ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยาย

 


สัมพันธ์แห่งเวลา

โดย แบงค์ี
 

 

2

ยามนี้แสงอาทิตย์ยาวเช้าส่องต้องทุกหนแห่ง ผู้คนเริ่มทำมาหากิน พระจากวัดต่างๆเริ่มกลับจากเดินบิณฑบาต ชายหนุ่มหายสะลึมสะลือแล้ว ลุกจากที่นั่งพาลูกน้อยไปอาบน้ำเปลี่ยนซื้อผ้า แล้วง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้า พอเริ่มต้นๆ 10โมงเช้าทุกอย่างก็เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงมายืนอยู่ที่หน้าระเบียง จับตามองที่ท้องถนนซึ่งตัดออกมาจากตัวเมืองด้านหน้านั่นเอง เหมือนชายหนุ่มนั้นรอคอยผู้ใดอยู่

ไม่นานปรากฏรถยนตร์สีดำแล่นจากถนนลูกรัง เลี้ยวผ่านโค้งออกมาจากหมู่บ้าน ตรงมาตามทางน้อยสู่บ้านชายหนุ่ม ทันทีที่รถจอดปรากฏชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถยนตร์

ดูไปผู้ลงจากรถนั่นอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกัน รูปร่างสูงใหญ่ไม่น้อย ผิวสีเหลืองขาว ดูมีชาติตระกูลอยู่บ้าง แว่วเสียง เรียกออกมาว่า

“ ว่าไง ท่านอรหันต์! จากเมืองกรุงมาอยุ่ชนบท ลาโลกไปเลยน่ะ ดูซิ ไปซื้อของที่ร้านค้านี่ คนขายเข้าใจผิดหมด “

ผู้มาใหม่ เดินขึ้นบ้านมาอย่างช้าๆ ในมือ ถือของใช้ของเด็กแรกเกิดอยู่หลายอย่าง

ทั้งสองต่างนั่งลงที่โต๊ะอาหารคุยพลางสนทนากันพลาง คำพูดต่างๆแสดงถึงความสนิทสนมกันมานาน

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านนั้น ชื่อว่า อินทร์ ส่วนผู้มาเยือนนั้น ชื่อ อมร

ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่วัยเรียน อินทร์นั้นจบการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ส่วนอมร เรียนไม่จบจึงหันมาจับงานทางด้านค้าขายของเก่า เปิดกระมูลของเก่า ซึ่งทำรายได้ดีไม่น้อย

วันนี้ทั้งสองนัดเจอกันเนื่องจาก อมรได้ส่งข่าวมาถึงอินทร์ว่ามีการค้นพบวัตถุและโครงกระดูกโบราณทางประวัติศาสตร์ที่จังหวัด พิษณุโลก จึงมาชักชวนอินทร์ไปชมดู ซึ่งอินทร์นั้นก็สนใจทางด้านนี้อยู่แล้ว

“ พิษณุโลกเหรอ ? อืม มันน่าสนใจไม่น้อยเลยน่ะนี่ เมืองหลักๆของสมัยอยุธยาด้วย แต่ว่าอมร คราวนี้มีใครมั่งล่ะที่ไปสำรวจที่นั่นแล้ว พอรู้มั่งมั้ย ” อินทร์ถามออกมาช้าๆ

“ อืมมม พูดก็พูดน่ะ เรื่องคราวนี้ยังเป็นความลับอยู่ ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย นอกจากคนที่ไปค้นพบมันเข้า ก็คือ ไอ้พันนั้นแหละ เห็นว่า ตั้งแต่นั้นก็ไม่หลับไม่นอน ไม่ทำอะไรเลยด้วย ฮ่าๆ ” อมรตอบติดตลกอย่างสนุกสนาน

หากจะพูดถึงเมืองพิษณุโลกนั้น ถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญเมืองหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเลยทีเดียว เนื่องจากประวัติของเมืองนี้ เป็นสถานที่พำนักของพระมหาธรรมราชาหรือออกญาพิษณุโลก และเป็นสเหมือนบ้านเกิดของสมเด็จพระเนศวรมหาราช เมื่อมีการค้นพบในจังหวัดพิษณุโลกนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์อย่างสำคัญยิ่ง

หลังจากที่อินทร์และอมรหารือในเรื่องรายละเอียดกันอยุ่สักพักนึง ก็ตกลงกันว่าจะนำลูกน้อยไปฝากไว้ที่ บ้านพ่อแม่ฝั่งภรรยาของอินทร์ ที่ในตัวเมืองพิษณุโลกแล้วค่อยเดินทางกันต่อไป ทั้งสองต่างเก็บข้าวของเตรียมพร้อม

บ่ายกว่า ก็เริ่มออกเดินทาง ทั้งสองเดินทาง ขับรถยนตร์ไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าใดนัก เนื่องจากคิดกันแล้วว่าวันนี้อาจต้องพักกันก่อน หรือไม่ถ้าหากไปถึงที่สำรวจทันก็คงมืดแล้วแน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

เมื่อเริ่มมืด ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ต่างเดินทางมาถึงตัวเมืองพิษณุโลกพอดี บ้านพ่อตา
แม่ยายของอินทร์นั้นอยุ่กลางเมือง ขับรถไม่นานก็ถึง ซึ่งคงพอดีกับทางบ้านเตรียมตัวรับประทานข้าวเย็น


พ่อตากับแม่ยายอินทร์นั้นอายุประมาณ 50 กว่าปี เป็นคนแก่ที่น่ารักและใจดี เมื่อคราวที่อินทร์และวันนากลับมาเยี่ยมบ้านก็มักจะถามถึงหลานให้อายเป็นประจำ อินทร์กลับมาคราวนี้ก็รู้สึกสบายใจที่อุ้มหลานกลับมา แต่ช่างน่าเสียดาย! วันนากลับลาโลกนี้ไปซะแล้ว

ขณะนี้อินทร์และอมรขับรถมาถึงที่บ้านแล้ว ทันที่ทั้งสองกำลังจะลงจากรถ แม่ของวันนาก็รีบเปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับทั้งสองอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านนี้ที่อินทร์จำได้ แม่ ยังมีเส้นผมที่ค่อนข้างดำแซมด้วยสีขาวบ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้ กลับขาวโพลนไปทั้งหมด ผิวหน้าก็ปรากฎรอยเหี่ยวย่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้ดูชราภาพลงไปอีกมาก นั่นยิ่งทำให้อินทร์รู้สึกเศร้าใจมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกของผู้เฒ่าที่สูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวไปนั้น มันคงกัดกร่อนความแจ่มใส ความเบิกบานของท่านไปแทบหมดสิ้นแล้ว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

แม่ทักทายอินทร์และอมรอย่างดีใจ ดีใจที่เห็นทั้งสองกลับมาเยี่ยมบ้านอีก ตั้งแต่ที่วันนาเสียไปนั้น อินทร์ได้แยกตัวออกไปใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหลายเดือน พ่อกับแม่ จึงไม่มีผู้อยู่เป็นเพื่อน หลายเดือนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างจะเงียบเหงา

“ เป็นยังไงบ้างพ่อหนุ่มทั้งสอง ! เดินทางมาไกลคงเหนื่อยน่าดูเลยล่ะซิเนี่ย เข้าบ้านกันมาก่อนเถอะน่ะ เมื่อเครียมข้าวเผื่อไว้แล้ว พ่อก็นั่งรออยู่แนะ ” แม่พูดขึ้นมาขณะอุ้มน้องบีมไว้

อมรจับมือแม่ไว้แล้วตอบว่า

“ ไม่ล่ะครับแม่ เด่วเราสองคนจะไปธุระที่นอกเมืองนิดหน่อยน่ะคับ อินทร์กับผมเพิ่งกินข้าวมาเมื่อกี้นี้เอง ”
แม่ได้ยินก้อถามขึ้นว่า

“ อ้าว ทำไมรีบไปนักล่ะจ๊ะ มีงานรีบอะไรงั้นเหรอ ”

อมรตอบว่า

“ อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เรื่องนี้เดี๋ยวผมจะกลับมาเล่าให้ฟัง เรายังไม่ค่อยแน่ใจในบางเรื่องน่ะครับ “

อินทร์เสริมขึ้นว่า

“ อื้ม ใช่ ตอนนี้ยังบอกอะไรมากไม่ได้น่ะแม่ เดี๋ยวผมกับอมรจะหน้าแตกเอาได้ ฮ่าๆ ..... อ้อ ใกล้มืดแล้ว ผมคงต้องรีบไปก่อนล่ะครับ แม่ ผมฝากดูแลน้องบีมก่อนน่ะ อีกสัก2-3วันก็เสร็จเรื่องแล้วล่ะครับ “

หญิงชราเห็นทั้งสองมาเพียงแป๊บเดียวก็สลดเล็กน้อย ความจิงอยากจะนั่งคุยถามไถ่เรื่องราวๆต่าง แต่ก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ ค่อยสนทนาหลังจากงานเสร็จก็แล้วกัน

เมื่อล่ำลากับพ่อและแม่เรียบร้อยแล้ว ( พ่อนั้นแทบไม่ยอมให้ทั้งสองไป เพราะแกไม่ได้กินเบียร์กับใครมานาน) อินทร์และอมรต่างออกเดินทางต่อไปสู่จุดสำรวจนอกเมือง สถานที่นั้น อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 50 กิโลเมตร เมื่อไปถึงต้องขับรถผ่านป่าเข้าสู่เขตสำรวจอีกพักใหญ่ๆ

ทั้งสองขับรถผ่านป่า เลียบริมคลองไปเรื่อยๆ

ขณะนี้พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว ท่านกลางทางน้อยเช่นนี้มีเพียง แสงไฟจากรถยนตร์ฉายอยู่เพียงจุดเดียว รอบๆด้านมีเพียงความมืดทะมืน มองไปทางไหนก็พบเพียงต้นไม้สูงชลูดที่ไม่อาจจะมองเห็นยอดไม้ได้ถนัด

ทั้งสองขับรถด้วยความไม่ชินทางอยู่พักใหญ่ ก็ประสบเหตุเข้า เนื่องจากตกหล่มข้างทางเข้าจังๆ ไม่ว่าทั้งสองจะเร่งเครื่องเช่นไรก็ไม่อาจจะหลุดจากหล่มนั้นได้ ต่างลงไปช่วยกันลาก ผลักก็แล้ว แต่หล่มนั้นลึกและแฉะเกินไป ล้อไม่สามารถยึดไว้ได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองต่างตัดสินใจที่จะเดินต่อไป เพราะอีกไม่ไกลก็ถึงจุดสำรวจแล้วที่นั้นมีผู้คนอยู่หลายคน ค่อยไปขอความช่วยเหลือเอา

อมรบ่นออกมาอย่างหัวเสียว่า

“ บ้าจริง มันอะไรล่ะเนี่ย เฮ้อ ต้องมาเดินกลางป่ามืดๆนี่อีก ปั้ดโธ่ ไอหลุมเวรเอ้ย ”

ทั้งสองบ่ายหน้าเดินไปตางทางน้อยอย่างช้า เลียบริมขึ้นไปเรื่อยๆท่ามกลางความมืดที่เงียบกริบ มีเพียงเสียงใบ้ไม้ที่ไหวตามลมและเสียงกบร้องในบางเวลา อมรส่องไฟฉายอย่างวุ่ยวายไปตลอดทาง ที่ใดที่ดูท่าจะแปลกๆจะสว่างขึ้นมาทันใดเพราะความตกใจของอมร ป่าในยามนี้ช่างดูลึกลับและน่ากลัวซะเหลือเกิน

เดินกันประมาณชัวโม่งครึ่ง ทั้งสองเริ่มหอบกันแล้ว อินทร์นั้นออกอาการเหนื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอมรนั้นยังพอทนได้บ้างเพราะออกกำลังอยุ่ประจำ

อินทร์หยุดเดินและหันไปพูดกับอมรว่า

“ เออ .... ไม่ไหวจริงๆน่ะเนี่ย เดินมาตั้งนานเหนื่อยแล้ว นั่งพักกันที่ใต้ต้นไม้นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวหายเหนื่อยค่อยเดินต่อ ”

อมรได้ยินดังนั้นก็รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“ เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ จะมาพักตรงนี้ก่อนได้ยังไง เดินกันก่อน แถวนี้มันน่ากลัวจะตายไป ... รีบเดินไปให้ถึงที่ที่มีคนเร็วๆดีกว่า อย่าเพิ่งพักก่อนเลย มาเถอะ ”

อินทร์ได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับอมรอย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“ จะไปกลัวอะไรมันว่ะ พักก่อนสิ เดินไม่ไหวเนี่ยเห็นใจกันมั่งสิ ”

“ มันเหนื่อยก็เหมือนกันนี่แหละ ไม่มีใครเหนื่อยอยู่คนเดียวซะหน่อย ! ” อมรตอบอย่างมีน้ำโหแล้วเหมือนกัน

ทั้งสองเริ่มเถียงกันอย่างมีอารมณ์แล้ว คนนึงกลัวความมืด คนนึงไม่กลัวและอยากนั่งพัก สภาพรอบข้างยิ่งทำให้ทั้งสองอารมณ์ร้อนได้ง่ายเพราะต่างฝ่ายต่างเหนื่อยก่อนอยู่แล้ว

เสียงทะเลาะที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆทำให้ป่ารอบข้างดูจะตื่นตามไปด้วย บรรยากาศซึ่งเงียบสงบก่อนหน้านี้กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ ก็แล้วทำไมเล่า.... กลัวความมืดมันผิดตรงไหนว่ะ หา! ไม่กลัวก็พูดได้นี่ ” อมรพูดอย่างมีอารมณ์

“ ไหนบอกว่าเดินไม่ไกล แล้วนี่อะไรเดินกันเป็นชั่วโมงๆ ยังไม่เห็นถึงไหนเลย อะไรว่ะ! เหนื่อยมันก็ต้องมีพักกันมั่งสิเฮ้ย กะอีแค่กลัวความมืดมันจะอะไรกันนักหนา ” อินทร์ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อน

“ อ้าวเฮ้ย! อย่ามาโทษกันน่ะ เดินไกลไม่ไกลมันไม่เกี่ยวหรอกเว้ย ยังไงรถมันก็ไปไม่ได้ ถ้างั้นก็กลับไปที่รถมั้ยล่ะ อย่าทำเป็นตัวถ่วงหน่อยเลย ไม่เดินตอนนี้แล้วเมื่อไหรมันจะถึงว่ะ ” อมรโพล่งออกมาทันที

“ ใครเป็นตัวถ่วงว่ะ ปากเสียนี่หว่า ! ” อินทร์ระเบิดเสียงออกมาดังลั่น

อมรก็ตอบออกไปทันที “ ก็แล้วทำไมว่ะ ทำไม ทำไม! ใครว่ะ ที่มันมาเล่าเรื่องฝันเห็นผีเด็กอย่างอกสั่นขวัญแขวน น่ะ ขอโทษทีเว้ยไม่ได้มือถือสากปากถือ .......... เฮ้ย ! นั่นอะไร ”

สายตาของอมรเหลือไปเห็นสิ่งผิดปกติเข้าทันที บางสิ่งบางอย่างที่ใต้ต้นไม้หลังต้นที่อินทร์นั้นอยู่นั่นเอง
เงาทะมืดที่ใต้ต้นไม้นั่น .......
“ เฮ้ย ไอ้ อินทร์ ! เฮ้ย ......อะไรๆๆ น..นั่นอะไรว่ะ ” เสียงอมรกระซิบอย่างสับสน

อินทร์นั่นยังไม่เข้าใจ ว่าอมรนั่นเป็นอะไร ทีแรกนั่นนึกว่าอมรหาเรื่องแกล้งทำให้ตัวเองตกใจกลัวออกมาด้วย
เมื่อหันหลังกลับไป มองตามสายตาอมรไปที่ใต้ต้นไม้นั่น ภาพที่เห็นนั่น!

อินทร์รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโดดพรวดออกมายืมข้างอมรพร้อมแย่งไฟฉายมา ในห้วงสมองย้อนกลับไปเรื่องฝันเมื่อวาน ความกลัวในสิ่งลี้ลับเริ่มแล่นเข้าใจหัวใจอย่างฉับพลัน ยามนี้เพียงต้องการพิสูจน์สิ่งผิดปกติที่ตัวเองเห็นเท่านั้น

เงา! เงาใต้ต้นไม้ รูปทรงนั้นคือมนุษย์แน่ๆ แต่ทำไม เงานั่นปรากฏออกมาได้ นั่นใช่คนรึไม่ ?

ทันทีที่แสงไฟฉายกราดไปใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็วนั่นเอง เงานั่นกลับอันตธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใต้ต้นไม้นั่นไม่พบสิ่งใดเลย มีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่ดูเหมือนจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเงานั่นได้เลย

อินทร์และอมรยืนตกตะลึงอยู่ตรงที่นั่น แสงจากไฟฉายให้ความกระจ่างแล้ว แต่ความรู้สึกของทั้งสองกลับมืดทะมืนยิ่งนัก ทั้งสองหันมาสบตากัน สื่อความหมายในใจบางอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยปากออกเสียง

ผ่านไปเนิ่นนาน อินทร์และอมรเริ่มตั้งสติกันได้แล้ว อินทร์เริ่มส่องไฟไปตามต้นไม้ต่างๆ พยายามเหลือเกินที่จะค้นหาสาเหตุ ที่ทำให้เกิดเงานั้น หากพบแล้วมันเป็นยอดไม้หรือ ฯลฯ มันคงจะทำให้ทั้งสอง สบายใจขึ้นอย่างแน่นอน

ทันใดนั่นเอง ตามทางน้อยเบื้องหน้านั่น ปรากฎเงาร่างคนผู้หนึ่งเดินมาตามทางน้อยอย่างแช่มช้า เสียงใบไม้พื้นตามทางเดินดัง แซ่กๆ ทั้งสองต่างยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั่น มือที่ถือไฟฉายของอินทร์หมดแรงปล่อยให้ไฟฉายร่วงสู่พื้น หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกเหมือนอากาศรอบข้างหายไปทีล่ะนิดๆ


ฉับพลัน เป็นเวลาที่ต้นไม้สั่นไหว โอนอ่อนตามแรงลมเบื้องบน แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามา ส่องต้องกระทบเงาร่างนั่นเอง อินทร์และอมรเห็นร่างนั้นชัดกระจ่างตาในทันที “ พระธุดงค์ ??”

 

 

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย แบงค์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 


ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.