นักรบคู่แผ่นดิน
๘
ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายเหนือ
ค่ำคืนนั้นการเสียชีวิตของพระยาจันทร์ทำให้ทหารภายในเมืองตากต่างวิ่งวุ่นสาละวนกับการหาตัวคนร้ายที่ลอบสังหารพระยาจันทร์ ภายในเมืองปั่นป่วนวุ่นวายเป็นที่สุด หารู้ไม่ว่าผู้ก่อการได้หลบหนีไปแต่แรกแล้ว
ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ ขุนทวยเทพชุมนุมอยู่กับนักรบประมาณห้าร้อยคน ในที่รวมถึงทัพและรามด้วย ทุกคนต่างอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย ต่างพากันพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยามค่ำที่ผ่านมาอย่างออกรสออกชาติ
ขุนทวยเทพนั่งจับกลุ่มอยู่กับชนชั้นผู้นำประมาณหกคน คือ ขุนทวยเทพ ทัพ ราม สิงห์ ไม้ มั่น และหาญ รามแต่เดิมเป็นทหารภายใต้สังกัดของขุนทวยเทพ ออกรบร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา มีฝีมือในการรบจัดว่ายอดเยี่ยม ใช้อาวุธประจำตัวเป็นดาบสองมือ สิงห์รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทน ผมสั้นหน้าเหลี่ยมไว้เคราสั้น เป็นชาวบ้านป่าโมกข์ได้เจอกับรามเมื่อครั้งรามลาออกจากราชการกลับมาที่ถิ่นเดิม สิงห์เป็นนายพรานที่เก่งกาจใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ ไม้กับมั่นเป็นพี่น้องฝาแฝดทั้งคู่ เป็นชายกลางคนอายุ สามสิบสองปี รูปร่างสันทัด หน้าเกลี้ยงเกลาจัดเป็นหนุ่มรูปงามได้ เป็นทหารในสังกัดของรามรวมเป็นร่วมตายมากับขุนทวยเทพเช่นกัน ทั้งคู่ใช้อาวุธหลักคือกระบี่คู่ ส่วนหาญ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีแทนออกขาว ดวงตายาวรี จมูกเป็นสัน เป็นเสมือนมันสมองของรามแม้นว่าจะเป็นชนชั้นมันสมองแต่ก็มีความสามารถในการใช้ปืนยิ่ง เป็นเพื่อนกับรามมาแต่เล็กครั้งที่รามไปรับราชการในพระนครนั้น หาญก็เปิดสอนหนังสือให้เด็กในเมืองตาก เมื่อรามกลับมาถิ่นเดิมก็ชวนหาญมาเข้ารับราชการด้วย แผนการในคืนนี้ก็เป็นหาญเองที่วางแผนให้วางเพลิงเพื่อช่วยให้ภาระกิจสังหารดำเนินการได้อย่างราบลื่น
ขุนทวยเทพนั่งมองหน้าทุกคนรอบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า " หากพวกเรารวมตัวเกาะกลุ่มกันอยู่เยี่ยงนี้จะช้าหรือเร็วต้องถูกทางการหรือไม่ก็ศัตรูของเราตามพบแน่นอน ใครมีความเห็นอย่างไรบ้างรึ ? "
ไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามของขุนทวยเทพได้ เพราะคนห้าร้อยคน เมื่อยู่รวมกัน อย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยได้แน่นอน
หาญพลันกระแอม แล้วกล่าวว่า " กระผมว่า หากให้เราปกปิดร่องรอยของคนห้าร้อยคนคงทำไม่ได้แน่ แต่หากเปลี่ยนวิธีการคาดว่าคงพอทำได้ขอรับ"
ขุนทวยเทพมองหน้าหาญ จากนั้นกล่าวว่า "ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอกหาญ เอ็งกล่าววาจาได้อย่างเต็มที่"
หาญผงกศีรษะเล็กน้อยจากนั้นกล่าวสืบต่อว่า " คนห้าร้อยคน เราจำต้องแบ่งคนย่อยออกไป เพื่อให้การรวมกลุ่มกันไม่เด่นชัดจนเกินไป กระผมว่า ควรแบ่งเป็นห้ากลุ่ม กลุ่มละร้อยคน จากนั้นแยกย้ายกันไป ทุกกลุ่มคัดเลือกหัวหน้ากลุ่มไว้ติดต่อประสานงานกัน หากเป็นเช่นนี้ก็พอที่จะหลบรอดสายตาจากทางการได้ขอรับ"
ขุนทวยเทพยิ้มพลางกล่าวว่า " ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเอ็งไอ้หาญ แต่หากว่าแยกกลุ่มกันไป แล้วจะได้พบกันอีกรึ บ้านเมืองยิ่งวุ่นวายรวมกำลังพลเอาไว้ทำการต่อต้านพม่าด้วยกันไม่ดีกว่ารึไอ้หาญ"
หาญยิ้มพลางกล่าวว่า " นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่กระผมให้แย่งเป็นกลุ่มห้ากลุ่มขอรับ ทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการรับมือกับกองทัพพม่าขอรับ"
รามสอดคำขึ้นมา " เอ็งหมายความว่าอย่างไรวะ ไอ้หาญ"
หาญมองหน้ารามจากนั้นคนเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพไป เหมือนดังเป็นเกจิอาจารย์ผู้คร่ำเคร่งวิชาการสมรภูมิ กล่าวว่า " การศึกสำคัญที่สุดคืออย่าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามคาดคำนวณเราออกได้ หากแม้นเราอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน จะอย่างไรคือหนึ่งกองทัพ กองทัพเพียงกองทัพเดียวจะทำการใดก็ยากจะรอดพ้นจากหูตาของหน่วยสอดแนมข้าศึกได้"
ทุกคนนิ่งเงียบใช้ความคิดต่อคำพูดของหาญ หาญเห็นดังนั้น จึงกล่าวสืบต่อว่า "หากแม้นเราแยกกลุ่มออกเป็นห้ากลุ่ม อย่างน้อยเราก็มีห้ากองทัพ ถึงแม้นว่ามีกองทัพหนึ่งพลาดท่าเสียทีข้าศึก อย่างน้อยก็ยังมีอีกสี่ทัพที่เหลือคอยช่วยจุนเจือทำศึกต่อไป "
สิงห์พลันกล่าวว่า "ทัพละแค่หนึ่งร้อยคนไม่น้อยเกินไปหรือวะ ไอ้หาญ"
ขุนทวยเทพ พลันกล่าวว่า "ความแข่งแกร่งไม่ใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนคน แต่ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของทหารหาญ ใช่หรือไม่ไอ้ไม้ไอ้มั่น"
ไม้และมั่นตอบแทบพร้อมเพียงกันว่า " ขอรับท่านขุน"
ขุนทวยเทพพลันลุกขึ้นส่งสัญญาณให้นักรบทุกคน เป็นความหมายว่ามีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบกัน นักรบทุกคนหยุดสนทนากันจากนั้นหันมาฟังขุนทวยเทพอย่างตั้งใจ
ขุนทวยเทพกวาดตามองรอบบริเวณเที่ยวหนึ่ง สายตายามกราดมองส่อให้เห็นถึงแววตาของนักรบที่จงรักภักดีต่อแผ่นดินอย่างเปี่ยมล้น จากนั้นพลันกล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย ข้าขุนทวยเทพขอแสดงความขอบคุณจากใจจริงที่พวกเอ็งยอมทิ้งความสบายมาติดตามข้าอีกครั้ง"
เหล่านักรบโห่ร้องรับคำขอบคุณก้องฟ้า สักพักค่อยสงบลง
ขุนทวยเทพกล่าวต่อว่า " วันนี้กองทัพพม่าคิดรุกรานแผ่นดินอโยธยา วางแผนต่างๆนาๆเพื่อจะเอาอโยธยาของเราไป ข้าคือหนึ่งในลูกหลานแผ่นดินอโยธยา แม้นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพแล้ว แต่สายเลือดแห่งความเป็นอโยธยาของข้าหาได้จืดจางลงไม่ และข้าก็เชื่อว่า พวกเอ็งทุกคนคือสายเลือดเดียวกับข้า สายเลือดแห่งแผ่นดินอโยธยาเช่นกัน"
เหล่านักรบทั้งหลายไม่สามารถเก็บอั้นความรู้สึกได้ต่างระเบิดเสียงโห่ร้องอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเสียงโห่ร้องสงบลง ขุนทวยเทพกล่าวสืบต่อว่า " เป้าหมายของการรวมตัวของพวกเราคือการกวาดล้างกองทัพพม่าให้หมดสิ้นจากแผ่นดินอโยธยา ถึงแม้นว่าพวกเราจะมีเพียงแค่ห้าร้อยคน แต่ข้าเชื่อว่าเลือดทุกหยดของเราทุกคน หากนำมารวมกันย่อมต้องท่วมกองทัพพม่าให้ตายไปจากแผ่นดินของเราได้ ใช่หรือไม่"
นักรบทุกคนตอบรับเสียงดังกระหึ่ม บรรยากาศถูกเร่งเร้ามาถึงจุดสูงสุด ขุนทวยเทพจึงกล่าวต่อว่า " กองกำลังของเราจะคอยสกัดกั้น ขัดขวาง เข่นฆ่านักรบพม่าทุกคนที่เข้ามายังแผ่นดินของเรา ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้นว่าจักต้องแลกด้วยชีวิจ ข้าก็จะขอทำ ดังนั้นวันนี้ข้าอยากจะบอกทุกคนว่า เรา จะร่วมกันก่อตั้งกองกำลังต่อต้านพม่าขึ้น พี่น้องทุกคนพร้อมที่จะตายพร้อมกับข้าพื่อปกป้องแผ่นดินอันเป็นที่รักของเราหรือไม่"
เสียงตอบรับก้องดังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ขุนทวยเทพไม่รอให้เสียงสงบลงพลันกล่าวต่อว่า "พวกเราจักแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม กลุ่มละห้าร้อยคน แต่ละกลุ่มประจำจุดอยู่แต่ละตามเมืองสำคัญ มีหัวหน้ากลุ่มคอยดูแลและควบคุม ส่งข่าวสารถึงกัน ต่างคนต่างต้องช่วยกันฆ่านักรบพม่าให้ได้มากที่สุดตราบเท่าที่ลมหายใจของเรายังมีอยู่ กองกำลังของเราจะสลายไปก็ต่อเมื่อแผ่นดินอโยธยาของเราไร้ซึ่งนักรบพม่า หรือไม่ก็ชีวิตของเราจักหาไม่"
เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครา จากนั้นกลายเป็นเสียงตะโกนร่ำร้องว่า "ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน" กำลังขวัญของเหล่านักรบถูกปลุกปั้นถึงขีดสุด ขุนทวยเทพนั่งลง จากนั้นมองหน้าทุกผู้คน ยิ้มให้แล้วกว่าวว่า " ต้องลำบากพวกเอ็งแล้ว"
ภายหลังเหตุการณ์ลอบสังหารพระยาจันทร์ กองกำลังต่อต้านพม่าได้แยกย้ายกันออกไปประจำอยู่ตามหัวเมืองทางเหนือทั้งสิ้น โดยขณะนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ได้นำกองทัพรวมไพร่พลประมาณสองหมื่นคนล่องเรือทางน้ำมาถึงเมืองตาก ฝ่ายอโยธยามีการเตรียมการพร้อมรบทั้งทัพบกและทัพเรืออยู่ที่ อโยธยา มิได้เคลื่อนพลมาเตรียมพร้อมที่เมืองหน้าด่าน เพราะคาดว่าทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีจะเข้ามาตีทางด่านเจดีย์สามองค์
ค่ำคืนที่ท้องกระจ่างใส ดวงดาวต่างๆพากันโดนกลบรัศมีด้วยแสงจันทรา คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสาดส่องประกายสีเหลืองอำพันสะท้อนให้เห็นถึงความงามยามค่ำคืนที่ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบปาน แต่ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะสวยงามเพียงใด ก็มิได้สะท้อนให้เห็นถึงความวุ่นวายแห่งยุคสมัยต่างๆได้ มีเพียงสายลมยามค่ำคืนพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความวังเวงยามค่ำคืน
ด้านขุนทวยเทพและทัพได้คุมกำลังพลหนึ่งร้อยเศษคอยต้านทัพพม่าอย่างลับๆอยู่ที่เมืองตาก กองทัพต่อต้านพม่ามีหน้าที่หลักคือการปล้นสดมภ์ของกองทัพพม่า สังหารหน่วยสอดแนมที่เข้ามาล้วงความลับของฝ่ายอโยธยา ค่ำวันหนึ่งมีการหารือระดับผู้นำกลุ่มขึ้น โดยมีขุนทวยเทพกับทัพเป็นผู้นำ
ขุนทวยเทพกล่าวขึ้นก่อนว่า "เมื่อสามวันก่อน พระเจ้าเชียงใหม่ได้ยกทัพมาถึงเมืองตากแล้ว นอกจากนี้ทัพใหญ่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองก็เร่งยกทัพมาใกล้ถึงพระนครฯนัก หากเป็นเยี่ยงนี้ทางอโยธยาอาจพลาดพลั้งเสียทีได้"
บรรดาหัวหน้ากองไม่มีผู้ใดกล้าออกความคิดเห็น เพลานี้นักรบทุกคนต่างมีใจที่หนักอึ้งเพราะต่างนึกห่วงถึงแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิด อยากต่อสู้ปกป้องให้ถึงที่สุด แต่เสียดายที่อยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพช่วยเหลือบ้านเมืองได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ หากสามารถควักหัวใจแสดงความรักและหวงแหนต่อแผนดินได้เหล่านักรบคงทำกันไปแล้ว เสียดายแต่เพียงว่าชีวิตของพวกมันยังคงมีค่ามากนัก เพราะยังคงต้องสู้รบปกปักรักษาเมืองอโยธยาที่มันรักต่อไป คนเราเมื่อตั้งอุดมการณ์ไว้แล้วหากคิดจะหักหลังต่ออุดมการณ์ของตนเอง ก็คงไม่เหลือมโนธรรมในจิตใจอีกต่อไป
เมื่อทัพเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า " หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไปเราคงจักแย่แน่พ่อ จะอย่างไรพวกเราพานเข้าเฝ้าพระมหาธรรมราชาที่พิษณุโลกดีหรือไม่ขอรับ"
ขุนทวยเทพขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า " อืมม ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งพวกเราทั้งหมดจะเดินทางเข้าเมืองพิษณุโลก ต่างหาทางเข้าเมืองอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน หากว่าเกิดเรื่องใดจักได้รวบรวมพลเพื่อสู้รบได้"
หัวหน้ากองผู้หนึ่งกล่าวว่า " ท่านขุนขอรับ แต่ท่านขุนโดนตั้งค่าหัวอยู่นะขอรับ จะมิเป็นอย่างไรรึ"
ขุนทวยเทพ ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า " หากแม้นขุนพิเรนทรเทพรู้ว่าผู้มาเป็นข้า เรื่องราวก็คงง่ายดายยิ่งขึ้น" จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วสั่งว่า "ให้ทุกคนเข้าพักผ่อนวันพรุ่งจักออกเดินทางแต่เช้า ให้ทิ้งไว้เพียงหน่วยสอดแนมสิบคนเท่านั้น"
เมื่อเลิกประชุมแล้ว ทัพกับขุนทวยเทพยังคงหารือกันต่อ ทัพกล่าวว่า "พ่อ ท่านแน่ใจรึว่าจะไปยังพิษณุโลกหากแม้นไม่เป็นดังที่เราคาดการณ์ไว้ ทุกอย่างไม่พังสิ้นรึ"
ขุนทวยเทพถอนหายใจช้าๆกล่าวว่า " นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าให้ทหารทุกคน ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าเมือง เพราะว่า หากลุงของเจ้าไม่ยอมรับพวกเรา พวกเราได้แต่ตายในวังที่พิษณุโลกอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีทางอื่น ดังนั้นหากแม้นเราตาย เหล่าทหารที่มากับเราก็ยังมีโอกาสรอดได้ เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่"
ทัพก้มหน้าลง กล่าวเบาๆว่า " ข้าไม่ใคร่เชื่อใจท่านอาสักเท่าใด เมื่อตอนที่เขาได้รับอวยยศเป็นพระมหาธรรมราชา เราก็ไม่ได้เจอกับท่านอีก แล้วตอนที่ท่านพ่อโดนตั้งข้อหาว่าเป็นกบฎ ท่านอาก็หาได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่"
ขุนทวยเทพแหงนหน้ามองขึ้นฟ้ากล่าวว่า " ทัพ เจ้าอย่ามองโลกในแง่ลบนักเลย เชื่อข้าเถอะ จะอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติห่างๆกัน เจ้าไปเข้านอนได้แล้ว"
ทัพรับคำพร้อมกับก้าวจากไปยังกระโจมของตน ปล่อยให้ขุนทวยเทพยืนมองดาวบนท้องฟ้าเพียงลำพัง ในใจกลับคิดว่า หรือเพราะลาภยศสรรเสริญจะทำให้คนเราเปลี่ยนไปตลอดกาล
kawklai
© ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย kawklai
|
|