ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยาย

 


สัมพันธ์แห่งเวลา

โดย แบงค์ี
 

 

4

ลมหายใจของอมรเริ่มสะดวกขึ้นแล้ว กลิ่นเหม็นสุดทนทานก็หายไป สายตาที่มืดบอดก็เริ่มมองเห็นภาพอย่างลางๆ ในห้วงสมองของอมรนั้นกลับมากระจ่างใสดุจเดิม ไม่มีเสียงใดๆอีกเลย

ผ่านไปเนิ่นนานทั้งอมรและอินทร์ต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ อินทร์พยายามหาคำตอบของเรื่องราวที่แปลกประหลาดนี้จากท่าทางของอมร อมรนั้นยังไม่หายจากอาการตื่นตระหนก สายตาเพียงจับจ้องที่พระธุดงค์เหมือนต้องการให้ท่านอธิบายเรื่องที่น่าขนลุกนี้

แต่รออยู่เนิ่นนานอมรยังคงไม่ได้รับคำอธิบายใดๆจากพระธุงดงค์เลยสักนิด ท่านยืนสำรวม สองตาหรุบลงต่ำ อากัปกิริยาที่สงบแตกต่างจากความรู้สึกของอมรที่กำลังสับสน

ผ่านไปอีกชัวครู่หนึ่ง พระธุดงค์ลืมตาขึ้นมา มองอมรอย่างช้าๆ ในแววตาแฝงแววเศร้าสลดที่ไม่อาจบอกได้ เหมือนต้องการสื่อความรู้สึกบางอย่างที่เจ็บช้ำรันทดต่ออมร อินทร์ที่ประคองอมรอยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็นความเศร้าสลดในแววตาท่าน แต่ทั้งอมรและอินทร์ต่างไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เพียงรอเวลาทั้งท่านจะบอกออกมาเท่านั้น

ในที่สุดท่านก็พูดขึ้นว่า

“ โยม โยมทั้งสองฟังคำที่อาตมาจะพูดต่อไปนี้ไว้ให้ดีน่ะ มันอาจเป็นเรื่องที่โยมไม่เข้าใจ แต่นั่นก็เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น เมื่อวังวนแห่งเวลามันเคลื่อนมาถึง คำพูดที่อาตมาบอกออกไปในวันนี้มันจะช่วยโยมทั้งสองให้พ้นจากความทุกข์ที่กัดกร่อนจิตใจได้ ”

อินทร์และอมรได้ยินดังนั้นก็นั่งคุกเข่าพนมมือ พระธุดงค์หลับตาลงอย่างช้าๆ พูดต่อว่า

“ อนาคตหรือปัจจุบันสิ่งใดคือความจริง ที่ที่โยมทั้งสองยืนอยู่อาจเป็นอนาคตที่แสนไกล หรืออาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้านั้น จงเข้าใจมันไว้เถิดว่ามันอาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตกาลก็ได้ สิ่งที่อาตมาคิดจะบอกนั้น อาตมาได้บอกโยมทั้งสองแล้ว เหลืออยุ่ที่โยมทั้งสองแล้ว ว่าจะกำหนดอนาคตของโยมทั้งสองอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่อาตมาอยากจะฝากไว้ให้ระลึกเสมอนั้นก็คือ จงเชื่อใจกันและกันปล่อยปล่อยให้ภาพลวงตาชักนำให้ผิดหมอง ”

คำพูดที่แปลกประหลาดยากเกินเข้าใจของพระธุดงค์นั้น อินทร์และอมรต่างมึนส์งงสงสัยยิ่งนัก ไม่ว่าทั้งสองจะขบคิดในความหมายที่แฝงอยู่เช่นไรก็ไม่อาจเข้าใจได้

ท่านทราบอะไร ?? ท่านรู้เรื่องราวอะไรของทั้งสองคนกันแน่ ?? ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวท่านเอง ทำไมท่านถึงไม่บอกออกมา

อินทร์และอมรต่างครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตีความหายของมันไม่ออก ได้ยินเสียงพระธุดงค์พูดว่า

“ เอาละ โยมทั้งสอง ถึงเวลาที่อาตมาจะต้องลาแล้ว ...... แต่นี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะพบกัน ฟันเฟืองแห่งกาลเวลาเคลื่อนมาถึงเมื่อใด เมื่อนั้นอาตมาจะกลับมาอีก ลาก่อน ”

ทันทีที่ท่านพูดจบก็หันหลังเดินกลับไป อินทร์และอมรต่างไม่กล้าฉุดรั้งท่านไว้เพื่อคลี่คลายปัญหาให้ตัวเอง เห็นเพียงเงาหลังของท่านเดินอย่งแช่มช้า ผ่านหมู่ไม้ แล้วหายลับไปอย่างเลื่อนลอย


อินทร์และอมรนั่งตะลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งขึ้นอยู่เนิ่นนาน ต่างหันมาสบตากันอย่างไม่รู้ความหมาย ทั้งสองไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามไถ่กันด้วยซ้ำ

ทั้งสองรู้ตัวแล้วว่าไม่ควรชักช้าอยู่ที่นี้อีกต่อไป จึงลุกขึ้นหยิบไฟฉายและเดิน ต่อไปตามทางน้อยนั่นอย่างรวดเร็ว เพียงหวังจะพบผู้คนเพื่อลดความวิตกกังวลในตอนนี้เท่านั้นเอง

เดินกันเพียงไม่นาน ข้างหน้านั้นก็ปรากฏแสงไฟให้เห็นวับๆวแวมลอดมาตามโค้งของทางน้อย ส่งสัญญาณให้ทั้งสองรู้ว่า มีเต๊นซ์ประจำการของผู้วิจัยอยู่ที่นั่น ต่างรีบเดินกันอย่างรวดเร็วแม้ไม่อาจวิ่ง แต่ความเร็วนั่นไม่ต่างกับการวิ่งเท่าไรเลย

ทันทีที่เลี้ยงผ่านโค้งออกมาภาพข้างหน้ากระจ่างตา แสงไฟจากหลอดไฟสปอตไลท์ที่มาจากเครื่องปั่นไฟสาดส่องไปทั่วบริเวณโดยรอบ มองเห็นเต๊นท์ทั้งหลายเรียงรายอยู่เบื้องหน้า มีผู้คนอยุ่ 7-8คน กำลังจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่และบางส่วนทำงานของตนอย่างสบายอารมณ์

ที่กึ่งกลางของเต๊นท์นั่นเว้นที่ว่างเอาไว้เป็นลานกล้าง จอดไว้ด้วยรถตู้และรถขนสัมภาระอยุ่หลายคัน
รอบด้านล้อมรอบด้วยเต็นท์ทำงานและเต๊นท์ที่ผักผ่อน

ทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆเผื่อมองหาเพื่อนสนิท ทันใดปรากฏเสียงเรียกทั้งสองดังขึ้นว่า

“ อ้าว...... นั้นใช่คุณอินทร์และอมรใช่มั้ย ”

เสียงเรียกดังออกมาจากกลุ่มคนที่นั่งคุยกันอยู่ สายตาทุกคู่หันมามองทั้งสองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงปรากฏบุคคลผู้หนึ่งเดินออกมาร้องทักทายว่า

“ คุณอินทร์กับคุณอมรใช่มั้ยนั้น .... เป็นไงมาไงล่ะครับเนี่ย ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงรถเลย ”

ชายร่างสันทัด ผิวดำแดงผู้หนึ่งเดินออกมาหาอินทร์และอมรอย่างรวดเร็ว ท่าทางดีใจไม่น้อยที่พบทั้งสองในสถานที่นี้

“ ผมกำลังรอคุณทั้งสองอยู่พอดีเลยครับ คุณพันตอนนี้ออกไปสำรวจตั้งแต่เย็นยังไม่กลับมา เค้าสั่งผมว่าถ้าคุณทั้งสองมาให้ต้อนรับไว้ก่อนน่ะคับ นี่ก็ใกล้ 3ทุ่มเข้าไปแล้ว คงใกล้มาถึงแล้วล่ะครับ มาเถอะนั่งกับเราก่อนสิครับ ”

อินทร์และอมรหันมามองหน้ากัน เป็นความหมายว่า “ ตอบมันไม่ทันเลยวุ้ย ”

ทั้งสองยิ้มทักทายและบอกเล่าเรื่องราวที่รถของตัวเองติดหล่มไว้ และต้องการให้คนไปช่วยลากรถขึ้นมาให้หน่อย ชายผู้นั้นได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า

“ โอ้โห นี้คุณสองคนเดินมาจากจุดนั้นเลยรึครับเนี่ย มันไกลน่าดูเลยน่ะ คงจะเหนื่อยล่ะ ไม่ต้องห่วงน่ะครับ ที่นี้เรามีรถลากอยู่เดี๋ยวผมจะส่งคนไปลากมาให้คับ อ้อ ลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อ วิทย์น่ะครับ เป็นเพื่อนกับพันเมื่อคอนที่เข้าทำงานที่กระทรวงน่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ”

วิทย์นำทั้งสองมานั่งพักที่เก้าอี้ ส่วนตัวเองก็เดินไปสั่งคนงานให้ไปลากรถมาให้ ทันทีที่ทั้งสองเข้ามานั่งที่กลุ่มนั้นก็มีคนทักขึ้นว่า

“ สวัสดีครับคุณอินทร์ คุณอมร ผมชื่อ เอกน่ะครับ นั่งพักคุยกับพวกเราก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวพันก็มาแล้ว ”

อินทร์และอมรต่างยิ้มเล็กน้อย แต่ทั้งสองในตอนนี้ไม่อารมณ์ที่จะพูดอะไรมากมาย จึงเพียงแต่นั่งฟังคนเหล่านนั้น แนะนำตัวและคุยเรื่องต่างๆ

คนเหล่านั้นเห็นอินทร์และอมรเดินมาเหนื่อยจึงไม่รบกวนต่างคุยกันเรื่องที่ค้างไว้ต่อ


ผ่านไปเนิ่นนานที่ทั้งสองต่างนั่งไม่พูดไม่จา แต่ล่ะคนต่างมีความคิดต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งประสพเข้า
ต่างครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงจุดจบและต้นกำเนิดของเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร เค้นสมองจนปวดระบมเช่นไร สิ่งที่เหนือสามัญสำนึกนี้กลับมืดทะมึนยิ่งนัก

ห้วงความคิดความรู้สึกของอินทร์ล่องลอย หมุนวนเวียนอยู่ในอากาศ แสงจันทราและดาวเดือนสะท้อนระยิบระยับ ท่ามกลางท้องฟ้าที่กว้างไพศาลนั่น ปรากฏใบหน้าหญิงสาวสะคราญโฉม ส่งยิ้มน้อยๆมาทางอินทร์ที่กำลังบินวนเวียนอยู่ที่นั่น

หญิงสาวยื่นมือออกมาจับมืออินทร์เอาไว้ ต่างหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข ลมหายใจไอรักที่อุ่นระอุส่งผ่านถึงกัน ห้วงเวลาแห่งอดีตกาลย้อนกลับมา ไม่มีสิ่งใดจะลบเลือนความรู้สึกที่อินทร์มีต่อหญิงสาวผู้นี้ได้

ทั้งสองหยอกเย้ากันอยุ่เนิ่นนาน ผ่านเวลารอบข้างอย่างช้าๆ ทุกสิ่งเหมือนกำลังหยุดนิ่ง และมองดูคนทั้งสองอย่างมีความสุข

ผ่านเวลาไปเนิ่นนาน หญิงสาวพลันหายลับไปจากภาพเบื้องหน้า หมู่เมฆและดาวเดือนทั้งหลายกลับสว่างขึ้นในพริบตา ท้องฟ้าสีน้ำเงินแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลุกหูลูกตา ให้ความรู้สึกที่เดียวดายเหลือเกิน ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เหตุใดจึงมีเพียงเราที่เดียวดาย.......

ใบหน้าน้อยๆของเด็กทารกชายพุดขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้านั่นเอง เด็กทารกที่น่ารักน่าเอ็นดู กำลังร้องไห้ร่ำร้องหาบิดามารตาของตนอยุ่

อินทร์เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว โอบอุ้มทารกขึ้นมาไว้ในอ้อมอก เมื่อพิจารณาหน้าตาแล้ว นี้คือ ลุกชายสุดที่รักนั่นเอง ลูกชายเพียงคนเดียวที่ วันนา ฝากไว้ก่อนจากไป

เด็กทารกยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด และดิ้นรนออกจากอ้อมออกผู้เป็นบิดา อินทร์เห็นเข้าดังนั้นก็พูดออกมาว่า

“ น้องบีม น้องบีม จำป๊าไม่ได้แล้วเหรอ น้องบีม ป๊าอยู่นี่น่ะ หิวแล้วเหรอ รอเดี๋ยวน่ะ เดี๋ยวป๊าจะเอานมให้ ”

พูดเสร็จก็หันซ้ายมองขวามองหาขวดนมของลูกรักว่าอยู่ที่ใด แต่มองหาเช่นไรก็ไม่พบ กลางทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตานี่ มีเพียงความว่างเปล่า

อินทร์เริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว ทารกในอ้อกอกก็ดิ้นรนรุนแรงมากขึ้น น้ำหนักของทารกเริ่มหนักขึ้นทีล่ะน้อยๆ อินทร์รู้สึกดังนั้นก็หันกลับมามองทารกอย่างรวดเร็ว

ทันใด ใบหน้าทารกแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นเด็กชายวัย 10-12ปี คนนั้น เด็กชายที่เคยพบที่ไหนซักแห่ง .....นึกไม่ออก

อินทร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่มือที่อุ้มลูกไว้นั้นกลับไม่ยอมปล่อยออก ยังคงโอบอุ้มเอาไว้เหมือนเดิม อินทร์ร้องถามขึ้นว่า

“ เธออ ...... นี่เธอเป็นใคร น้องบีมล่ะ น้องบีมอยุ่ไหน ตอบมาเดี๋ยวนี้ เธอพาน้องบีมไปไหน! ”

ใบหน้านั่นกลับไม่ตอบสิ่งใดเลย ยังคงจ้องมองมาที่อินทร์อย่างไม่กระพริบตา มือของทารกนั้นกลับเลื่อนขึ้นมาอย่างช้า ๆ พยายามที่จะสัมพัสใบหน้าของอินทร์

อินทร์กลับไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง กลับไม่อาจเบือนหน้าหลบหนีมือนั่นได้ ทันทีที่มือนั่นใกล้จะสัมพัสใบหน้าอินทร์นั่นเอง แว่วเสียงของอมรดังขึ้นว่า

“ อินทร์ อินทร์! เฮ้ย ได้ยินรึเปล่า ”

อินทร์สะดุ้งขึ้นทันที ลืมตาขึ้นมามองอมรซึ่งกำลังมองมาอย่างสงสัย แล้วหันมองรอบด้านอย่างตื่นตะหนก รอบๆยังมีกลุ่มคนนั่งคุยกันอย่างออกรส ทุ่งหญ้าที่เห็นนั้นเพียงแค่ฝันไป ภาพต่างๆที่เห็นนั้นเป็นแค่ความฝัน อินทร์รำพันกับตัวเองในใจว่า

“ โอ..... นี่เราฝันร้ายอีกแล้วงั้นเหรอ แปลกจังทำไมถึงฝันถึงเด็กนั้นอีกล่ะเนี่ย ”

อมรเห็นอินทร์หลังจากตื่นขึ้นกลับก้มหน้าครุ่นคิดคนเดียวต่อ ก็แปลกใจ จึงลุกขึ้นและชักชวนอินทร์ออกไปหาเครื่องดื่มกันหน่อย เหตุผลเพื่อหาเวลาคุยเรื่องที่ผ่านๆกันอย่างสงบ

อินทร์ได้ยินอมรพูดดังนั้นก็รู้ใจ ลุกขึ้นและขอตัวผู้คนรอบข้างเพื่อออกไปหาเครื่องดื่ม

วิทย์เห็นทั้งสองดังนั้นก็พูดขึ้นว่า

“ มีกาแฟ และ เบียร์อยุ่ในเต๊นท์ทางซ้ายมือน่ะครับ ต้องการอะไรก็เลือกเอาได้เลยครับ ”

อินทร์ขอบคุณและเดินไปกับอมรอย่างช้าๆ ต่างมองหาทำเลที่เงียบสงบภายในจุดสำรวจเพื่อนั่งคุยกันให้กระจ่าง

ทั้งสองเดินไปหยิบเบียร์ติดมือมาคนล่ะกระป๋อง แล้วเลือกทำเลที่นั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งอยุ่ไม่ไกลจากกลุ่มคน ต่างพากันทรุดนั่งลงอย่างช้าๆ หลังจากดื่มเบียร์กันคนล่ะอึก อมรก็เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอยว่า


“ คิดว่าไง ?”

อินทร์นั่งเงียบไม่พูดจา เพียงจับจ้องอยู่ที่กระป๋องเบียร์ในมือ อมรก็ถามขึ้นอีกว่า

“ คิดอะไรอยู่น่ะ ลองบอกออกมาหน่อยสิ ”

อินทร์ตอบอย่างเฉื่อยชาว่า

“ ไม่มีอะไร แค่เรื่องเก่าๆน่ะ ”

“ วันนางั้นเหรอ ??”

อินทร์นิ่งเงียบไม่ตอบคำ เพียงรู้สึกคำถามของเพื่อนรักผุ้นี้ช่างรู้ใจเหลือเกิน อินทร์คิดถึงวันนา แต่ ที่ฝังในใจตอนนี้กลับเป็นภาพเด็กชายคนนั้น เงียบอยุ่เนิ่นนาน อมรจึงพูดขึ้นว่า

“ อินทร์ พูดก็พูด เกี่ยวกับวันนา เราคงช่วยอะไรมากไม่ได้ เป็นหน้าที่ของนายเองแหละว่าจะจัดการเรื่องความรู้สึกนี้ยังไง แต่อยากจะบอกน่ะ ที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ที่ยังเหลืออยุ่ก็อย่าทำให้พลาดอีก เท่านั้นแหละ อย่าลืมเรื่องน้องบีมซะล่ะ นั่นคือสิ่งที่นายควรเอาใจไปไว้แล้วล่ะ วันนา ไม่กลับมาอีกแล้ว ..... ”

อมรก็พูดต่อไปว่า

“ เอาล่ะ อินทร์ ...... ฟังให้ดีน่ะ ตั้งสมาธิหน่อย ข้าจะเล่าเรื่องที่ข้าเจอวันนี้ให้ฟัง อินทร์ ..... ได้ยินรึเปล่า ”

อินทร์เพียงพงกหัว พูดออกมาเบาๆว่า “ ฟังอยู่ ” อมรได้ยินดังนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้เจอให้อินทร์ฟังอย่างตั้งใจ

สิ่งต่างๆที่อมรได้เจอมา เริ่มถ่ายทอดให้อินทร์ฟังอย่างช้าๆ ทุกถ้อยคำบรรยายเรื่องราวอย่างน่าขนลุก
อินทร์ก็ฟังอย่างตั้งอกตั้ใจ ทันทีที่อมรเล่าจบอินทร์ก็แทรกขึ้นมาว่า

“ ไม่น่าเชื่อ..... นี้จริงเหรอ อมร นายเจอเรื่องนี้จริงๆเหรอ ” อินทร์ถามอย่างคลางแคลงใจ

“ อืม ก็ไม่รู้จะโกหกทำไมนี่ แล้วนายล่ะคิดว่าเรื่องเป็นยังไง บอกความคิดออกมาหน่อยสิ ” อมรถามอินทร์ออกไป

อินทร์ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าครุ่นคิดอยุ่คนเดียวเนิ่นนาน แววตาเหมือนกำลังวิเคราะห์เรื่องบางอย่างจากการที่ได้ฟังอมรเล่าออกมา ผ่านไปพักหนึ่งอินทร์ก็เงยหน้ามามองอมรแล้วพูดว่า

“ อมร ฟังที่ข้าจะบอกไว้ให้ดีน่ะ นี่คือสิ่งที่ข้าเห็น ไม่ได้แต่งเติมเรื่องราวใดๆสักนิดเลยเอาล่ะ... ”

“ อืม ”

“ ในทีแรก ข้ากำลังคุยกับพระธุดงค์รูปนั้นอยุ่ แต่ทันทีที่ท่านสังเกตุความผิดปกติได้ ข้าจึงเรียกนาย
เหตุการณ์ตอนนั้นยังจำได้ใช่มั้ย นั่นแหละหลังจากที่นายพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ แล้วพูดไม่จบตัวนายก็มีอาการแปลกๆทันที ”

อมรกำลังฟังอินทร์เล่าอย่างตั้งใจ อินทร์เล่าต่อว่า

“ นายนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นนานมาก แล้วหลังจากนั้น มือทั้งสองข้างเริ่มเลื่อนขึ้นมาปิดหน้าอย่างช้าๆ แล้วก็บีบเข้าเต็มแรง จนข้าตกใจ แล้วก็ล้มลงไปนอนชักกระตุกอยุ่บนพื้น ข้าประคองนายขึ้นมา พยายามแกะมือออก แต่ทำยังไง นายก็ไม่รู้สึกตัวซะที จนข้าเห็นว่าแย่แล้ว นายเริ่มหายใจติดๆขัดๆ เริ่มดิ้นรนทุรนทุราย ”

อมรได้ยินอินทร์พูดดังนั้นก็เบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ คิดจะถามออกมา แต่อินทร์ตัดบทซะก่อนว่า

“ เดี๋ยวยังไม่จบ..... พอเหตุการณ์เป็นแบบนั้น อยุ่ๆพระธุดงค์ท่านนั้นก็ ท่องบทสวดอะไรสักอย่างออกมา ท่านท่องวนไปวนมาอยุ่หลายรอบเลยล่ะ หลังจากนั้นอาการของนายก็หยุดลง มือก็เริ่มคลายออกเอง
แล้วเรื่องหลังจากนั้นก็ที่เรารู้น่ะแหละ ไม่มีอะไรแล้ว ”

อมรนิ่งอึ้งไป ตะลึงกับเรื่องที่อินทร์เล่าออกมาเมื่อครู่ ในใจนั้นคิดขึ้นว่า

‘ นี้มันอะไรกัน นั้นมือของเราเองงั้นเหรอ แปลก ! แปลก เหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเนี่ย ???'

อินทร์เห็นท่าทีของอมรดังนั้นก็ย้ำอีกว่า

“ อมร นี่เรื่องจริงน่ะ ข้าไม่หลอกให้นายกลัวแน่ๆ เชื่อข้าเหอะ ข้าเองยังตกใจเลย ”

อมรหันมามองหน้าอินทร์อย่างสงสัย แล้วถามขึ้นว่า

“ แล้วพระท่านนั้นล่ะ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นท่านมีอาการหรือพูดอะไรบ้าง ”

อินทร์ตอบว่า

“ ไม่มี ท่านเพียงจ้องมองนายเท่านั้นแหละ เอ้อ มีๆแต่ก็แค่อาการตื่นตระหนกเฉยๆ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ”

ความคิดของอมรยิ่งเตลิดออกไปมากกว่า ตอนนี้เรื่องทั้งหลายกระจ่างแล้ว แต่สุดท้ายแล้วมันยังขาดส่วนที่เหลือ คือ หมายความในคำพูดของพระรูปนั้น นี้คือกุญแจสำคัญ แต่ก็นั่นแหละ ในตอนนี้ไม่มีใครที่จะเข้าใจเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว

ทั้งสองนั่งคุยกันต่ออีกสักพักนึง ในเวลาใกล้ๆจะ สามทุ่มครึ่งแล้ว เสียงรถยนตร์ก็ดังขึ้นจากในป่าด้านหลัง วิ่งเข้ามาใกล้เต็นท์ที่พักเรื่อยๆ

 

 

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย แบงค์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 


ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.