อยากเป็นนักเขียนต้องลงมือเขียน แล้วฉันก็เขียนลงไปว่า
เมื่อเขียนอะไรไม่ออก
ก็ให้เขียนอะไร
สักอย่าง
เมื่อคืนหลังจากสะดุ้งตื่นมาคิดเรื่องเหลวไหลฟุ้งซ่านแล้ว ฉันก็เพิ่งจะมาเคลิ้มหลับเอาตอนตีสี่ แต่ก็ยังรู้สึกตัวเอาตอนหกโมงกว่า ( ยังพอหยวนอยู่ในตารางเวลาที่เขียนเมื่อวาน )
ฉันขยับข้อเท้า มันไม่ค่อยปวดแล้ว ก็เลยลุกจากเตียง เปิดม่าน ลากเอาเก้าอี้ มานั่งเหม่อมองดูทะเล แล้วก็มาเขียนบันทึกนี่แหละ เผื่อจะมีไอเดียบรรเจิดขึ้นบ้าง แต่เอาเข้าจริง นอกจากสามบรรทัด นั่นแล้วก็นึกอะไรไม่ออก สักอย่าง ก็เลยได้แต่นั่งมองทะเลเฉย ๆ
จริงนะ ? ฉันมาถึงนี่เป็นวันที่สี่แล้ว หากไม่รวมวันแรกที่มา ฉันยังไม่ได้แม้แต่ไปเดินเล่นแตะผืนทราย หรือ ต้องน้ำทะเล อีกเลย
หากเป็นไปตามหมายกำหนดการ เช้าฉันก็คงออกไปวิ่งแล้ว แต่ดันมาปวดข้อเท้าเสียนี่
ขอภาวนาให้ทั้งวันมันดีขึ้นเรื่อย ๆเถอะ ตอนเย็นฉันจะได้ไปเดิน ดูพระอาทิตย์ตก แทนการมองฝ่ากระจกออกไปอย่างนี้
แล้ววันนี้ฉันจะทำอะไรดีล่ะนี่ ? ...
โต๊ะทำงาน .... เตรียมแล้ว
อ่านหนังสือ เกี่ยวกับการเขียนดีไหม ?
หรือว่าจะ เริ่มจดรายการ เรื่องที่สนใจก่อนดี
ฉันอยากเป็นนักเขียน
แต่ยังนึกเรื่องที่ตัวเองอยากเขียนจริง ๆ ไม่ออก
เอาเป็นว่า เพราะฉันขาเจ็บ ( ข้อแก้ตัว )
เลือกอ่านนวนิยายรักเล่มโปรดของฉันเป็นแรงบันดาลใจดีกว่า
ฉันเงยหน้าจากการเขียนมองออกไปที่ทะเลอีกครั้ง ก็เจอ ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินคู่กันมา ผู้ชายน่ะฉันจำได้ดีก็พี่ชายยัยดารานั่นแหละ ( ฉันยังไม่รู้จักชื่อเขาจนบัดนี้ ) ผู้หญิงที่เดินคู่มากับเขานี่สิ มองห่าง ๆ อย่างนี้ ฉันยังสรุปได้ว่า ต้องสวย ก็หุ่นอย่างนั้น ผมยาวอย่างนั้น เข้าสเปคฉันเลยล่ะ
สองคนนี้คงจะออกไปวิ่งด้วยกันมา เพราะใส่เสื้อยืด และกางเกงวอร์มทั้งคู่ พูดคุยหัวเราะกันดี ท่าจะสนิทสนม เอ ... รึจะเป็นแฟนกัน ?
เขาอาจจะทำอย่างนี้เป็นประจำก่อนที่ฉันจะมาแล้วก็ได้
ซึ่งนั่นทำให้การมองทะเลของฉันชักจะน่าเบื่อขึ้นมา ฉันก็เลยลุกขึ้นเมื่อพวกเขาเดินใกล้บ้านเข้ามา การเคลื่อนไหวของฉันคงจะทำให้เขาเห็น เลยมองมา และ่ฉันก็มองผ่านกระจกสบตาเขาเฉย ๆ
มันเรื่องอะไรที่ฉันจะหลบ ฉันไม่ได้แอบมองพวกเขาสักหน่อย ฉันมองทะเลของฉันอยู่ดี ๆ นี่นา
แต่ให้ตาย ๆๆๆๆ ... ฉันยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย มันโป๊เสียด้วยสิ โอย ...
อาบน้ำเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ออกจากห้องไปไหน ก็มันไม่ค่อยจะหิว อาหารเช้าของฉันมันไม่ค่อยจะสำคัญสักเท่าไร ? ก็กะจะรอให้ทั้งเจ้าของบ้านและแขก ออกไปนั่นแหละ อย่างน้อย เขาก็น่าจะเดินกลับไปส่งผู้หญิงคนนั้น ฉันก็เลยเลือกที่จะนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลงในห้องเล่น
เรื่องที่ฉันอ่านเป็นเรื่องแปลโรแมนติก ตามพล็อตนางเอกเป็นคนรวยอายุยังไม่ถึงสิบแปด รู้จักกับพระเอกที่ยากจนแต่หยิ่งชะมัด นางเอกท้องจึงต้องแต่งงานกับพระเอก พ่อนางเอกเกลียดพระเอกมาก พระเอกต้องไปทำงานต่างประเทศเพื่ออนาคตนางเอกจะตามไปทีหลังแต่ดันมีปัญหาการตั้งครรภ์ นางเอกแท้งลูกท่ามกลางความเข้าผิดว่าต่างฝ่ายต่างทอดทิ้งตัวเอง พ่อนางเอกจัดการให้ทั้งคู่หย่ากันอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นเป็นสิบปี พระเอกกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ นางเอกหมั้นกับเพื่อนเก่าที่เคยเป็นผู้ชายในฝันของเธอ ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้งในฐานะคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ประเด็นก็คือ การหย่าร้างที่พ่อเธอให้ทนายทำให้อย่างลับ ๆ นั้นมันไม่ถูกต้องเพราะจ้างทนายปลอม ทั้งคู่ยังมีสถานะเป็นสามีภรรยากันอยู่ .... พล็อตเรื่องนั่นก็ไม่เท่าไหร่หรอกแต่ที่ฉันชอบก็คือบุคลิกของพระเอกนางเอกมากกว่า จึงอ่านบ่อย ๆ เพื่อศึกษาวิธีนำเสนอพระเอกนางเอกของนักเขียน
นวนิยายโรแมนติก ที่ประสพความสำเร็จนั้นจะต้องทำให้ คนอ่านร่วมเดินทางไปกับตัวละครด้วย ไม่ว่าตัวละคร จะคิด จะพูด จะทำ จะแก้ปัญหาใด ๆ คนอ่านจะอยู่ในนั้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ( หรือคิดว่าตัวเองเป็นพระเอก นางเอก ไปเสียเลย ) ดังนั้นการสร้างตัวละครให้คนอ่านเข้าถึงจึงมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว
สร้างพระเอกที่ทำให้ทุกคนหลงรัก
สร้างนางเอกที่ทุกคนอยากเป็น
( หรือกลับกัน )
ตอนนี้ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะว่า ฉันจะเขียนนวนิยายโรแมนติก
กริ๊ง ๆๆๆๆ
ฉันสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นมา พอรับสายเสียงเจ้าของบ้านก็สั่งมาเลยว่า
ออกมาข้างนอกซิ
พูดแค่นั้นก็วางสายฉับเลย
ฉันเกลียดน้ำเสียง ออกคำสั่งแบบนี้
มันจะเป็นไงนะ ถ้าฉันไม่ออกไป
แต่พอมองนาฬิกา โห ... สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอนี่ ฉันอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาจริง ๆ
ชักหิวขึ้นมาเหมือนกัน ก็ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้านี่นา ...
ออกมาจากห้อง ก็เห็นเขานั่งหน้าเฉยอยู่ที่โซฟานั่นแหละ
ปิดมือถือเหรอ ยัยดาถึงเรียกเข้าไม่ได้
ไม่ได้ปิด แต่ไม่ได้ยิน ฉันตอบ แล้วเดินไปที่มุมครัว กะจะชงกาแฟกิน
ไม่ต้องหาอะไรกินหรอก เราได้รับเชิญไปกินข้างนอก
เรา ? ฉันย้อน
ท่าทางเขาหงุดหงิดชอบกล เดินมายื่นโทรศัพท์ของเขาให้ฉันบอกว่า
โทรกลับไปคุยกับยัยดา
ความจริงฉันอยากแกล้งทำเฉย ชงกาแฟกินเสียก่อน ค่อยโทรกลับ เพราะถ้าเป็นเรื่องสำคัญแล้วละก็ ยัยดารามันมักจะโทรมาหาอย่างกระชั้นชิดเองนั่นแหละ แต่จากสีหน้าเขาแล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจว่าจะหงุดหงิดอะไรนักหนา ก็เห็นกะหนุงกะหนิงกับแฟนดีอยู่นี่นาตอนเช้า
และก็เป็นอย่างที่คิด ไม่ถึงอึดใจเสียงโทรศัพท์ในมือฉันก็ดังขึ้น พอกดรับสาย เสียงยัยดาราแปร๋นมาทันทีเลยว่า
โทรศัพท์แกเป็นอะไร ทำไมฉันโทรไปไม่รับ
ช่างโทรศัพท์ฉันเถอะ มีธุระอะไรเหรอ
แกเห็นผู้หญิงที่มากับพี่ชายฉันเมื่อเช้าใช่ไหม ?
เออ ... สวยดี
แกดูยังไงว่าสวย เสียงยัยดาราเหยียดมาทีเดียว ... มันดูถูกสายตาฉัน
เขาเป็นหลานสาวของพ่อเลี้ยงเฮียฉันชื่อ ลินดา
เออ ฉันเริ่มลำดับญาติในใจ
พ่อเลี้ยงฉันเขาอยากให้เฮียแต่งงานกับหลานสาวเขา
เออ แล้วไง ? ฉันถามแต่พยายามคิดว่าเรื่องมันจะโยงมาหาฉันยังไง
เมื่อก่อนยัยลินดากับเฮียก็ชอบพอกันอยู่หรอก แต่ตั้งแต่เกิดเรื่อง ยัยนี่ก็ทิ้งเฮียฉันไปแต่งงานเพิ่งหย่ากับสามีมาหมาด ๆ แต่พอรู้ว่าเฮียฉันจะได้รับมรดกทั้งหมดก็เลยกะจะหันมาหาเฮียฉันใหม่ และทั้งพ่อเลี้ยงและแม่ของเฮียก็สนับสนุน แต่เฮียฉันไม่ชอบ แกตามทันไหม ?
เออ ... ทัน ยกเว้นไอ้ที่พูดว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเฮีย มันเรื่องอะไร
ยัยดาราเงียบไปแล้วถามกลับว่า
ก็ไหน เฮียบอกว่าแกรู้แล้ว แต่เออ ... ช่างเถอะ ไม่ใช่ประเด็น มาเข้าเรื่องเลยนะ
เออ ฉันรับคำอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกัน
ฟังฉันพูดดี ๆ นะพัดชา
เวลายัยดาราพิสุทธิ์มันจะเอาจริงเอาจัง มักจะเรียกชื่อฉันเต็มยศทุกที ทำให้ฉันต้องตั้งใจฟังมันพูด
เฮียเป็นพี่ชายที่ฉันรักมาก ฉันไม่ชอบยัยลินดา ส่วนแกเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันไม่เคยขอร้องให้แกทำอะไร ที่คิดว่าแกทำไม่ได้ ฉันมั่นใจในตัวแกเสมอ ดังนั้นฉันจึงอยากให้แก ...
เดี๋ยว ฉันรีบขัดขึ้นอย่างรู้ทัน แกอย่ามาตีขลุมเยินยอแล้วใช้งานฉัน แบบมัดมือชก ฉันสติยังดีอยู่
ฉันไม่มัดมือชก แต่ฉันอยากให้แกช่วยฉันในสิ่งที่ฉันมั่นใจว่าแกทำได้ และต้องเต็มใจด้วย เพราะฉันขี้เกียจขุดเรื่องที่ฉันช่วยเหลือแกมาทวงบุญคุณเข้าใจไหม ?
เออ ฉันกระแทกกลับ
นี่แหละ คือวิธีพูดที่เพื่อนซี้ของฉันจะใช้เสมอ เมื่อต้องการให้ฉันทำอะไรให้
มันไม่ทวงบุญคุณเลยนะเนี่ย ...
เมื่อเช้ายัยลินดาเขารู้ว่าเฮียอยู่บ้านกับผู้หญิงตามลำพังสองคน
เออ
เขาก็สงสัย ถามเฮียว่าแกเป็นใคร ?
เออ
เฮียก็เลยบอกว่าเป็นแฟน
เออ ... อ้าว ! ฉิบหาย ฉันเผลอสบถ หันขวับไปมองเขาที่นั่งกอดอก ฟังฉันพูดโทรศัพท์อยู่ที่เดิม
ถ้าแกอยากรู้เหตุผล ทำไมเฮียบอกอย่างนั้น แกก็ถามเอาเองแล้วกัน เพราะประเด็นสำคัญที่ฉันจะพูดกับแกก็คือ ยัยลินดาไปคุยให้อังเคิลซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของเฮียฟัง เขาเลยอยากเจอตัวแกว่ะ หน้าที่ของแกก็แค่ไปกินข้าวเที่ยงกับครอบครัวเฮียเขาหน่อยเท่านั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแกหรอกฉันรู้
ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก แต่ไม่ชอบเรื่องโกหก ฉันบอกตรง ๆ
เออ ฉันรู้ ถ้าแกไม่ชอบโกหก ก็ทำให้เป็นเรื่องจริงเสียสิ แค่พี่ชายฉันไม่คณามือแกหรอก ถ้าเอาจริง ยัยดาราพูดแล้วก็หัวเราะออกมา
บ้าสิแก ฉันพูดแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้
มันก็เป็นคำพูดที่ฉันชอบโวบ่อย ๆ เวลาเจอผู้ชายหล่อ ๆ แล้วอยากได้เป็นแฟนนั่นแหละ แต่นั่นเป็นคำพูดสนุก ๆ ล้อเล่นเท่านั้น ยัยดารามันก็รู้ดี เลยแหย่ฉันเรื่องนี้
ตกลงแกช่วยเฮียหน่อยนะ เพราะฉันบอกไปแล้วไม่ต้องห่วง แกไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
ยัยดาราสรุป
ทำไมเฮียแกไม่พูดกับฉันเอง
เฮียว่าแกกวนว่ะ กลัวทะเลาะกับแกเสียก่อนจะรู้เรื่อง เลยสั่งให้ฉันคุยแทนง่ายกว่า
ไอ้ที่กวนน่ะ มันเฮียแก ฉันย้อนทันทีแต่ไม่กล้าพูดเสียงดังนักเพราะกลัวเจ้าตัวเขาได้ยิน ยัยดาราหัวเราะร่วน ทีเดียวก่อนจะพูดว่า
เออ ใครจะกวนใครฉันไม่สนหรอก อยู่ด้วยกันดี ๆ ล่ะ ? แค่นี้ ...
เดี๋ยว งานนี้ฉันจดบัญชีเข้าที่แกนะ เพราะถือว่าฉันช่วยแกไม่ใช่เฮียแก เข้าใจ๋ ? ฉันรืบพูดเร็วปรื๋อก่อนที่ยัยดาราจะวางหู
ได้เลย ยัยดารารับคำ
ฉันเอาโทรศัพท์ไปยื่นคืนให้เขาแล้วถามว่า
นัดไว้กี่โมงคะ
เที่ยง
ที่ไหน
โรงแรม ด้านโน้น
ด้านโน้น ด้านไหน ฉันก็ไม่รู้หรอก เพราะตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่ได้ออกไปไหน เลย
คิดว่าดิฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม ? ฉันถามเขาเล่น ๆ กะจะสร้างความเป็นกันเองหน่อยเท่านั้น ก็จะเล่นเป็นแฟนกันนี่นา
ถ้ามีดีกว่านี้ก็เอาสิ
ฉันกัดลิ้นกับคำตอบนี้ แต่อารมณ์ขันที่แทรกเข้ามาทำให้อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะพูดกับเขาว่า
เป็นแฟนกันตอบแบบนี้ คงไปได้สวยล่ะ เฮีย !
๒๓.๐๕ น .
เรียกว่า Enforced Intimacy ใช่ไหมนี่ ?
พล็อตยอดฮิตของนวนิยายโรแมนติก เลยล่ะ
Pretend marriage or relationship เสแสร้งว่าแต่งงาน หรือ มีความสัมพันธ์กัน
แต่ ... ยัยพัดเอ้ย ... เรื่องจริงของแกไม่เหมือนในนวนิยายเลยว่ะ