forwriter.com
 
Novel

 

นักรบคู่แผ่นดิน

 
๑๐

บทที่ ๖

เภทภัยมาเยือน

 

ยามวิกาลเริ่มมาเยือน ทัพและขุนทวยเทพแต่งกายชุดดำกลืนกับสภาพความมืดรอบตัว ทั้งสองรู้ว่าการปฏิบัติเจ้าการครั้งอันตรายถึงขั้นอาจเสียชีวิตได้ หากแม้นมีหน่วยอาวุธปืนสุ่มคอยดูหรือว่าเห็นเขาทั้งสองคน ทั้งสองคนคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงอรุณรุ่งเช้าแน่นอน ขุนทวยเทพพาทัพแอบลอบปีนกำแพงเมืองด้านทิศใต้เข้าสู่เมืองตาก

ยามพลบค่ำเช่นนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงนั่งคุยกันตามแคร่หน้าบ้าน หญิงสาวเก็บสำทับถ้วยชามเมื่อมื้อเย็น ลูกเล็กเด็กแดงพากันนั่งฟังคนเฒ่าคนแก่เล่านิทานให้ฟัง สภาพบรรยากาศเช่นนี้ทำให้ทัพกับขุนทวยเทพถึงกับรู้สึกหดหู่ เมื่อนึกถึงเวลาที่สองกองทัพอโยธยาและพม่าจะเข้าห่ำหั่นกัน ชาวบ้านเหล่านี้จะเป็นเช่นไร ใช่เป็นเหยื่อของสงครามหรือไม่

ทั้งทัพและขุนทวยเทพเคลื่อนกายอย่างคล่องแคล่วในความมืดจนมาถึงหน้าเคหสถานขนาดใหญ่ บ้านเรือนไทยทรงสูง ช้านหน้าบ้านกว้างขวางเชื่อมต่อด้วยทางเดินทอดถึงตัวบ้านรอบด้านอีกสี่มุม กลายเป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ สมกับเป็นที่พักอาศัยของบุคคลระดับพระยาจริงจริง บริเวณรอบบ้านมีเวรยามถือปืนเดินไปเดินมา เพ่นพ่านไปหมดทำเอาทัพกับขุนทวยเทพหันมามองหน้ากัน แล้วเช่นนี้ยังจะลงมือได้อีกรึ

ทัพกล่าวกับขุนทวยเทพว่า "พ่อ ชั้นว่าเราต้องเข้าทางหลังบ้านแล้วหละพ่อ ค่อยๆจัดการทีละคนจนกว่าจะเข้าถึงตัวไอ้จันทร์มัน"

ขุนทวยเทพใช้ความคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "นั่นเป็นแผนขั้นต่ำ เอาเยี่ยงนี้ เดี๋ยวข้าจะไปด้านหลังแล้วเจ้าลอบเข้าไปด้านข้าง ระวังอย่าให้ผู้ใดรู้ว่าเราลอบเข้ามา แล้วเจอกันที่เรือนซ้ายมือ ข้าว่าไอ้จันทร์มันคงอยู่ที่นั่น"

ทัพรับคำ ขณะที่ทั้งสองจะเริ่มดำเนินการนั้นพลันได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นที่กลางเมือง แสงไฟสว่างจ้าปานพระอาทิตย์ยามค่ำคืน ผู้คนเอะอะโวยวาย รีบวิ่งไปดูต้นเสียงของการระเบิดครั้งนี้ พระยาจันทร์ลุกออกมาจากเรือนแต่งกายพร้อมรบ ด้วยสภาพการแต่งกายเช่นนี้ถึงกับทำให้ทัพและขุนทวยเทพหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมา เพราะนั่นหมายความว่าพระยาจันทร์รู้อยู่แล้วว่าสองพ่อลูกทัพและขุนทวยเทพต้องมาลอบสังหารตน จึงได้เตรียมตัวได้พรักพร้อมเช่นนี้ นอกจากนั้น ที่ข้างกายของพระยาจันทร์ยังมีนักรบยืนเคียงข้างอีกสามคน ทั้งสามคนไม่ยอมห่างจากพระยาจันทร์แม้แต่น้อย การปรากฎตัวของทั้งสามคนนั้นทำเอาขุนทวยเทพถึงกับหน้าเสียไป

ทัพเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามว่า "มันสามคนเป็นผู้ใดรึพ่อ?"

ขุนทวยเทพกล่าวด้วยความเยือกเย็นว่า "ไอ้คนทางซ้ายมือ หัวโล้นตัวอ้วนๆนั่น ชื่อไอ้อ้วน เป็นทหารในสังกัดของไอ้จันทร์ตอนที่มันยังเป็นคุณพระอยู่ ใช้ขวานเป็นอาวุธ มีความดุดัน เลือดเย็น ฟังว่าก่อนมันจะมาเป็นทหารมันเคยเป็นโจรป่ามาก่อน ฝีไม้ลายมือน่าวิตกนัก"

ทัพฟังแล้วจึงถามต่อว่า "แล้วไอ้คนทางซ้ายที่ไว้หนวดรุงรัง หน้าเหลี่ยมๆ ตาโปนปานกระดิ่งตัวสุงใหญ่นั่นหละพ่อ"

ขุนทวยเทพตอบช้าๆว่า "นั่นคือพันชิด เป็นทหารสังกัดไอ้จันทร์เช่นเดียวกัน มันใช้ไม้พลองสั้นยาวเป็นอาวุธ มีความว่องไวสูง เก่งหมัดมวย เคยชนะเลิศหมัดมวยหน้าพระพักตร์มาแล้ว ฟังว่ามันได้ตายในสมรภูมิแล้วนี่นา เหตุอันใดจึงมาปรากฎกายที่นี่ ข้าก็ยังไม่รู้ได้"

ทัพหันไปมองหน้าขุนทวยเทพ เห็นความหวั่นวิตกในแววตา กล่าวว่า "แล้วคนสุดท้ายละพ่อ ที่ผมสั้นๆหน้าตา เฉกเช่นครูบาจารย์สอนหนังสือยิ่งนัก"

ขุนทวยเทพหันมามองหน้าทัพ แล้วกล่าวว่า "ไอ้นี่แหละที่น่ากลัวที่สุด มันผู้คอยชี้แนะ คอยเสนอแผนการต่างๆให้กับไอ้จันทร์ ถือว่าเป็นมันสมองของไอ้จันทร์เลยทีเดียว ข้าคาดว่าแผนใส่ร้ายข้าเพื่อให้ตัวมันได้เลื่อนขั้นเป็นแผนของไอ้หมื่นเมฆนี่แหละ"

ทัพขบฟันดังกรอด พึมพัมว่า "ข้าต้องฆ่ามันกับมือให้ได้"

พระยาจันทร์สั่งการให้ทหารและชาวบ้านช่วยกันดับไฟ จากนั้นตนเองและนายทหารทั้งสามที่คอยติดตาม เดินทางออกจากบ้านไปยังที่เกิดเหตุโดยใช้ม้าเป็นพาหนะ ทัพกับขุนทวยเทพ พากันยิ้มให้กัน ต่างรู้ว่าเวลาแห่งการลอบสังหารมาถึงแล้ว



kawklai

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย kawklai

 

 


๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.