นักรบคู่แผ่นดิน
บทนำ
[...] นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อนำเสนอกลยุทธ์แผนการรบ แผนจารชนในสมัยสงครามกรุงศรีและพม่าก่อนการเสียกรุงครั้งที่หนึ่ง ทั้งนี้เพื่อให้คนไทยได้ทราบถึงความามารถทางทหารของคนไทย บางคนนิยมอ่านสามก๊ก เลียดก๊ก เพราะชอบกลยุทธ์ต่าง สำหรับประวัติชาติไทยนั้นก็มีนายทหารเก่งๆหลายนาย ผู้เขียนจึงขอนำช่วงเวลาดังกล่าวมาอ้างอิงในการเขียนละครเรื่องนี้ โดยตัวละครหลักเป็นตัวละครที่ผู้เขียนได้สร้างจากจินตนาการ และได้ไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ตัวละครหลักยังมีส่วนเกี่ยวพันกับตัวละครที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆด้วย หากผลงานชิ้นนี้มีข้อผิดพลาดประการใด โปรดแนะนำและวิจารณ์ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง
ผู้เขียน.......
บทที่ ๑
ขุนพลพ่ายทัพ
แสงแดดส่องรำไรกระทบผิวน้ำในบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้น ปลาใหญ่น้อยที่เลี้ยงไว้ต่างแหวกว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แสงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า ที่ริมบ่อน้ำเป็นตลาดขนาดย่อมที่มีทั่วไปตามรอบนอกของนครหลวง ในเวลานี้ผู้คนมากมายล้วนรีบเร่งเดินทางกลับบ้านของตนเอง ในตลาดขนาดย่อมนั้นมีร้านพักริมทางอยู่ร้านหนึ่ง มีผู้คนหลายคนจับจองนั่งอยู่เป็นจำนวนหลายโต๊ะ แต่มีชาย2คนกำลังนั่งพักที่ร้านริมทางอย่างเงียบงัน
. ชายผู้สูงอายุกว่ามีอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีดำมะเมื่อม ศีรษะล้านเลี่ยน สวมใส่เสื้อกั๊กสีแดงลงยันต์ที่หลังเสื้อประหนึ่งนักรบที่พร้อมจะเข้าสู่สงครามได้ตลอดเวลา ส่วนชายอีกคนเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุประมาณ สิบห้าสิบหกปี รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวประบ่า ลักษณะเด่นนี้ออกจะขัดกับผู้คนทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่นิยมไว้ผมสั้น ผิวขาวนวล หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอิสตรี เมื่อดูแต่ภายนอกแล้วคล้ายกับว่าไม่สามารถต้านทานแรงลมได้ แต่หากได้สังเกตถึงประกายตาแล้ว จะเห็นได้ถึงธาตุแท้ความเป็นลูกผู้ชายในตัวของชายผู้นี้ได้ทันที
. ผู้คนที่นั่งกินอยู่ในร้านพักริมทางนั้นมีอยู่โต๊ะหนึ่งมีผู้ร่วมโต๊ะประมาณสี่คน ทั้งสี่คนแต่งกายเช่นทหารในวังหลวง ท่วงท่าน่าเกรงขาม
. ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "หากแม้นว่าพระเจ้าหงสาวดียกทัพมาในวันสองวันนี้พวกเราคงไม่มีเวลาหอบหายใจแน่นอน"
ชายอีกคนหนึ่งจึงเสริมว่า "หากแม้นว่าพระมหาจักรพรรดิพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบช้างเผือกให้แก่พระเจ้าหงสาวดี คงไม่เกิดสงครามครั้งนี้กระมัง"
. ชายที่ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้ากลุ่มกลับพูดขึ้นมาว่า "ไอ้แดง เอ็งพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พระเจ้าอยู่หัวท่านคงจะดำริแล้วเห็นว่าแม้นว่าจะมอบช้างเผือกให้แก่พระเจ้าหงสาวดีหรือไม่มอบให้ อย่างไรพระเจ้าหงสาวดีก็คงยังยกทัพมารุกรานบ้านเมืองเราอยู่ดี เอ็งไม่ต้องว่ากระไรแล้วจะอย่างไรข้าก็เชื่อมั่นในพระดำริของพระเจ้าอยู่หัวท่าน"
. ชายคนที่นั่งเงียบพลันเอ่ยขึ้นมาว่า "พี่เขี้ยม ได้เวลาแล้วนะพี่ ก่อนอาทิตย์จะตกเราต้องไปเข้ากองแล้วนะขอรับ"
ชายทั้งสี่จ่ายเบี้ยแล้วลุกเดินออกไปอย่างรีบร้อน ในร้านคงเหลือแต่เพียงชายสองคนยังคงนั่งอย่างเงียบงัน
. ชายที่สูงวัยกว่าพลันลุกขึ้นยืนในมือถือดาบเล่มหนึ่งที่ด้ามดาบใช้เชือกสีแดงพันรอบด้ามไว้ ส่วนฝักดาบทำจากโลหะทองเหลืองทำให้ส่องประกายเหลืองอร่าม เขาพลันเหลียวหน้ามากล่าวกับชายหนุ่มว่า "ไอ้ทัพ เอ็งรั้งอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามข้าไป หากวันหน้าข้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเอ็งที่เมืองพิษณุโลกเอง"
. ทัพยังคงก้มหน้ามองน้ำชาในถ้วย แต่กล่าวว่า "พ่อ ท่านใช่คิดว่าข้าไม่สามารถรอดชีวิตจากการศึกครั้งนี้หรือไม่"
. ชายผู้เป็นพ่อทอดถอนใจคราหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วใช้สายตาที่เอ็นดูมองมาที่ทัพ แล้วกล่าวว่า "ทัพ ตัวพ่อเองในชีวิตนี้ได้ทำผิดพลาดไว้สองอย่าง หนึ่ง คือการที่ข้าได้ไปออกศึกที่สมรภูมิทุ่งมะขามหย่องพร้อมกับพระมหาจักรพรรดิ แต่ไม่สามารถปกป้องแม่อยู่หัว พระสุริโยทัยไว้ได้ ทั้งที่ข้าเป็นทหารประจำกองของพระองค์ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ การที่ข้าออกรบแล้วทิ้งเจ้ากับแม่ไว้ เป็นเหตุให้แม่ของเจ้าต้องตายเพราะถูกทหารพม่าย่ำยี เพียงแค่สองเหตุผลนี้ก็ทำให้ข้าไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป"
. ทัพรีบกล่าวว่า "พ่อ แต่ข้าอยากจะรบร่วมกับท่าน"
. ชายผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า "ข้าอยากให้เจ้าได้อยู่ต่อไป ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อบ้างเมือง ให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะสามารถทำได้ จงจำเอาไว้ ชีวิตของเจ้าเป็นของพระเจ้าอยู่หัวและแผ่นดินอโยธยา ข้ามองการศึกครั้งนี้แล้วคาดว่าอโยธยาของเราคงไม่อาจมีเปรียบพม่าแน่นอน"
. ทัพรีบกล่าวว่า "เมื่อท่านรู้ว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น เหตุอันใดพ่อจึงไม่ให้ข้าร่วมรบไปกับพ่อรึ"
. ชายผู้เป็นพ่อเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวรำพึงรำพันว่า "ในชีวิตข้า ขุนทวยเทพ ไม่เคยก้มหัวให้แก่ข้าศึกคนไหน วันนี้ข้ามิได้อยู่ในกองทัพของพระมหาจักรพรรดิ แต่ข้าขอทำตามเจตนารมณ์เดิม นั่นคือ ชีวิตข้าเป็นของกษัตริย์เป็นของแผ่นดิน ข้าพร้อมยอมตายเพื่อกำหราบข้าศึกผู้เป็นศัตรูของแผ่นดินอโยธยาให้สินซาก"
. ทัพลุกขึ้นยืนเคียงข้ากับขุนทวยเทพ แหงนหน้ามองท้องฟ้า กล่าวว่า "ชีวิตข้าเป็นของแผ่นดิน อโยธยาเช่นกัน นับแต่วันนี้ไปข้าจักทำทุกอย่างเพื่อแผ่นดินอโยธยา"
. พ่อลูกทั้งคู่หันหน้ามามองกัน ล้วนแต่เห็นแววตาที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของชายชาตินักรบที่พร้อมยอมตายเพื่อแผ่นดิน จะมีใครรู้ว่า พ่อลูกคู่นี้คือผู้ที่กุมชะตาชีวิตของเมืองอโยธยาเอาไว้
kawklai
© ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย kawklai
|
|