forwriter.com
 
Novel

 

นักรบคู่แผ่นดิน

 
๑๐

บทที่ ๔

เรื่องราวน่าตระหนก

 

เดชกับขุนทวยเทพใช้เวลาในการเดินทางหนึ่งเดือนจึงบรรลุถึงเมืองตาก ทั้งสองปลอมตัวเป็นพ่อค้าวานิช นำหน่อไม้เข้าไปขายในเมือง จึงสามารถผ่านด่านตรวจได้โดยสะดวก เมื่อเข้าเมืองมา ทั้งสองตกลงใจที่จะหาข่าวสารก่อนเป็นอันดับแรก จึงเลือกเข้าร้านอาหารที่มีคนมากมายร้านหนึ่ง หลังจากนั่งลงแล้วก็สั่งอาหารมารับประทานหลายอย่าง

ผู้คนในร้านต่างพูดคุยถึงเรื่องที่พม่าจะยกทัพบุกอโยธยา ยิ่งมากคนยิ่งหลายความคิดหลายคำพูด เดชกับขุนทวยเทพเห็นว่าคงไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นจึงลุกขึ้นหมายจากไป

ขณะเดียวกันก็ได้ยินเด็กรับใช้ประกาศว่า "ขออภัยที่ปล่อยทุกท่านรอนาน ตอนนี้ยอดหญิงแห่งเมืองเชียงใหม่ของเรา นามตาหวัน พร้อมที่จะมาขับกล่อมให้ทุกท่านได้รับฟังบทเพลงสุดยอด ณ บัดนี้แล้วขอรับ"

กลางร้านถูกจัดขยับขยายโต๊ะให้กลายเป็นเวทีกลางร้านชั่วคราวขึ้น มีการนำขิมมาวางเพื่อให้นางตาหวันได้เล่นบรรเลง ขับกล่อมผู้มานั่งกินภายในร้าน ขณะที่จัดวางอุปกรณ์พร้อมแล้วนั้นที่หน้าร้านบังเกิดเสียงอึกทึกวุ่นวายขึ้น เดชมองออกไปพบว่ามีขบวนขุนนางใหญ่เดินทางมาที่ร้านอาหารแห่งนี้

หลังจากเหตุการณ์ปั่นปวนของการมาถึงของขุนนางผู้นั้นสงบลงมีทหารเดินนำขบวนเข้ามาก่อน ประมาณสิบคน จากนั้นเป็นชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวภูมิฐานเหมือนคนในวัง หน้าเหลี่ยม คิ้วดกหนา ตากลมใหญ่ ดูมีอำนาจผู้หนึ่ง ยามเดินเข้ามา ได้กวาดสายตามองทุกผู้คนราวกับว่าทุกรายละเอียดภายในร้านไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของเขาได้

ขณะที่สายตาคู่นั้นกวาดมองมา พอดีประสบพบกับสายตาของเดชพอดี ทั้งสองจ้องกันครู่หนึ่ง จากนั้นละสายตามามองที่ขุนทวยเทพ พร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นชายคนนั้นจึงละสายตาจากไป พร้อมกับหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า กล่าวว่า "นางงามตาหวันมาเปิดการแสดงที่นี่ เหตุอันใดเจ้าของร้านจึงไม่ชวนเรามาชมดูรึ"

เจ้าของร้านรีบเดินเข้ามารับหน้า กล่าวลนลานว่า "ข้าน้อยขออภัยท่านพระยาจันทร์ เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านพระยาจะว่างหรือไม่ จึงไม่กล้าส่งคนไปรบกวนขอรับ หากท่านพระยาไม่ถือโทษ ข้าน้อยได้จัดที่ทางที่ดีที่สุดให้กับท่านพระยาแล้วขอรับ" เจ้าของร้านผู้นี้กลับมีวาจาคมคานัก ทั้งขออภัยและแสดงความใหเกียรติจากใจจริง

เมื่อพระยาจันทร์นั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏหญิงงามนางหนึ่งเดินมานั่งที่นั่งเพื่อจะแสดง นางอายุประมาณ สิบเจ็ดสิบแปดปี กริยาท่าทางของนางชวนให้ชายหนุ่มในที่นั้นลุ่มหลง ความอ่อนช้อยอ่อนโยนของนางชวนให้ผู้คนในบริเวณนั้นเวทนาสงสาร ผิวที่ขาวปานดั่งดอกมะลิ ตาที่กลมโต สอดรับกับคิ้วที่โก่งดั่งคันศรของนาง รูปหน้ารูปไข่รับกับคอที่ยาวระหง ผมของนางเกล้าเป็นมวยไว้บนศีรษะปักไว้ด้วยปิ่นรูปหงส์อย่างสวยงาม ทุกๆอย่างบนร่างกายนางสอดคล้องกันเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนไม่สามารถหาข้อตำหนิได้

เดชหาได้ใส่ใจกับความงามของนางตาหวันสักเท่าใดนัก เมื่อเดชกำลังจะลุกขึ้นหมายจากไปนั้น ขุนทวยเทพพลันส่งสายตาบอกให้เดชนั่งลงก่อน เดชจึงรีบนั่งลง เดชรู้ว่าพ่อของตนมิใช่บุคคลที่ลุ่มหลงความงามสตรี เมื่อรั้งอยู่ย่อมต้องมีเหตุผลอื่น

นางตาหวันเริ่มบรรเลงเพลง บทเพลงของนางดูออกเศร้าสร้อย ชวนให้ผู้คนนึกถึงชีวิตเด็กผู้หญิงที่รันทดคนหนึ่ง จากนั้น บทเพลงเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเด็กหญิงในตอนแรกนั้นสามารถยืนหยัดสู้ลมสู้ฝนได้ และสามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข บทเพลงขับขาน ผู้คนงมงาย มีเพียงเดช ขุนทวยเทพ และพระยาจันทร์ที่นั่งฟังบทเพลงอย่างมีสติ ไม่ลุ่มหลงงมงายไปกับเพลงที่ขับกล่อม

เมื่อนางตาหวันขับกล่อมบทเพลงจนจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเป็นเวลานาน ทั้งหมดปรบมือกันจนมือชาด้าน หลังจากที่การปรบมือจบลง เสียงปรบมือยังสะท้อนก้องอยู่ในหูไม่เสื่อมคลาย จากนั้น พระยาจันทร์จึงลุกขึ้นยืน พร้อมกับโค้งคำนับต่อนางตาหวัน นางตาหวันคำนับตอบด้วยกริยาอ่อนช้อย พร้อมทั้งชม้ายชายตาให้กับพระยาจันทร์ พระยาจันทร์หาเหลือบแลไม่ เดินตรงมายังโต๊ะของเดชกับขุนทวยเทพ เป็นเหตุให้นางตาหวันสะดุดต่อท่าทีไม่นำพาต่อหญิงงามของพระยาจันทร์และมองตามไปยังโต๊ะของเดช เมื่อมองเห็นเดช นางตาหวันกลับตาเป็นประกาย แต่ก็รู้ว่าเวลาแสดงของนางจบลงแล้วไม่ควรอยู่นาน จึงคารวะแขกเหรื่อแล้วเดินกลับเข้าที่พักไป

เมื่อพระยาจันทร์เดินมาถึงโต๊ะของเดชและขุนทวยเทพ จึงกล่าวว่า "พี่เทพจากมาสบายดีรึ?"

ขุนทวยเทพแย้มยิ้ม กล่าวว่า "พี่จันทร์ยังจำเราได้อีกรึ"

พระยาจันทร์สีหน้าผิดปกติอยู่บ้าง จากนั้นกล่าวว่า "พี่เทพคงหมายถึงเรื่องที่ท่านโดนตามล่าจากการเป็นกบฏกระมัง"

ขุนทวยเทพกล่าวเสียงแข็ง "ท่านก็รู้ว่าเราไม่ได้กบฏ หากแต่เป็นเพราะคนบางคนใส่ร้ายเรา"

พระยาจันทร์ พลันกล่าวว่า "ท่านก็รู้ว่าคนมักไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่ออยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้อื่น แต่หากวันนั้นท่านกลับลำมาอยู่ฝ่ายของเจ้าเมืองเชียงใหม่ เรื่องราวทั้งหมดมิใช่ดีกว่าเช่นตอนนี้รึ ถือว่าผู้น้องขอโทษก็แล้วกัน"

ขุนทวยเทพแค่นเสียงอย่างเย็นชา "หากข้าปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับเจ้า ตอนนี้ไยมิใช่เป็นคนขายเจ้าไปแล้วรึ" จากนั้นไม่รอให้พระยาจันทร์ได้มีโอกาสตอบคำถาม พลันถามต่อว่า "ท่านพระยาคิดว่า หากเราชักดาบลงมือ ณ บัดเดี๋ยวนี้ท่านใช่มีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่"

พระยาจันทร์ หน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย จากนั้น กล่าวว่า "ข้าพเจ้าคงจบชีวิต ณ ที่นี้แน่นอน เอาเช่นนี้เถอะ ข้าพเจ้าจะให้คนคุ้มกันส่งท่านออกนอกเมือง ป้องกันการลอบทำร้ายจากมือล่าสังหารที่ต้องการค่าหัวของท่าน"

ขุนทวยเทพลุกขึ้นยืน หัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า พร้อมกับกล่าวว่า "ข้า ขุนทวยเทพอยู่ที่นี่ หากนักฆ่าคนใดสนใจในหัวของข้าก็มาหยิบฉวยเอาไปเถอะ ข้าหาได้กลัวไม่ แต่รับรองว่ามันผู้นั้นต้องได้รับการตอบแทนด้วยชีวิต" เสียงกล่าวแม้ว่าจะไม่ตะโกน แต่ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ผู้คนในบริเวณหันหน้ามาดูนักรบผู้ไม่กลัวตายผู้นี้

ขุนทวยเทพ ถือเป็นขุนศึกที่เก่งกล้าสามารถ เที่ยงตรงและซื่อสัตย์เป็นที่รักใคร่ของเหล่าทหารทั้งหลาย แต่หลังจากเหตุการณ์การศึกที่สมรภูมิทุ่งมะขามหย่อง เขาถูกพระยาจันทร์กล่าวหาว่าเป็นไส้ศึกที่พม่าส่งมา พระมหาจักรพรรดิไม่ทรงเชื่อในเรื่องดังกล่าว แต่หากว่าขุนนางส่วนใหญ่อิจฉาในความสามารถและความที่เป็นคนสนิทของพระมหาจักรพรรดิ พระองค์จึงจำเป็นต้องส่งเรื่องให้ฝ่ายกบิลเมืองตัดสินความ ซึ่งแน่นอนว่า ขุนทวยเทพถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ ดังนั้นขุนทวยเทพจึงหนีการจับกุมเรื่อยมา จากนั้นพาลูกชายของตนหลบหนีทางการ แต่กระนั้นก็ยังคอยช่วยทางอโยธยาทำศึกอยู่เสมอ โดยมิได้บอกผู้ใด แต่ก็มีชาวบ้านที่ทราบความจริงคอยช่วยเหลืออยู่เป็นบางกลุ่ม

ขุนทวยเทพ หันมากล่าวกับพระยาจันทร์ว่า "ไอ้จันทร์ วันนี้ข้าเห็นแก่หน้าเอ็ง ข้าจักละเว้นชีวิตเอ็งเอาไว้ ข้าเข้าเมืองมาได้ ข้าย่อมมีปัญญาคุ้มครองตัวเองออกไปได้เช่นกัน" จากนั้นขุนทวยเทพชวนเดชเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้พระยาจันทร์ยืนอ้าปากค้าง ใครจะคิดว่าการเจรจาในวันนี้จะจบลงด้วยเหตุการณ์เช่นนี้



kawklai

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย kawklai

 

 


๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.