแค่ไหน

สักวันหนึ่ง ... ในร้อยวันนี่แหละ ... ฉันจะต้องค้นหาวิธีวาดภาพด้วยคำ ออกมาให้ได้

อาหารเย็น ซึ่งพี่ชายยัยดาราช่วยทำให้กินนั้นง่ายมาก ข้าวผัดแช่แข็ง ใส่เตาอบไมโครเวฟ ไม่ถึงเจ็ดนาทีก็เสร็จ ก็ยังดีนะที่เขาเอามันออกจากกล่องพลาสติกใส่จานให้ด้วย ฉันไม่คิดจะสำนึกบุญคุณเขาหรอก เพราะหนึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำง่ายมาก และสอง เขาทำหลังจากที่ได้ หัวเราะเยาะฉันอย่างเต็มที่แล้ว

แต่คำพูดตอนที่ช่วยพยุงฉันไปส่งที่หน้าห้องนี่สิ

“ ถ้าเกิดปวดขึ้นมาอีก โทรศัพท์ที่หัวเตียงนั้น กดแปด เรียกได้เลยนะ แล้วไม่ต้องห่วงหรอก ว่าจะปวดจนลุกมาเปิดประตูให้ฉันไม่ได้ ฉันมีกุญแจไขเข้าห้องเธอ ”

อีตานี่ ช่างพูดให้ฉันหายห่วงได้จริง ๆ เลย ...

แล้วกลางดึกฉันก็ตื่นสะดุ้งโหยง ไม่ใช่เสียงใครเปิดประตูห้องฉันเข้ามาหรอก จิตใต้สำนึกของฉันมันเพิ่งกระตุ้นเตือนออกมาว่า เขา คุกเข่าให้ฉัน ตอนพันข้อเท้าให้ครั้งที่สอง

โอย ... ตาย

เป็นพยานด้วยเถอะ ที่เคยประกาศเอาไว้น่ะ ฉันขอถอนคำพูด ...

 


ฟีลิปดา

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย ฟีลิปดา
ติดต่อ  philipda@forwriter.com

 

 


 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก

 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.