forwriter.com
 
นวนิยายโรแมนติก

 

บันทึกร้อยวันฉันจะเขียนนวนิยายให้จบ

 

 

วันที่ ๗

 

ความจริงวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้า ( แม้เมื่อคืนจะนอนดึก )

โชคดีต้อนรับวันเริ่มงานของฉันจริง ๆ ท้องฟ้าโปร่ง แจ่มใส อากาศสดชื่น

ฉันเดินเท้าเปล่า สัมผัสทราย และน้ำทะเลอย่างเต็มที่ และอย่างเต็มใจสบายอารมณ์

ในส่วนที่ฉันยืน มีคนไม่กี่คน เพราะมันเหมือนจะเป็นส่วนที่อยู่ตอนปลายเกาะ แต่หากมองไปยังอีกด้าน จะเห็นชายหาดยาวสวยทีเดียว คนมีอยู่เป็นกลุ่ม ๆ มองไม่ชัดนัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นชาวต่างประเทศเสียมากกว่าคนไทย บางคนก็ลงน้ำทะเลเสียแต่เช้า บางคนก็วิ่งเหยาะๆ แต่บางคนก็ยืนเหม่อ ซึมซับเอาบรรยากาศเหมือนกับฉันก็มี

และฉันก็ได้พบกับ ผู้ชายที่น่าจะมาเป็นพระเอกในนวนิยายให้ฉันได้ด้วย

มิสเตอร์ไมเคิล กงซัน

ฉันเคยบอกแล้วว่า เขาเป็นคนหล่อ และหล่อ แบบสะอาดสะอ้านด้วย ยังไงนะเหรอ? ก็ด้วยความสูงขนาดหกฟุตครึ่งของเขา บวกกับรูปร่างได้สัดส่วน ไม่ได้ผอมกล้องแกร้ง เพราะดูหนาเป็นแมน ไหล่กว้าง ใบหน้าเขาเกลี้ยงเกลาไม่เห็นแม้แต่ไรเขียวของหนวดก็ไม่เห็น ( เอ ... ใช้ครีมหรือเปล่าหว่า ?) แต่ลูกตาเขานี่สิเด่นที่สุด มันเป็นสีฟ้าอมเขียว ไปได้ครึ่งไหนของบรรพบุรุษก็ไม่รู้ ดูมีเสน่ห์ชะมัด ยังงี้นี่เองยัยดาราพิสุทธิ์เพื่อนฉัน ถึงได้หลงรักเอาตั้งแต่แรกเห็นทีเดียว

สรุปได้ว่ารูปงามแม้ไม่คมเข้มเหมือน นายโทนี่ เอะ ... เอาไปเปรียบเทียบกันทำไมย่ะ?

ท่าทางของโทนี่เหมือนไม่ใช่คนมาวิ่งออกกำลังในตอนเช้า เพราะเขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอคลมเข้ารูป กับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ

เขายิ้มให้ฉัน แล้วเดินเข้ามาหา

พวกผู้ชายหล่อนี่เขาต้องฝึกยิ้มให้มีเสน่ห์ด้วยหรือเปล่านะ? หรือว่ามันติดตัวเป็นธรรมชาติของคนหล่ออยู่แล้ว ?

“ โทนี่ไปไหน? ” เขาถามหันไปรอบๆ

“ เช้านี้ยังไม่เจอหน้าเลย ” ฉันตอบตามจริง

“ ทะเลาะกันเหรอ? ”

อ้าว ! ... ไหงถามงี้ ?

ฉันยิ้มแล้วสั่นหน้าไม่ตอบ

คนสองคน มาเจอกัน มันมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกันบ้างนะ ฉันก็คุยไม่เก่งเสียด้วยสิ ...

“ เมื่อวาน โทนี่หนีกลับมาก่อนตั้งแต่เช้าเลย สงสัยจะห่วงคุณ ไม่เห็นเขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ”

อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบหรอกฮ่ะ ... เพราะเจอเขาก็ตอนบ่ายเย็นไปแล้ว ฉันตอบในใจอย่างคิดสนุก แต่ปากก็คุยกับเขาว่า

“ เมื่อวาน อลิเซีย ก็มาหาเขา ลูกสาวคุณน่ารักนะคะ พูดไทยเก่ง ”

ไมเคิลยิ้มนิด ๆ

“ อลิเซียเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นเป็นต้องหลง แกพูดได้สามภาษานะ ไทย จีน แล้วก็อังกฤษ ”

เออ ... เจอเด็กอัจฉริยะแล้วสิ

“ อลิเซีย รักโทนี่มาก หวังว่าคุณคงไม่รำคาญ ”

รำคาญ ? ผู้ชายสองคนนี้พูดเหมือนกันเลยแฮะ ฉันไปทำอีท่าไหน ให้พวกเขาเห็นว่าฉันเป็นคนขี้รำคาญเด็กไปหรือเปล่านะ จะว่าไปถึงแม้ว่าฉัน จะไม่ได้ชอบเด็กเหมือนนางงาม แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรนี่นา เด็กคนนี้ก็ใช่ว่าจะเจอกับฉันบ่อย เอะ ... รึจะบ่อย

“ ทำไมถึงคิดว่าฉันจะรำคาญล่ะคะ? ”

เขาทำหน้าสงสัยมองฉัน

“ โทนี่ยังไม่ได้บอกคุณใช่ไหมว่า อลิเซียจะพักอยู่กับเขาระยะหนึ่งจนกว่าเรื่องของผมกับลินดาจะเรียบร้อย ”

ฉันนิ่ง ระยะหนึ่งนานแค่ไหนก็ไม่รู้ได้ และเขายังไม่บอกฉัน ก็คงจะยังไม่มีเวลาบอก หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะ ไม่จำเป็นต้องบอก

ความต้องการของฉันคืออยู่ที่เงียบ ๆ เขียนหนังสือ มาอยู่ที่นี่ ก็มีเจ้าของบ้านวางอำนาจ แต่ก็พอทนได้ เพราะต่างคนต่างอยู่

แต่กับการมีคนเด็กมาเพิ่มด้วยนี่ ฉันยังคิดไม่ออก แต่รู้สึกว่าตัวเองชักจะไม่สะดวกใจขึ้นมา โดยปกติฉันก็ชอบอยู่คนเดียวอยู่แล้ว จะออกไปเต้นแรงเต้นกา หรือทำงานหนักหนาสาหัสที่ไหน แต่เมื่อมาถึงห้องพักของฉัน ฉันชอบอยู่คนเดียวจริง ๆ และตอนนี้ฉันเองก็มีเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แล้วด้วยว่า ฉันจะเขียนนวนิยายให้จบในร้อยวัน

แต่นี่ก็ไม่ใช่บ้านฉัน และฉันก็ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงเสียด้วย

เอ ... ให้ยัยดาราหาที่อื่นให้อยู่ดีไหมนะ?

“ ถ้าหากคุณไม่สะดวกใจ ผมจะไปฝากไว้ที่โรงเรียนสักแห่งก่อนก็ได้ ”

หน้าตา หรือ ท่าทาง ของฉันล่ะ? ที่ทำให้นายไมเคิลพูดอย่างนี้ ฉันมีนิสัยอย่าง ไม่ชอบให้คนมาพูดดักคอ ฉันคิดว่าหากคนเราเกรงใจ ก็อย่าเอ่ยปาก และถ้าเอ่ยปากแล้ว ก็ควรจะปล่อยให้เขาตัดสินใจ ไม่ใช่มาพูด และก็ไม่คิดหรอกว่านายไมเคิลนี่พูดประชดฉันหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกฉุนวูบ

“ ก็เป็นความคิดที่ดี ” ฉันบอกแล้วเดินหนีเสียเฉย ๆ

หากไม่พอใจแล้ว เรื่องมารยาท ไม่ต้องมาพูดกับฉัน ไม่สน !

ยัยดารา แกเลิกรักได้เลย ผู้ชายคนนี้ ฉันพาลไปโน่นเลย

ฉันเดินเล่นที่ชายหาดนานกว่าที่คิด เพราะอารมณ์ไม่ดี และเมื่อกลับเข้าบ้านเจอเจ้าของบ้าน นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว เขามองตรงมาที่ฉันแล้วถามว่า

“ กาแฟไหม? ”

“ ขอบคุณ ” ฉันเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารเลย เห็นเขาขมวดคิ้วก่อนจะลุกเดินเข้าไปหยิบเอาแก้วกาแฟ แล้วก็ชงมาให้ฉัน

“ นายไมล์ไปสะดุดเท้าเธอเข้าหรือยังไง ถึงได้หน้าบึ้งนัก ”

แสดงว่านายไมเคิล กงซัน ต้องคุยกับเขาแล้วแน่ ๆ

“ ฉันไม่ชอบคนอวดดี มาสรุปความคิดของฉัน ”

เขาทำท่าเหมือนกลั้นยิ้ม

“ อะไร เห็นวันก่อนจ้องเขายังกับจะกลืน ”

“ กลืนเข้าไปก็อ้วกออกมาได้ ”

เขาหรี่ตามองฉัน คงจะคิดตำหนิ สุภาพสตรีไม่ควรจะกล่าวคำว่า อ้วก ! กระมัง

ปั้ทโธ่ ตอนเป็นเด็กหญิง ฉันไม่เคยคิดจะโตมาเป็นสุภาพสตรี เสียหน่อย ให้ตายเลย เอา ...

“ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนัก ไม่คิดเหรอว่า เราเองก็สรุปความคิดคนอื่นไปเหมือนกัน ไมค์เขาเกรงใจเธอจริง ๆ ”

“ จะมาเกรงใจอะไรฉัน ฉันเป็นอะไรก็รู้กันอยู่ คุณกับเขาก็เพื่อนสนิทกัน ”

“ ก็ฉันบอกทุกคนไปว่า ต้องถามเธอ ...เมียฉันเสียก่อน ”

ฉันเกือบสำลักกาแฟ พูดไม่ออก ได้แต่มองหน้าเขา วางถ้วยกาแฟ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องเสียเฉย ๆ

เช้านี้ฉันเดินหนีผู้ชาย ถึงสองคนแล้ว ...

ฉันเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ออกมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเจ้าของบ้านเสียแล้ว เขาอาจจะออกไปข้างนอก แต่ก็ช่างเถอะ จะไปไหน อยู่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน เพราะวันนี้ฉันตั้งใจที่จะเริ่มต้น ทำงาน งานเขียนของฉัน

ฉันจะเขียนได้หรือเปล่านะ?

ฉันเริ่มกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าต้องเขียนให้ได้

จะเริ่มยังไงล่ะ?

ตอนอ่านนวนิยายที่คนอื่นเขียน มันก็สนุกดีนะ แต่พอจะลงมือเขียนนี่สิ

กลับไม่รู้ว่าจะเขียนยังไง ควรเริ่มที่ตรงไหนก่อน

ฉันเริ่มต้นไม่ถูก ก็เลยเปิด อินเตอร์เน็ทเล่นไปเรื่อยๆ ก็ใช้คีย์เวิร์ด เกี่ยวกับการเขียนลงไปนั่นแหละ

มันดีจริงๆ แฮะอินเตอร์เน็ทนี่ ขอให้อ่านภาษาอังกฤษได้เถอะ เราจะหาข้อมูลได้เพียบ

แล้วก็มาสะดุดเอาคำแนะนำอย่างหนึ่งสำหรับคนอยากเขียน ที่ทำให้ต้องหัวเราะออกมาเลยล่ะว่า

หากคิดอยากเขียน ให้ปิดอินเตอร์เน็ทซะ แล้วก็เปิด เวิร์ด พิมพ์ลงไปว่า บทที่หนึ่ง เลย

สะใจจริงๆ กับคำแนะนำนี้ หากต้องการจะเขียน ก็ควรจะลงมือเขียนทันที อย่ามัวแต่ทำโน่นทำนี่อยู่ แล้วดูสิ ฉันเสียเวลากับหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทอยู่ตั้งสองสามชั่วโมง โดยไม่ได้ลงมือเขียนเลย ไม่ได้ ไม่ได้ ...

ปิดอินเตอร์เน็ทดี๋ยวนี้! ยัยพัดชาวดี ^--^

 

 

บทที่ ๑ ...

 

 

 

แล้วไงล่ะ?

จะเขียนอะไรลงไปดี

กินข้าวก่อนดีกว่า ^V^

 

 

 

เฮ้ ! … สูตรการเขียนนวนิยายรักมีด้วยเหรอ? ว้าว ! ( ~^_^)~

ฉันมาเจออะไรเข้าให้แล้วนี่

หลังจากที่พิมพ์ค้างคำว่า บทที่ ๑ เอาไว้

ฉันก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรต่อ พอกินกลางวันเสร็จ ก็เลยเข้าห้องไปงีบเสียหน่อย

ตื่นขึ้นมาประมาณบ่ายโมง แต่ฟ้ามืดอีกแล้ว ฝนตกบ่อยจริงๆ ที่นี่ บ้านที่เป็นผนังกระจกก็พลอยมืดไปด้วย ฉันเดินเปิดไฟทุกหลอดเลย ก็บอกแล้วไง ฉันไม่ชอบความมืด

ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปต่อที่โต๊ะทำงาน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไหนๆ วันนี้ก็อยู่คนเดียว (อีกแล้ว) ฉันก็น่าจะขึ้นไปสำรวจชั้นบนเสียหน่อย

เปล้า ! ไม่ได้คิดจะไปซอกแซกดูห้องใครหรอกนะ ฉันแค่จะตามหาห้องสมุดที่ยัยดาราบอกว่ามีเท่านั้นเอง ฉันมองไม่เห็นเลยที่ชั้นล่าง ดังนั้นมันก็ควรจะอยู่ชั้นบนสิ ใช่ไหม?

ฉันรู้สึกแปลกๆ นะ ตอนที่เดินขึ้นบันได มันเหมือนกับไปบุกรุกความเป็นส่วนตัวของใครก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะบ้านมันเงียบมากก็ได้จึงทำให้ฉันรู้สึกอย่างนี้

ขึ้นมาถึงฉันชั้นบนฉันก็ยืนงง ตรงหน้าฉันพอดี จะเป็นเหมือนเทอเรสยื่นออกไปด้านหน้ามีโซฟารับแขกย่อมๆ อยู่ ส่วนด้านซ้ายขวาก็เห็นเป็นประตูห้อง เหมือนกันเด๊ะ

ไปซ้ายหรือขวาดีล่ะฉัน

ไม่ต้องตัดสินใจนาน เพราะอยู่ดีๆ ประตูห้องหนึ่งก็เปิดผลัวะ ยัยลินดาเดินออกมา แล้วก็มีใครคนหนึ่งออกมากระชากหล่อนเข้าไปใหม่

“ ปล่อยฉัน ” เสียงยัยลินดาไม่เบาเลย

“ ฉันยังพูดไม่จบ ”

แล้วฉันก็เห็นยัยลินดาหันขวับไปกอดโน้มศีรษะนายโทนี่มาจูบต่อหน้าต่อตาฉัน นายโทนี่เบือนหน้าหนีแต่เหมือนจะลากยัยลินดาเข้าไปที่ห้องนั่นอีกครั้ง

“ คุณจะข่มขืนฉันต่อหน้าเมียใหม่เลยรึไงโทนี่ ”

ตอนนั้นแหละที่เขาหันเจอฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาดูว่าใครจูบกับใคร แต่มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็น ฉันก็ยืนอึ้งมองดูเฉยเลยสิ มันก็งง ๆ นี่นา แต่พอสบสายตาเขาไม่พอใจเของเขา ฉันยักไหล่ เดินไปยังอีกห้องด้านหนึ่ง เรื่องของคนพวกนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน เมื่อฉันจะไปห้องสมุด ฉันก็จะไป และมันคงไม่ใช่ห้องที่ทั้งคู่เพิ่งเปิดออกมาแน่ๆ

ทุเรศ ! ยังกับฉันจะสนนักนี่ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมาทำประเจิดประเจ้อ อย่างนี้

ประตูห้องเปิดเข้าไปได้ง่ายๆ แต่ฉันถึงกับจุปากอย่างโมโห เมื่อมองเห็นเตียงนอนอันใหญ่ตั้งเด่นอยู่ นี่มันห้องนายโทนี่ ไม่ใช่ห้องสมุดอย่างที่คิด

ฉันถอยออกมาปิดประตูเบาๆ รู้สึกหน้าแตกชอบกล แต่พอหันกลับ นายโทนี่ ยืนกอดอกมองฉันอยู่ไม่ไกล ฉันมองไม่เห็นยัยลินดา ก็คงลงไปแล้ว ฉันทำหน้าเฉย จะเดินผ่านเขากลับไป

“ ขึ้นมาสอดรู้สอดเห็นอะไรไม่ทราบ? ”

นายนี่กำลังพาล และดูเหมือนจะโกรธ ฉันเองแม้จะไม่ชอบให้ใครมาว่า ในเมื่อจุดประสงค์ของฉันไม่ใช่มาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของใคร แต่จะทะเลาะกับคนที่ตั้งท่าจะขย้ำฉันนะเหรอ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์

“ จะขึ้นมาห้องสมุด ยัยดาราเคยบอกว่ามี ”

“ แล้วไปที่ห้องฉันทำไม ”

“ ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นห้องคุณ ” ฉันพยายามกลั้นโมโห

“ ทำไมไม่รู้จักถาม ”

ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่พยายามสงบใจจะเดินเลี่ยงไป

“ เดี๋ยว ”

“ จะบ้าเหรอ ” ฉันตวาดแว้ดเลยล่ะ “ ก็เห็นนัวเนียกันอยู่อย่างนั้น จะให้ฉันไปยุ่งเสนอหน้าถามเรื่องแค่นี้ได้ยังไง ”

หน้าบึ้งๆ ของนายโทนี่เปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะๆ

“ ก็นึกว่าจะเย็นได้แค่ไหน ความจริงเธอน่าจะโมโหตวาดใส่หน้ายัยนั่นมากกว่ามาทำตาขวางใส่ฉัน และอีกอย่าง ... เธอยุ่งได้ทุกเรื่อง แม้การเข้าไปในห้องฉัน ในเมื่อเธอเป็นเมียฉันแล้ว ”

ให้ตาย ... นายนี่แกล้งพูดยั่วโมโหฉันนี่

นายโทนี่เดินเข้าห้องตัวเองไปแล้ว และตอนนี้ฉันก็มายืนอยู่ในห้องสมุด และมันทำให้ฉันต้องยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ กว่าจะสงบใจ ห้องสมุดใหญ่พอประมาณ มีชั้นหนังสือเรียงรายแบ่งออกเป็นสองด้าน ปลายสุดของห้อง มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่สีส้ำตาลเข้ม บนโต๊ะ มีเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คตั้งอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร เมื่อฉันเดินไปใกล้ ก็เห็นว่ามีโซฟาวางหันหน้าออกไปด้านนอก เห็นวิวทะเลได้เลย

มันก็ใหญ่พอที่จะทำอะไรๆ ก็ได้นั่นแหละ (คิดอะไรทะลึ่งแล้วไหมนี่ฉัน?)

ความจริงใครมันจะทำอะไรกัน ก็ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่นา จะไปสงสัยทำไม

ฉันเริ่มสำรวจไปที่ละแถว กลิ่นอับและฝุ่นละอองมีให้เห็น แสดงว่าห้องสมุดนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก บางจุดแสงไฟก็เข้าไม่ถึง ฉันยังไม่ได้กำหนดว่าตัวเองต้องการอยากจะรู้เรื่องอะไร จึงเดินดูรายชื่อหนังสือที่เรียงรายกันอยู่เท่านั้น

ฉันเดินวนดูมันไปรอบๆอยู่นานทีเดียว หนังสือไม่ได้จัดเก็บอย่างถูกต้องเหมือนในห้องสมุด ไม่ได้มีเลขหมายอะไรในตัวหนังสือ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นก็คือ สติ๊กเกอร์สีต่างๆ ที่ติดอยู่ที่สันหนังสือ และคงเป็นเครื่องชี้บอกหมวดหมู่ในการเก็บหนังสืออย่างง่ายๆ กระมัง

และในท่ามกลางหนังสือที่มีสติ๊กเกอร์สีน้ำเงินที่เป็นหนังสือทางการแพทย์ ฉันก็เห็นหนังสือเล่มเล็กๆ มีสติ๊กเกอร์สีแดงติดอยู่ ก็เลยหยิบมันออกมา คงเพราะมันเก่ามาก พอหยิบออกมา ปกมันก็ขาด ตัวหนังสือหล่นแป้กลงพื้น ฉันหยิบมันขึ้นมาสอดใส่ปกก่อนจะอ่านชื่อหนังสือ แล้วฉันก็ยิ้มออกมาอย่างสงสัยและยินดี

คู่มือเขียนนิยายโรแมนติก.

ไอ้หนังสือประเภทนี้ก็มีที่นี่ด้วยเหรอ?

ฉันพลิกดูผ่านๆ ได้ไม่กี่หน้า แล้วจู่ๆ ไฟก็ดับวูบลง ห้องมืดไปเลย

ฉันยืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก แล้วต้องไอออกมา เมื่อได้กลิ่นอับๆ

“ อ้าว ! ยังอยู่ในนี้เหรอ ” มีเสียงพูด แล้วไฟก็สว่างขึ้น

ฉันไม่ตอบแต่ก็เดินออกจากมุมหนังสือนั้น พี่ชายยัยดารายืนอยู่ที่หน้าประตูสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ขายาว ท่าทางเหมือนจะออกไปข้างนอก

“ จะขึ้นฝั่ง เอาอะไรไหม? ”

ฉันสั่นหน้าไม่ตอบ

เพิ่งมาเมื่อวาน วันนี้จะไปอีกแล้ว (แล้วไปคิดยุ่งอะไรกับเขายัยพัด)

“ เตรียมไฟฉายหรือเทียนเอาไว้ด้วยนะ เผื่อไฟดับ ระวังอย่าเผาบ้านล่ะ? ”

เขาพูดแค่นั้นก็เดินออกไปเลย

คำพูดของเขา ไม่ได้จุดอารมณ์โกรธเคืองให้กับฉัน อาจจะเป็นเพราะฉันกำลังอารมณ์ดีกับการได้พบกับหนังสือ ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเขียนหนังสือของฉัน

 

…..

ลงมือเขียน

ลงมือเขียน

และลงมือเขียน

เฮ้อ ! …

พรุ่งนี้ จะเอาอะไรไปเขียนดีล่ะ?

 

:+:+:+:+:+:

 


ฟีลิปดา

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย ฟีลิปดา
ติดต่อ  philipda@forwriter.com

 

 


 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก

 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.