ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยาย

 


สัมพันธ์แห่งเวลา

โดย แบงค์ี
 

 

3

ท่ามกลางความมืดเบื้องหน้า ความเงียบกริบแห่งพงไพรเริ่มครอบคลุมลงมา กบ แมลง ต่างๆ ต่างพากันหยุดร้องโดยพร้อมเพรียง ความวังเวเช่นนี้ชักนำให้ทั้งสองหวั่นไหวอย่างรุนแรง

ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น เป็นการยากที่จะเชื่อถือได้ กลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้ เหตุใด ถึงมีพระเดินอยู่กลางป่า..... เดินได้อย่างไรในความมืดที่ไม่สามารถมองอะไรเห็นได้เลย หากปราศจากแสงจันทร์ ซึ่งนานๆครั้งจะโผล่พ้นออกจากยอดไม้

ความคิดของทั้งสองต่างเตลิดไปคนละทิศล่ะทาง จินตนาการต่างๆนาเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับทยอยพุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด

" พระรูปนี้คือใคร ??? "

" นี้คือลางบอกเหตุอะไรงั้นหรือ ?? "

" ผีสางนางไม้จำแลงกายมางั้นหรือ ??? "

แต่ล่ะคำถามต่างไร้คำตอบ ความโกรธของอินทร์และอมรนั้นต่างหายสาบสูญไปอย่างสิ้งเชิง แต่แทนที่ด้วยความสงสัยนานับประการ ตอนนี้เงาร่างของพระธุดงค์นั่น ประกฏแก่สายตาของทั้งสองอย่างชัดเจนยิ่ง ดูไปไม่เหมือนผีร้ายหรือภาพหลอนแต่อย่างใด

พระธุดงค์รูปนี้ครองจีวรสีเหลืองซีดๆ มือทั้งสองต่างซุกไว้ในจีวร ขณะที่แสงจันทร์ส่องต้องใบหน้านั้น อินทร์และอมรสังเกตุเห็นใบหน้าท่านชัดเจน ดูไปอายุประมาณ 70 กว่าๆ หรืออาจมากกว่านั้น ท่านเดินอย่างแช่มช้าเข้ามาใกล้ทั้งสองขึ้นเรื่อยๆ รอบๆด้านนั้นก็เริ่มสว่างเพราะแสงจันทร์ขึ้นทีล่ะนิดๆ


อินทร์และอมรต่างหันมามองหน้ากันอย่างขอความเห็น พระธุดงค์ท่านหยุดเดินแล้ว และหยุดอยุ่ไม่ห่างจากทั้งสองเท่าใดนัก เป็นระยะที่ทั้งสองจะมองเห็นท่านอย่างเต็มตา กิริยาท่าทางของท่านสงบ สองตาหรุบต่ำลง ไม่ได้มองมาที่ทั้งสองแม้แต่น้อย


พอรู้สึกตัวอินทร์และอมรต่างคุกเข่าลง พนมมือไว้ ทั้งสองรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน ความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น อยากจะถามออกมาทันทีด้วยซ้ำ แต่อดใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเอาไว้ ทั้งสองจ้องมองกันและกันสลับกับมองพระธุดงค์อย่างสนใจ อย่างค้นหา ในขณะที่อินทร์ตัดสินใจที่จะเอ่ยคำพูดออกไปนั่น พระธุดงค์ก็ลืมตาขึ้นมามองทั้งสองอย่างช้าๆ


ผ่านเวลาไปเนิ่นนานที่ท่านจ้องมองทั้งสองสลับไปมา กิริยาของท่านเหมือนกำลังสำรวจคนคุ้นเคย เหมือนสายตาของเพื่อนที่จากกันไปนาน แล้วกลับมาเจอกันใหม่ แต่ช่างแปลกเหลือเกิน อินทร์และอมรต่างรู้สึกได้ว่า พระท่านนี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก ทั้งรูปร่าง ทั้งหน้าตา ทั้งบุคลิก แต่ไม่ว่าจะพยายามเค้นมันสมองนึกอย่างไร ก็นึกไม่ออก


ขณะที่ทั้งสองกำลังใช้ความคิดอยุ่นั่น พระธุดงค์ก็เอ่ยคำพูดคำแรกออกมาอย่างแผ่วเบาว่า


" โยม...... โยมทั้งสอง ไม่ทราบโยมกำลังจะไปที่ใด สามารถบอกอาตมาได้หรือไม่ ? "


น้ำเสียงของพระธุดวงค์นั้นราบเรียบ และฟังดูสงบอย่างบอกไม่ถูก แต่ท่ามกลางความเงียบนี้ คล้ายกับว่าท่านพูดเสียงดังเหลือเกิน


ทันทีที่เสียงกระทบโสตประสาท อินทร์ก็รู้สึกตัวและหลุดออกจากพะวังความคิดอย่างรวดเร็ว และรู้สึกตัวว่าท่านกำลังถามอยู่ ซึ่งต่างกับอมร
...... น่าแปลก! ที่อมรนั่นเหมือนจะไม่ได้ยินคำถามหรือเสียงจากพระรูปนี้แม้แต่น้อย ยังก้มหน้าครุ่งคิดปัญหาที่คาใจอยู่นั่นเอง


พระท่านนี้ก็ไม่ได้นำพาอะไรกับท่าทีของอมร ท่านกลับจับจ้องอินทร์อย่างสงบ แววตานั้นสะท้อนประกายสีสดใสเหมือน กำลังรอคอยคอตอบจากอินทร์ อินทร์ตะกุกตะกักตอบออกไปว่า


" เรียนท่านครับ กระผมและเพื่อนนั้น กำลังจะเดินทางไปธุระข้างหน้าน่ะครับ เราทั้งสองต่างเจอปัญหารถตกหล่มน่ะครับ เลยตัดสินใจจะเดินไปขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางก็มีปากเสียงกันเล็กน้อย ขอท่านอย่าใส่ใจเลยครับ"


พระธุดงค์ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร เพียงแต่รับฟังไว้ เมื่อได้ยินเสียงอินทร์ แววตาท่านกลับแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลงทันที ซึ่งอินทร์ก็รู้สึกได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองนั้นรู้สึกเช่นไร


อินทร์รู้สึกถึงสิ่งเหนือสามัญสำนึกบางอย่างซึ่งแฝงอยู๋ในสายตาคู่นั้น เหมือนสื่อหมายความหมายลึกลับ ที่ยากเกินเข้าใจส่งผ่านถึงอินทร์ แววตานั้นไม่ได้แสดงถึงความ ” ไม่เป็นมิตร ” แม้แต่น้อย กลับกัน แววตานั้นกลับแสดงถึงความผูกพันบางอย่าง


บางอย่างที่อินทร์เองไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดให้ใครฟังได้ และตัวเค้าก็รู้สึกถึงความผูกพันและสนิทสนมกับพระธุดงค์รูปนี้อย่างลึกซึ้ง


พระธุดงค์และอินทร์ต่างนิ่งเงียบกันอยู่เนิ่นนาน อินทร์ในตอนนี้นั้นลืมอมรไปแล้วโดยสิ้นเปลือง เหมือนอมรนั้นหายตัวไปเฉยๆ



อมรกำลังครุ่นคิดค้นหาคำตอบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่เพียงคนเดียว ความคิดความสงสัยทั้งหลาย ต่างระดมยิงออกมาจากส่วนลึกในสมองไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้ ระหว่างทางจากทางเข้าจนถึงจุดสำรวจนั้น ล้อมรอบด้วยภูเขาและคลองห่างไกลจากบ้านคนผู้อยุ่อาศัย หากใครคิดจะเดินทางในเวลาเช่นนี้ ก็คงคาดการ์ได้แล้วว่า คนผู้นั้นกำลังไปจุดสำรวจอย่างแน่นอน มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาถามว่า อมรและอินทร์กำลังเดินทางไปที่ไหน


ทีแรกอมรนั้นคิดว่า คงเป็นพระซึ่งพำนักที่วัดใดวัดหนึ่งในแถวนี้ แต่มันไม่น่าจะใช่ พระที่ไหนเล่าที่จะมาเดินธุดงค์ในเวลากลางคืนอย่างนี้ ละแวกรอบๆนี้มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินธุดงค์เรื่อยเปื่อยมาที่แบบนี้ได้ นอกจากหลงทาง แต่ดูยังไงก็ไม่เหมือนบุคคลที่หลงทางเด็ดขาด ยิ่งถ้าหากวัดที่พำนักอยุ่ละแวกนี้ด้วย


เมื่อความคิดไร้ทางออกเช่นนี้แล้ว อมรยิ่งจมดิ่งลงไปในความสงสัยและคำถามที่เกิดมาต่างๆนานา
สมาธินั่นจดจ่อกับสิ่งในจิตใจ ไม่สามารถที่จะรับรู้หรือได้ยินเหตุการณืต่างๆรอบข้างได้ สายตาเริ่มจับจ้องเพียงแค่ เศษใบไม้บนพื้นดิน
ความคิดความรู้สึกของอมรล่องลอยไปมา นั่งเหม่ออยุ่ที่นั่นเนิ่นนาน
ฉับพลันสายตาของอมรก็จับภาพแปลกประหลาดขึ้นมาได้อีก
ใต้ต้นไม้ที่เดิม! ใต้ต้นไม้ที่เคยเห็นเงารางๆนั่นเอง ยามนี้กลับปรากฏเงานั่นขึ้นมาอีกแล้ว!

เงานั่นทีแรกหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ตอนนี้กลับขยับเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นอย่างลางๆว่ามีรูปร่างเช่นไร

อมรนั่งอึ้งอยู่ที่นั่น สายตา สมาธิไม่อาจรับรู้ได้ยินสิ่งใดอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ไม่อาจเห็นชัดถนัดตา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถบอกได้แน่นอนว่านั้น....... ไม่ใช่คนแน่ๆ!

ชายวัยกลางคน ไม่อาจมองเห็นหน้าได้ สวมเสื้อสีขาวนุ่งโจงกระเบน ยืนนิ่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่น ใบหน้าหันมาทางที่ซึ่งทั้งสามรวมอยู่ หากเป็นยามกลางวันคงจำแนกออกว่า สายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องอยุ่ที่ใคร

หัวใจของอมรนั่นแทบหยุดสนิท ภาพที่รู้แน่ๆว่าไม่ใช่มนุษย์ปรากฏให้เห็นเด่นชัดเช่นนี้ ......มันอะไรกัน!
การสนทนาระหว่างอินทร์และพระธุดงค์นั่นเป็นไปอย่างแช่มช้า สนทนากับได้ไม่กี่ประโยค ท่าทางของพระธุดงค์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ท่านหันหน้ามามองอมร แววตาท่านก็เปลี่ยนเป็นตื่นตะหนกขึ้นทันที อมรนั้นเหมือนไม่เห็นสิ่งรอบข้างเลยสักนิด นั่งแข็งทื่อไม่ไหวติง อินทร์เห็นเข้าดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ เรียกอมรว่า

“ อมร อมร..... เฮ้ย! เป็นอะไร อมร ได้ยินรึเปล่า ?”

อมรสะดุ้งขึ้นจากภวังค์ทันที หันหน้ามามองอินทร์ด้วยความตกใจ ตอบว่า
“ ว่าไง! เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ?”


อินทร์ได้ยินอมรตอบกลับมาเช่นนั้น ก็จ้องมองหน้าเพื่อนรักด้วยความสงสัยอย่างรุนแรง ..... ในใจนั่นนึกไปว่าอมรไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้างหรือไงน่ะ คำถามแบบนี้หลุดออกมาได้ไง ??


แต่อมรก็ไม่ได้รับรู้ถึงความสงสัยที่เกิดขึ้นของอินทร์ เมื่อนึกได้ถึงคนที่ใต้ต้นไม้นั้นก็ละล่ำละลักบอกกับอินทร์อย่างรวดเร็วว่า


“ อินทร์ๆ ดูนั่นสิ เห็นมั้ย ที่ใต้ต้นไม้ นั่น มี ............... ”


ทันใด! ปรากฏมือที่เย็นยะเยือกข้างหนึ่ง สะกิดหลังศีรษะอย่างแผ่วเบา พร้อมกับภาพเบื้องหน้าดำทะมืนขึ้นทันใด ภาพต่างๆในสายตาของอมรหายไปอย่างทันที

ความมืดมิดเข้าปกคลุม ความมืดที่มืดเหลือเกินไม่สามารถมองเห็นหรือรับรู้อะไรได้เรย แม้ว่าจะยังลืมตาอยู่อย่างนั้น

มือที่เย็นยะเยียบเลื่อนมาปิดบังจมูกและปากไว้อย่างช้าๆ มือที่แข็งดั่งคีมเหล็ก ไม่สามารถที่จะต่อสู้ดิ้นรนขัดขืนได้เลย

ปรากฏกลิ่นบางสิ่งที่เหม็นแทบอาเจียรกระทบจมูก กลิ่นที่เหมือนซากสัตว์เน่าๆมาพร้อมกับมือนั้น

ข้างหูได้ยินเสียงพึมพัมเป็นถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้แม้ซักนิด เหมือนเสียงนั้นดังมาจากที่ห่างไกลแต่ก็เหมือนใกล้เหลือเกิน

มือนั้นเพิ่มแรงบีบเข้ามาอีก อึดอัด ลมหายใจเริ่มติดขัด ออกซิเจนในร่างกายไม่สามารถไปล่อเลี้ยงสมองได้แล้ว ความหวาดกลัวแทบคลุ้มคลั่งของอมรหมุนวนเวียนในจิตใจไม่หยุดยั้ง

หัวสมองของอมรเริ่มหมุนติ้วอย่างช้าๆภาพควาทรงจำต่างๆเริ่มทยอยพุดขึ้นมากและหมุนวนเวียนเหมือนกระแสน้ำวน

สติสัมปะชัญญะเริ่มเลือนลาง ดวงตาเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ สติที่เลื่อนลอยเพียงรับได้แต่กลิ่นที่เหม็นสุดทนทาน และ เสียงพึมพัมที่ฟังไม่ได้ศัพท์จากที่ห่างไกล!


ทันที่ที่จะหมดสติไปนั้น ในหูอมรแว่วเสียงดังขึ้นว่า
“
วัฐจักรสงสารเอย กงกรรมกงเกวียนเอย ผู้ใดก็ไม่อาจย้อนกลับ หากเกิดย่อมมีจบ หากจบแล้วหลุดพ้นย่อมมีสุข เมื่อใดที่ค้นหาทางออก ประตูที่ไร้ประตูนั้นอยุ่แห่งหนใด เหตุใดจึงไม่อาจเปิดมันออก แท้จริงอยู่ที่ใด
แท้ทริงเพียงแค่รู้สึกและยอมรับ เมื่อนั้นแล้ว เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเอย ”


เสียงนั้นก้องกังวาลอยู่เนิ่นนาน ในความมืดมิด มือที่บีบนั้นเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อยๆ เสียงแห่บพร่าที่ฟังไม่ได้ศัพท์เริ่มเบาลงๆจนหายไปในที่สุด เพียงเหลือแต่เสียงของพระธุดงค์ที่ดังอยู่

 

 

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย แบงค์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 


ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.