forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 

 

มัดจำหัวใจไว้...เพื่อรัก
โดยหนึ่งลิปดา

๑๐

นวนิยายชุด ตระกูลเบ็ญจรงค์

 

 

 

พิมพ์ดาวหยุดมองป้ายสายพิมพ์ ที่มีพื้นทำด้วยโลหะสีเงิน แต่ตัวหนังสือที่นูนออกมาเป็นแก้วใสฝังประดับด้วยแก้วชิ้นเล็กๆ หลายรูปทรงหลากสี เส้นสายหนังสือนั้นพลิ้ว อ่อนช้อย ราวกับมันไม่ได้ทำด้วยของแข็งๆ สายพิมพ์ เป็นชื่อบริษัทที่ พ่อชอบมาก เพราะมันรวมเอาชื่อ แม่เธอคือ พิณสาย มารวมเข้ากับ พิมพ์ดาว ชื่อของเธอ

“ ฟังเป็นไทยๆ ดี ” พ่อให้เหตุผลอย่างนั้น

ดังนั้นบริษัทนี้จึงเป็นบริษัทเดียว ที่เธอและแม่ ได้เข้ามาบ่อยครั้งที่สุด ผู้บริหารที่นี่ เธอก็รู้จักมาตั้งแต่เด็ก จะมาห่างออกไปก็ตอนที่เธอ อยู่ระหว่างการค้นหาตัวเองนั่นแหละ

ตึกสายพิมพ์ เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า โชว์รูม และสำนักงานในตัว มีห้าชั้น ตั้งอยู่ในย่านการค้าที่โด่งดังเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ แม้ว่าจะไม่พลุกพล่านเหมือนเมื่อก่อน แต่ที่นี่ก็ยังประคองตัวอยู่ได้ และตั้งแต่พงษ์พันธ์เข้ามาดูแลให้ ดูเหมือนเขาจะจัดการให้ที่นี่มีความทันสมัยมากกว่าเดิม และเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น กว่าการขายในประเทศ

พิมพ์ดาวผลักบานประตูเข้าไป ยังเช้าอยู่มากจึงไม่มีลูกค้า นอกจากพนักงานที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดของ หรือจับกลุ่มคุยกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นได้ในแทบทุกห้าง เธอไม่ขึ้นลิฟท์แต่เดินตรงไปยังบันไดเลื่อน ขณะที่บันไดเลื่อนเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ หญิงสาวก็มองลงล่าง มันเป็นชั้นที่จำหน่ายสินค้าพวกเครื่องสำอาง เครื่องประดับสตรี รวมไปถึงกระเป๋ารองเท้ายี่ห้อชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ส่วนชั้นที่สองที่เธอกำลังจะถึงนี้ จำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือผ้าไหม ผ้าฝ้ายทั้งแบบเป็นชิ้น และสำเร็จรูป รวมทั้งมีพวกของประดิษฐ์จุกๆ จิก ที่ใช้พวกผ้าผ้ายและผ้าไหมทำ เป็นของที่ระลึก จากกลุ่มแม่บ้านต่างๆ ในประเทศอีกด้วย ถัดจากชั้นนี้ขึ้นไปก็จะเป็นแหล่งรวมผ้าหลากหลาย จากต่างประเทศ ที่อิมพอร์ตเข้ามา ขึ้นไปอีกชั้นถึงจะเป็นส่วนสำนักงาน ส่วนชั้นบนสุดนั้นนอกจากจะเป็นส่วนทำงานของพวกช่างศิลป์และดีไซน์เนอร์ รวมถึงพวกตัดเย็บตัวอย่างสินค้าแล้ว ยังเป็นคลังสินค้าขนาดย่อมไปในตัวด้วย

ชั้นสำนักงานเปิดโล่ง ความเป็นส่วนตัวของพนักงานจะถูกแบ่งแยกจากแผงกั้นกระจกเตี้ยๆ แต่ละคนก็อยู่ในบล็อกของตัวเอง แต่ก็มองเห็นกันโดยตลอด พิมพ์ดาวเดินผ่านไปยังห้องที่อยู่ในสุด ไม่ใช่ห้องของผู้บริหารคนไหน แต่เป็นห้องประชุม และห้องรับรองลูกค้าไปในตัวด้วย ระหว่างทางพนักงานที่อยู่เก่าก่อนก็ทักทายสวัสดีกันไป ส่วนคนใหม่ๆ หากไม่สนใจก็ก้มหน้าทำงาน หรือไม่ก็มองดูเฉยๆ ก็ปีหลังๆ พิมพ์ดาวจะมาที่นี่ไม่เคยเกินสามหนเลย ไม่แปลกที่หลายคนจะไม่รู้จักเธอ

พอเปิดประตูเข้าไปหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นพงษ์พันธ์นั่งอยู่แล้ว พร้อมกับคนอื่นๆ อีกห้าหกคน

“ ไหนบอกไม่มา ” เธอต่อว่าทันที

“ เลื่อนประชุมทางโน้นเป็นบ่าย ก็เลยแวะมาดูเราทางนี้เสียก่อน เก่งนี่มาทันเวลา ” พงษ์พันธ์บอกแล้วก็พยักหน้าให้ แนะนำผู้ร่วมงานว่า

“ นั่น คุณมัทรี และ คุณ สกนธ์ เพิ่งเข้ามารับงานผู้จัดการตลาดคนใหม่ ที่เหลือคงรู้จักหมดแล้ว ”

พิมพ์ดาวยิ้มให้ทุกคนโดยอัตโนมัติ ที่เหลือจากที่แนะนำ เป็นบุรุษเสียสามและเป็นสตรีอีกหนึ่ง พิมพ์ดาวรู้ว่าต่างมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ เธอเคยเห็นแต่ก็ไม่คุ้น จะมีก็แต่นายพฤกษา ทรงศิลป์ เท่านั้นที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นผู้จัดการอาวุโส อยู่มาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกบริษัทใหม่ๆ และพิมพ์ดาวก็นับถือเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่ พงษ์พันธ์เองก็ไว้ใจเขามาก ส่วนสตรีที่เหลือก็คือคุณพลับพลึง เธอเป็นเลขานุการวัยสามสิบ ทำงานที่นี่มาสี่ห้าปีแล้ว

เพราะพงษ์พันธ์นั่งอยู่แล้วที่หัวโต๊ะ พิมพ์ดาวก็เลยเลี่ยงไปนั่งถัดจากบุรุษที่เพิ่งถูกแนะนำว่าสกนธ์ แต่สายตานั้นจ้องไปที่พงษ์พันธ์ คอยดูเถอะเลิกเมื่อไหร่จะต่อว่าให้สะใจทีเดียว หลอกเธอมาได้

“ คุณมัทรีกำลังจะเสนอแผน ขยายตลาดที่อิตาลี เชิญ ”

สิ้นคำพูดพงษ์พันธ์ มัทรีก็ลุกขึ้น ส่วนนายสกนธ์ก็ขยับเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค ทั้งสองคุยกันสองสามคำ มัทรีก็เดินไปที่หน้าจอขนาดย่อม นายสกนธ์เป็นคนส่งภาพฉายขึ้นไป

พิมพ์ดาวไม่ค่อยเอาใจใส่กับสิ่งที่มัทรีพูดมากนัก เพราะเห็นว่าพงษ์พันธ์ก็อยู่ หากพงษ์พันธ์เห็นดีด้วย เธอก็เห็นด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นความสนใจของเธอจึงไปอยู่ที่ดูท่าทางและกิริยาชี้ไม้ชี้มือของสตรีนามว่ามัทรีมากกว่า เธอชอบมองดูท่าทางของคน และคิดว่าจะเห็นสิ่งที่อยู่ในตัวตนของเขามากกว่าคำพูด อีกอย่างเธอไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเก่งไปกว่าพงษ์พันธ์ด้วย

มัทรีจัดได้ว่าเป็นคนสวย อายุอานามก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบเจ็ด ท่าทางมั่นใจในตัวเอง การพูดจาก็ฉะฉานภาษาต่างประเทศคล่องเปรียะ และเมื่อพิมพ์ดาวชำเลืองมองพงษ์พันธ์ก็เห็นเขานั่งนิ่งฟังสิ่งที่มัทรีนำเสนอเหมือนอย่างสนใจ สิ่งนี้มันอาจหลอกตาคนอื่นได้ แต่พิมพ์ดาวลอบยิ้มเพราะรู้ว่าพงษ์พันธ์กำลังเบื่อ สังเกตได้จากนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขาเคาะโต๊ะไปมา เขาไม่ได้ใช้เล็บเคาะลงไป จึงไม่เกิดเสียง

สังเกตคนอื่นก็ตั้งอกตั้งใจฟังดี แต่พอมองนายพฤกษา ก็เห็นเขามองเธออยู่ พิมพ์ดาวเลยยิ้มให้ ก่อนจะหันไปทำที สนใจกับการนำเสนอนั้นต่อไป และเมื่อมัทรีพูดจบ พงษ์พันธ์ก็ลุกขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือ

“ ตกลงว่า เรื่องนี้หากคุณมัทรี มีอะไรเพิ่มเติม ให้เสนอไปที่พิมพ์ดาว เธอจะเทคแคร์เรื่องนี้ ”

พูดจบ เขาก็เดินไปที่ประตู พิมพ์ดาวถึงกับหน้าเหรอ เพราะจู่ๆ ก็ถูกโยนงานมาให้เฉย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เธอยังไม่ได้โวยอะไร มัทรีก็ขัดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจจนเห็นได้ชัดว่า

“ เดี๋ยวค่ะ คุณพงษ์พันธ์ คุณจะให้ดิฉันทำงานกับเธอเหรอคะ? ”

พงษ์พันธ์หันกลับมา พูดอย่างเฉยเมยว่า

“ เชื่อว่าคุณคงปรับตัวได้ ” แล้วเขาก็พยักหน้าให้พิมพ์ดาว

“ อยู่ประชุมต่อ พี่ไปล่ะ ”

ดูท่าทีของทั้งคู่แล้ว พิมพ์ดาวชักงง แต่เมื่อสตรีผู้มีนามว่ามัทรีหันมาทางเธอ พิมพ์ดาวก็ฉีกยิ้มให้โดยอัตโนมัติ

“ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันค่ะ ”

เธอผู้นั้นไม่ตอบแต่นั่งลงเก้าอี้ที่พงษ์พันธ์เพิ่งจะลุกจากไป และประโยคที่ออกจากปากของเธอก็คือ

“ ความจริงแล้วดิฉันต้องการทำงานกับมืออาชีพ ”

พิมพ์ดาวยิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความจริงเธอเองก็เคยเจอบ่อยกับพวกที่เก่งมีความมั่นใจในตัวเองสูง ยิ่งพวกที่ถูกจ้างให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในตอนที่บริษัทต้องการจะปรับปัจจัยบางอย่าง หรือจะขยายโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เพื่อให้ทันสมัยขึ้น ก็มักจะเจอเหล่าคนเก่งมีความทันสมัยในหัวใจ มีความต้องการที่จะแสดงผลงานให้ประสพความสำเร็จสูงรวดเร็ว ไม่อยากจะทำงานกับคนเก่าๆ หรือคนที่ขาดความกระตือรือร้น และคนพวกนี้มักจะไม่เข้าใจในวัฒนธรรมองค์กรทื่ทำธุรกิจมานานและพนักงานต่างอยู่กันเหมือนครอบครัว ต่อให้พนักงานมีศักยภาพต่ำกว่ามาตรฐาน บริษัทก็ต้องเลี้ยงเอาไว้ ไม่คัดออกหรือให้ออกง่ายๆ ซ้ำร้ายผู้ที่คิดว่าตัวเองคือมืออาชีพบางคนยังมองว่า เจ้าของบริษัทที่จ้างเขามาทำงานโง่กว่าตนเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นคำพูดของมัทรีจึงแสดงตัวตนออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็แปลกที่คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้พิมพ์ดาวโกรธ ท่าทางผิดหวังของมัทรีทำให้นึกขำในใจด้วยซ้ำ อารมณ์ขันทำให้เธอนึกอยากจะตอบออกไปว่า ถ้างั้นคุณลาออกไปได้เลยค่ะ เพราะดิฉันไม่ใช่มืออาชีพ เพราะไม่อยากจะเป็นการหักหน้าอีกฝ่ายเกินไป เธอจึงพูดเพียงแค่ว่า

“ เป็นความคิดที่ดีค่ะ ”

มัทร ีมองพิมพ์ดาวอย่างประเมิน เธอรู้ล่ะว่านี่เป็นน้องสาวของพงษ์พันธ์ และได้เผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจริงๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองและจริงจังในการทำงาน และ เธอเคยประสพความสำเร็จกับการทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกามาก่อนที่จะกลับเมืองไทย ดังนั้นเธอจึงติดนิสัยที่ทุ่มเทแข่งขันการทำงาน และต้องการทำงานที่ท้าทายร่วมกับคนที่มีความสามารถเพราะมันจะทำให้เธอแกร่งและเก่งขึ้น ไม่ใช่มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเพิ่งจบ ที่ต้องคอยถ่ายทอดเอาความรู้ประสบการณ์จากเธอไป จากนั้นก็ค่อยหาทางบีบให้เธอออกจากบริษัทที่เธอบุกเบิกเรื่องนี้ให้ และท่าทางของพิมพ์ดาวก็ไม่มีลักษณะของคนคุ้นเคยกับการทำงานสักนิด ดูจากท่าทางสบายๆ เหมือนนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่บ้านของตัวเองสิ การที่พงษ์พันธ์ให้เธอมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้หญิงคนนี้ มันจึงทำให้เธอค่อนข้างจะผิดหวังและยากที่จะรับได้ นี่เธอจะต้องมาทนความเป็นคุณหนูของเธอผู้นี้หรือเปล่านะ? ดูท่าหล่อนยังงงๆ อยู่เสียด้วยซ้ำที่ถูกมอบหมายเอาปุบปับ นายพงษ์พันธ์ จงใจแกล้งเธอหรืออย่างไร?

“ ดิฉันเป็นคนพูดตรงๆ อาจจะฟังเหมือนไม่มีมนุษย์สัมพันธ์สักนิด อาจจะแข็งเพราะประจบไม่เป็น แต่ก็อยากให้เข้าใจว่าดิฉันเป็นคนทำงานจริงจังมาก คิดว่าคุณน่าจะรู้เอาไว้ เพราะเราต้องร่วมงานกัน ”

พิมพ์ดาวอมยิ้มนิดๆ

“ มีผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อดร. เทมเพอเรนซ์ เบรนนัน เป็นคนตรง และไม่ค่อยจะมีทักษะในการติดต่อกับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ดิฉันชอบเธอมากค่ะ ”

มัทรีเม้มปากนิดๆ เธอพูดถึงใคร? กวาดสายตาก็เห็นคนในห้องจับจ้องมาที่เธออย่างสนใจ เหมือนคนอื่นจะคอยมองดูว่าเธอและพิมพ์ดาวจะโต้ตอบกันอย่างไร แม้พิมพ์ดาวจะเป็นน้องสาวเจ้าของบริษัทแต่มัทรีก็นับถือคนในเรื่องการทำงาน หากจะเป็นผู้นำเธอ ก็ต้องเก่งกว่า เธอไม่ง้อกับการทำงานที่บริษัทนี้นี่นา

“ ไม่ทราบก่อนหน้าที่คุณพิมพ์จะมารับผิดชอบงานนี้ เคยทำงานทีอื่นที่ไม่ใช่บริษัทของครอบครัวตัวเองไหมคะ? ”

ฟังคำถามแล้วพิมพ์ดาวถึงกับยิ้มน้อยๆ สายตาเธอมองตรงไปยังมัทรี พูดเชื่องช้าว่า

“ หากคุณจะถามหาประสบการในการทำงานของดิฉัน อาจจะทำให้ผิดหวังอยู่บ้าง เพราะประสบการณ์เดียวทีดิฉันมีคือ รู้จักใช้คนค่ะ ”

รู้จักใช้คน ประโยคนี้ทำเอามัทรีถึงกับอึ้ง มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา แล้วก็สะดุดใจกับสายตาและรอยยิ้มของพิมพ์ดาว ผู้หญิงคนนี้กำลังขำเธอ เธอยอมถูกตำหนิเรื่องการทำงาน แต่จะมาเห็นเธอเป็นตัวตลกได้ยังไง จะสักแค่ไหนเชียว

“ ถ้างั้นดิฉันเห็นทีจะไม่ผิดหวังที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ ไม่ทราบว่าคุณพิมพ์ฟังเมื่อครู่มีอะไรที่จะแนะนำบ้างไหมคะ? ”

ผ่าสิ ! พิมพ์ดาวนึกสบถในใจ เธอไม่ชอบอะไรที่ต้องคิดมาก และถามแบบกินนัยอย่างนี้เลย เห็นได้ง่ายล่ะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมรับเธอ มันแย่ที่เธอเองไม่อยากจะพิสูจน์ตัวเองกับคนอย่างนี้เสียด้วย จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานแบบไม่ต้องขบเหลี่ยมเฉือนคมกันไม่ได้หรือไงนะ? เธอเกลียดที่ต้องปั้นหน้าทำเป็นเก่งเสียจริงๆ เมื่อครู่ก็ไม่ได้สนใจจะฟังซะเท่าไหร่ด้วยสิ แต่หากไม่พูดอะไรออกไปเสียบ้าง คนในที่นี้จะคิดกับเธออย่างไร เห็นทีจะต้องใช้เทคนิค อย่างที่พงษ์พันธ์เคยสอน นั่นคือ หากไม่ได้ฟังว่าเขาเสนออะไรมาให้หาเรื่องบอกเขาว่าเรายังไม่เข้าใจในประเด็นไหน ถามสักสองสามคำถาม แล้วก็บอกในสิ่งที่เราต้องการให้เขาทำเพิ่มเติมลงไป และเวลาพูด ต้องพูดอย่างมั่นใจว่าเราคือผู้นำเขา เน้นการถามและการสั่งอย่างมีเหตุผล เอาคนละเรื่องกับที่เจ้าหล่อนนำเสนอมาก็ยังได้

“ ความจริงที่คุณมัทรีอธิบาย ดิฉันไม่ค่อยจะชัดในประเด็นโอกาสทางการตลาดสักเท่าไหร่ เพราะดิฉันให้ความแตกต่างกันระหว่างคำว่า การตลาด กับ แฟชั่น และดูเหมือนจะเป็นการวางสินค้าในแบรนใหม่เกือบทั้งหมด ทำไมไม่สานต่ออันเดิม ในเมื่อเราเองก็มีลูกค้าอยู่บ้างแล้ว คุณสกนธ์ช่วยขึ้นโลโก้ใหม่อีกครั้งด้วยค่ะ ” พิมพ์ดาวสั่งด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานในตอนท้ายว่า และเมื่อโลโก้สินค้าถูกฉายขึ้นตามคำสั่ง พิมพ์ดาวก็ถามว่า

“ นี่เป็นเพียงตัวอย่าง หรือคุณพงษ์พันธ์อนุมัติแล้ว ”

“ ดิฉันบอกคอนเซ็ปให้ฝ่ายศิลป์ของที่นี่ลองออกแบบ แล้วเลือกเอามาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ” มัทรีตอบ

“ อ้อ ... ” พิมพ์ดาวพยักหน้า ถามต่อว่า

“ ทำไมถึงได้เลือกเนเปิลส์ ”

“ เราใช้ฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้วที่นั่น ”

“ แล้วที่มิลานล่ะ? ”

“ เกรงว่าจะยังสู้แบรนเนมที่นั่นไม่ได้ ”

“ ยอดขายที่ผ่านมาเป็นผ้าชิ้นหรือสำเร็จรูป ”

มัทรีนิ่งไป ขณะที่ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศตอบแทนว่า

“ ผ้าชิ้นครับ ”

“ รู้สึกเมื่อครู่ แผนการตลาดเราจะเน้นไปที่สำเร็จรูปนะ ”

“ ตอนไปสำรวจตลาดดิฉันเห็นโอกาสด้านนี้ค่ะ ” มัทรีรีบแย้งขึ้นมาทันที

พิมพ์ดาวยังยิ้มนิดๆ เหมือนเดิมเมื่อพูดว่า

“ เนเปิลส์ ออกจะได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของลอกเลียนแบบทุกชนิด คุณพลับพลึงช่วยเรียกฝ่ายศิลป์ ฝ่ายผลิต และดีไซน์เนอร์ มาที่นี่ด้วย ” เธอสั่งเลขาตอนท้าย แล้วก็หันมาพูดกับมัทรีว่า

“ ดิฉันเองก็เห็นด้วยกับคุณมัทรี โครงการนี้ชักจะสนุกเหมือนกัน และดิฉันต้องการให้คุณมัทรีเลือกทีมงานจากภายในก่อน หากคิดว่าหาคนที่มีคุณสมบัติมาร่วมงานกับคุณไม่ได้ ดิฉันจะช่วยคุณพิจารณาคนนอกอีกที โครงการนี้ไม่ควรที่จะรับรู้เฉพาะฝ่ายบริหารเท่านั้น ดิฉันจึงให้เรียกหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ที่คิดว่าเกี่ยวข้องมาฟังคุณเสนอรายงานอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ซับพอร์ทคุณได้ ดิฉันขอนัดประชุมความก้าวหน้าสำหรับโครงการนี้โดยละเอียดในวันพุธหน้า และมีเรื่องอยากจะให้ช่วยคิดก็คือโลโก้ยังไม่เป็นที่ถูกใจของดิฉัน ส่วนเรื่องของแบรน ดิฉันต้องการชื่อให้มันฟังดูสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าสะท้อนถึงตัวสินค้าทันที ”

ไม่รอให้ใครตั้งตัว พูดเสร็จพิมพ์ดาว ก็ลุกเดินออกจากห้องเสียเฉยๆ ไม่สนใจใคร แต่ในใจนั้นก็นึกขำว่า เธอคงไม่ได้ทำตามเทคนิคแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะครบทุกข้อ แต่ไอ้เรื่องสั่งงาน แล้วมอบหมายนี่เธอถนัด และก็ตัดสินใจล่วงหน้าได้อย่างง่ายดายเลยว่า หากพุธหน้า ขืนยัยมัทรียังมีทีท่ากร่างอยู่ เธอจะไล่ออก

ฝนตกซู่ลงมาตอนที่พิมพ์ดาวออกจากห้างสะดวกซื้อที่เธอแวะกินข้าวเที่ยง ก่อนจะเดินเข้าร้านหนังสืออ่านโน่นอ่านนี่เสียเพลิน แล้วจึงออกมาเลือกซื้อพวกอาหารแห้ง และอาหารสำเร็จรูป พร้อมทั้งเสื้อและกางเกงสำหรับมาร์โกเธอนึกขำเมื่อเห็นป้ายราคา หวังว่าเขาคงจะไม่หัวสูงมากจนใส่ของง่าย ๆอย่างนี้ไม่เป็น พิมพ์ดาวไม่ได้ขี้เหนียวหรือเป็นห่วงเรื่องเงิน แต่เธอถือเอาความสะดวกเป็นหลัก ในเมื่อห้างนี้มีขายอย่างนี้ เธอก็ซื้ออย่างนี้ จะให้เธอไปตะลอนเพื่อซื้อของมียี่ห้อให้เขา เห็นทีจะยาก

พิมพ์ดาวเป่าลมออกจากปากอย่างเซ็งๆที่ต้องเจอกับไฟแดงอีกหน เธอเหลือบดูนาฬิกา มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินเพราะปาเข้าบ่ายสามโมงไปแล้ว ฝนตกรถติดช่างเป็นสิ่งที่คู่กันเสียจริงๆ

หญิงสาวชักจะอดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกันว่า อาการของมาร์โกจะเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ใจชื้นขึ้นเมื่อคิดว่าเมื่อเช้านี้เขาก็ดูดีขึ้นมาก ดีจนแสดงอำนาจคุกคามเธอได้ ก็คงไม่เป็นอะไรหรอก และเมื่อขับรถ ถึงหน้าซอยเข้าบ้าน มือถือก็ดังขึ้น

“ เป็นไง? ” เสียงพงษ์พันธ์ถามมา

“ พี่พงษ์ จำไว้เลยนะขืนทิ้งพิมพ์เอาไว้อย่างนี้อีกโกรธจริงด้วย ” พิมพ์ดาวโวยวายใส่

“ เอ ... ได้ข่าวว่าไปได้สวยนี่นา ”

“ แต่พิมพ์ไม่อยากทำ จะเขียนหนังสือให้จบสักเล่ม มาขัดขวางความสุขกันทำไม ”

“ เออนา ... พี่อยากให้พิมพ์เทคแคร์เรื่องนี้ อยู่ตัวแล้วค่อยถอน ให้คนอื่นทำ ”

“ ถ้างั้นพิมพ์ช่วยได้แค่สามสี่เดือนนะ ท่าทางคุณมัทรีเขาก็เก่งทีเดียว หากจะกร่างน้อยกว่านี้ ”

พงษ์พันธ์ส่งเสียงหัวเราะชอบใจมาเลยทีเดียว

“ ไม่กร่างได้ไงล่ะ ส่งตรงมาจากคุณกานต์ทีเดียว ”

“ หา ! จริงน่ะ? ”

“ อย่าทำเป็นรู้ทันเชียวนะ เวลาไล่เขาออก เราจะได้ทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ”

พิมพ์ดาว หัวเราะ อย่างนี้นี่เอง พงษ์พันธ์ถึงลากเธอให้เข้ามาจัดการ เรื่องการเป็นแม่สื่อแม่ชักของคุณมณีกานต์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และพงษ์พันธ์ก็เจอบ่อย เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่พงษ์พันธ์ก็มักจะทำเป็นไม่รู้เท่าทัน หากทำงานได้ดีก็ได้ทำต่อ หากทำได้ไม่เข้าเป้า เขาก็ไล่ออกเฉย หรือไม่เจ้าตัวก็จะลาออกเอง คุณมณีกานต์เองก็จะทำเฉยไม่รับรู้เหมือนกัน มันจึงเป็นการหยั่งเชิงกันไปเรื่อยๆ ในเรื่องการหาคู่ให้พงษ์พันธ์

“ ฟังมาท่าทางเราก็เอาเขาอยู่นี่นา ” พงษ์พันธ์ชม ทำเอาพิมพ์ดาวยิ้มแทบปริใส่โทรศัพท์

“ เออ... แล้วใครกันล่ะ ดร.เบรนนัน น่ะ ”

“ อ้าว ! พี่พงษ์จำไม่ได้เหรอ ก็ ดร.เทมเพอเรนซ์ เบรนนัน ในหนังเรื่องโบนส์ไง? ”

ตอบไปแล้วเธอก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

“ ปัทโธ่ ยัยพิมพ์ ” เสียงพงษ์พันธ์เหมือนจะอ่อนอกอ่อนใจ แต่พิมพ์ดาวก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะก่อนจะวางหูไปดื้อๆ

พิมพ์ดาวเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องประชุมหลังจากที่พงษ์พันธ์ออกไปแล้ว จะต้องถูกนายพฤกษารายงานทันที และเมื่อพงษ์พันธ์ไม่ได้แสดงอาการเคร่งเครียดหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร พิมพ์ดาวก็ออกจะดีใจเหมือนกันว่า ทุกอย่างคงราบรื่นดี

ฝนยังตกหนักและอากาศมืดครึ้ม เมื่อมาถึงบ้าน มันก็ดูเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่เอาเสียเลย แม้พิมพ์ดาวจะเอารถเข้าจอดสนิทแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เธอคาดว่ามาร์โกคงจะนอนหลับ พิมพ์ดาวไขกุญแจ แล้วย้อนกลับไปหยิบของ เปิดประตูเข้าไป แล้วเธอถึงกับเม้มปากแน่น เมื่อเห็นภาพข้างใน มาร์โกหลับเป็นตายนั้นถูกต้อง แต่เฮงซวยเหลือเกินที่เขาดันขึ้นไปหลับบนเตียงนอนของเธอ

พิมพ์ดาวข่มใจเดินถือของไปวางที่เคาน์เตอร์ครัว ก่อนจะย้อนมาที่เตียง อารมณ์ชั่ววูบทำให้เธออยากจะปราดไปลากเขาลงมา แต่บทเรียนตอนเช้า ทำให้พิมพ์ดาวต้องระวังตัว และเลือกที่จะหยิบหมอนขว้างไปที่ปลายเท้าเขาแทน

มาร์โก หรี่ตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก็เห็น พิมพ์ดาว ยืนเท้าสะเอวหน้าบึ้งอยู่

“ ปวดหัวจัง กี่โมงแล้ว ” เขาถาม

“ จะห้าโมงแล้ว ”

“ ผมขอนอนต่ออีกหน่อย ” บอกแล้วก็หลับตาลงเฉย

“ ได้ แต่ลุกไปนอนที่คุณเดี๋ยวนี้ ” เสียงเธอเฉียบขาด

มาร์โกลืมตา อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วถอนใจเฮือกลุกขึ้น เดินโซเซ กลับไปล้มตัวนอนที่เดิมของตัวเองเงียบๆ

พอเขาทำตามง่ายๆ อย่างนั้น พิมพ์ดาวก็ชักรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ เมื่อครู่เขาบอกว่าปวดหัว และไอ้ที่นอนตรงนั้น จะให้มันสบายเหมือนบนเตียง ได้ยังไง แต่จะให้เธอสละเตียงให้นะเหรอ เธอส่ายหน้ากับตัวเอง ไม่มีทาง

พิมพ์ดาวเดินกลับไปที่ครัว เอาของที่ซื้อมาออกจากถุง จัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง เห็นถุงเสื้อและกางเกงที่ซื้อมาให้เขา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง มาร์โกนอนตะแคงหันหลัง ในท่าที่งอตัวนิดหน่อย เขายังอยู่ในชุดเดิมตอนเช้าเลย แสดงว่า ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอะไร เมื่อครู่เข้ามาเธอก็มัวโกรธ ที่เห็นเขานอนบนเตียง เลยไม่ได้ถามเลยว่าอาการเป็นไง แต่แล้ว พิมพ์ดาวสรุปกับตัวเองอีกว่า ก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก

หญิงสาวเอาถุงเสื้อกางเกงเขาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วก็หยิบถุงมันฝรั่ง เดินไปที่โซฟาตัวเล็กหน้าทีวี ไม่ห่างจากเขาเท่าไหร่ มันเป็นสิ่งที่เธอชอบทำเมื่อกลับมาถึงบ้านเวลาอยู่คนเดียวก็คือ ดูทีวี พร้อมกับมีของขบเคี้ยวใส่ปากไปด้วย และไม่ว่าจะมีใครมาเพิ่มอยู่ที่บ้าน มันก็ไม่ควรทำให้กิจวัตรประจำวันของเธอเสียไป

พิมพ์ดาวกดช่องเคเบิล ที่เป็นรายการแฟชั่น โชคดีที่แม้ฝนจะตกอยู่ แต่สัญญาณก็ไม่ได้ขาดหาย ปกติเธอไม่ชอบดูนักหรอก แต่เมื่อต้องทำงาน เธอก็ควรจะดูแนวโน้มของแฟชั่นเสียบ้างว่ามันไปถึงไหนแล้ว ดีไม่ดีเธออาจจะเดินทางไปอีตาลีอีกก็ได้ เมื่อพูดถึงอิตาลี พิมพ์ดาวก็นึกไปถึงอีเมลของเพื่อนเล่าให้ฟังว่า นีโน่ อดีตคู่หมั้นของเธอ ตอนนี้แต่งงานกับเศรษฐีนีอายุคราวแม่คนหนึ่งไปแล้ว พิมพ์ดาวไม่ได้นึกเสียดาย หรือเจ็บปวด แต่มีความรู้สึกโหวงๆในใจอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนอย่างนั้น เพราะ อย่างน้อยในช่วงที่คบกันอยู่ เขาก็เป็นผู้ชายที่อบอุ่น ให้คำปลอบประโลมใจเธอ ทำให้เธอมีความสุขใจ จนกระทั่งเธอไปเห็นว่าเขานอกใจเธอนั่นแหละ

“ ถามจริงไอ้ความไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจคนมันอยู่ในสายเลือด หรือว่าคุณอยากแกล้งผมเฉยๆ ”

เสียงที่ส่ออารมณ์หงุดหงิด ดังขึ้นมา ทำให้มือที่กำลังจะป้อนมันฝรั่งทอดกรอบเข้าปากหยุดชะงัก เธอชำเลืองทางเขา พูดอย่างไม่สนใจนักว่า

“ ฉันนึกว่าคุณหลับแล้ว ”

“ คงหลับหรอก ทั้งเสียงฝน เสียงคุณเคี้ยวกรุบกรับ เสียงทีวี ”

“ ฉันก็ไม่ได้เปิดดัง ”

“ แต่มันหนวกหู ในเมื่อคุณไล่ผมมาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่ไปอยู่ที่เตียงคุณโน่น ”

“ นี่มันบ้านฉัน ฉันจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ”

“ งั้นคุณคงลืมไปแล้วสิว่า คุณเป็นคนทำให้ผมเป็นอย่างนี้ ”

คราวนี้พิมพ์ดาวถึงกับหันไปมองเขาตาขุ่น หน้าเคร่ง

“ ก็จริง ที่ฉันเป็นต้นเหตุให้คุณได้รับบาดเจ็บ แต่ได้เสนอให้คุณไปพักที่โรงแรมแล้ว แต่คุณเลือกที่นี่เองฉันก็ยอมอย่างที่คุณขอแล้วไง และถ้าจะให้ฉันถึงกับเสียสิทธิ์ของความเป็นเจ้าของบ้านไป เพราะคุณตะโกนปาวๆ ว่าคุณเป็นคนเจ็บนะเหรอ ฝันไปเถอะ ”

มาร์โก มองหญิงสาวที่นั่งพูดจาอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วถึงกับฉุนกึก เขาไม่เคยเจอผู้หญิงอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

“ โอเค. ถ้างั้นไปส่งผมที่โรงแรม ” เขาผุดลุกขึ้นพูดต่ออย่างฉุนเฉียว “ ใจดำเป็นบ้าเลยคุณนี่ ”

พิมพ์ดาวยักไหล่ย้อนด้วยทีท่ายียวน

“ ว่าฉันใจดำ ก็ไปเองแล้วกัน ”

นั่นทำให้มาร์โกระงับอารมณ์ไม่ได้ ชายหนุ่มตรงเข้าหาเธอด้วยท่าทีคุกคาม แต่พิมพ์ดาวก็ผลุดลุกขึ้น ไม่พูดพล่ามทำเพลงปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่สนใจเป้าเลย

“ โอ๊ย ! ” เขาอุทานลั่น

“ อย่าคิดว่าฉันจะยอมเพราะกลัวชุดยับอย่างตอนเช้านะ ” เธอพ่นเสียงใส่ แต่แล้วก็ต้องอุทานขึ้นอย่างตกใจเสียเองว่า

“ อุ้ย ! เลือดคุณไหล ”

มาร์โกรู้สึกถึงความอุ่นจากของเหลวที่ไหลผ่านจมูกเขาลงมา เขามองเธอนิ่ง แต่เมื่อพิมพ์ดาวยื่นมือเข้ามา ชายหนุ่มก็ปัดมือเธอออกสั่งว่า

“ ไปล้างมือเสียก่อน ”

พิมพ์ดาวผละไปที่ก๊อกน้ำตรงอ่างล้างจาน หญิงสาวกดน้ำยาล้างจานจากขวด ใช้ล้างมือตัวเอง แล้วก็เดินไปยังชั้นวางของ หยิบเอากล่องเล็กสีขาวที่ข้างในมีพวกสำลี พาสเตอร์ ที่เป็นชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาด้วย ย้อนกลับมาก็เห็นมาร์โกนั่งอยู่เดิมของเขาแล้ว และกำลังใช้ผ้าพันแผลที่เลื่อนหลุดออกมา กดทับตรงแผลเดิม แต่มันคงไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะเสื้อของเขาก็เปื้อนเลือดไปด้วย พิมพ์ดาวทำหน้าแหยงนิดๆ เมื่อเห็น แต่กระนั้นก็ยังเปิดเอาสำลีขึ้นมา

“ มานี่ ฉันทำให้ ”

เธอจับมือเขาออก แล้วซับเลือดให้อย่างแผ่วเบา กล้าๆ กลัวชอบกล

“ เจ็บไหม? ”

“ คงเจ็บหรอก หมัดคุณเบายังกับนุ่น ”

มาร์โกแดกดัน ถ้าไม่เห็นหน้าตกใจซีดจ๋อย ตอนเห็นเลือด มีหวังเขาต้องทำอะไรสักอย่างตอบแทนเธอไปบ้างแล้ว ความจริงเขาเองก็ไม่ใช่คนอย่างนี้ แต่ทำไมท่าทางคำพูดของเธอทำให้เขาหงุดหงิดเอาง่ายๆ และตอนนี้เขายังต้องอึดอัดกับการผ่อนลมหายใจตัวเองให้มันช้าและเบาผิดปกติ จะอะไรเสียอีก ล่ะ ก็ไอ้เนินอกอวบรำไรตรงหน้าเขานี่แหละ เมื่อเธอก้มเช็ดเลือดให้เขา ก็ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลยว่า มันจะทำให้เขารู้สึกอย่างไร หากเป็นผู้หญิงอื่น เขาอาจจะคิดอยู่เหมือนกันล่ะว่าโดนยั่ว แต่กับผู้หญิงคนนี้ เขาจะสรุปไม่ได้อย่างนั้นเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าเจ้าหล่อนจะสวนหมัดออกมาอย่างนั้น ที่บอกว่าเธอเรียนศิลปะป้องกันตัวมาท่าจะจริง แต่ไอ้เรื่องบอกว่าเป็นแวมไพร์นี่ ขอให้จริงเถอะ ถ้าก่อนจะดูดเลือดเธอทำได้อย่างสาวแวมไพร์ในหนัง จะยอมให้ดูดเลือดเลยจริงๆ ... มาร์โกเผลอสะบัดหน้า เมื่อคิดว่าตัวเองดันมาคิดในเรื่องอย่างนี้ ในสถานการณ์แบบนี้

“ อยู่นิ่งๆ ” พิมพ์ดาวสั่ง “ ความจริง แผลเปิดนิดเดียวเองนะ ทำไมคุณเลือดมากจัง ช่วยจับสำลีหน่อย ฉันจะปิดแผล ”

มาร์โก ใช้มือจับสำลีที่หน้าผากถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักว่า “ มีอะไรบ้างไหมที่จะเป็นความผิดของคุณนะ ”

“ ไม่มี ” พิมพ์ดาวตอบยักไหล่ ค้นหาสิ่งของในกล่อง แล้วก็หยิบผ้าพันแผลที่ตัดสำเร็จเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขึ้นมาพร้อมกับสกอตเทปสีขาวขุ่น มาร์โกปล่อยให้เธอปิดแผลให้เขาจนเสร็จ จึงพูดเสียงราบเรียบแต่กล่าวหาในทีว่า

“ คุณเป็นคนชกผม ”

พิมพ์ดาว ถอยออกมากอดอกเอียงคอมองเขา

“ ไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับเหรอ อย่าลืมสิว่าคุณกำลังจะทำอะไรฉัน และอย่าเอาเรื่องบาดเจ็บมาอ้างด้วย รู้ไหมคุณเป็นคนเจ็บที่เอาแต่ใจ ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ ฉันไม่ใช่ทั้งญาติ ทั้งเพื่อน หรือ ลูกน้องคุณนะ ที่จะได้คอยเอาใจตามใจรองรับอารมณ์คุณน่ะ ”

มาร์โกมองเธอนิ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไร้เหตุผล เขาไม่คิดจะคุกคามเธอ หากเธอจะพูดดีๆ หรือทำตัวอย่างคนมีน้ำใจกับเขาบ้าง ไม่ใช่พูดอะไรก็เถียงคำไม่ตกฟาก ไม่สำนึกว่าเขาสู้ไม่เอาเรื่องหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากเธอ จะปฏิบัติต่อเขาให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง มันบ้าที่สุดตั้งแต่เธอไล่เขาลงจากเตียงนั่นแล้ว มีผู้หญิงที่ไหนกล้าทำกับเขาอย่างนี้บ้าง ให้ตายเถอะ ... เขาคิดบ้ายังไงนะถึงอยากมาอยู่กับเธอที่นี่ คงเพราะไอ้หน้าสวยๆ ซื่อๆ ดูไร้เดียงสานี่แน่เลย ลองเขาทำหยิ่งดึงดันจะออกไปตอนนี้ มีหวังแม่คุณเปิดประตูไล่ส่งแน่ มันเรื่องอะไรจะไป

“ มีเสื้อให้เปลี่ยนไหม? ”

พิมพ์ดาวชะงักอึ้ง ที่เขาถามไปเสียทางนั้น เพราะเตรียมจะซัดกลับเต็มที่หากเขาจะโต้ตอบตำหนิเธออีก

“ มี อยู่โน่น ” เธอตอบ แล้วเดินไปยังโต๊ะที่เธอวางถุงเสื้อเขาเอาไว้ แว่วเสียงเหมือนเขาเดินตามมาทำให้ พิมพ์ดาวเกร็งขึ้น แต่แล้วมาร์โก ก็เดินตรงไปที่ตู้เย็น หยิบเอากล่องข้าวต้มที่เธอเตรียมเอาไว้ให้ตั้งแต่ตอนเช้าออกมาใช้ส้อมจิ้มๆ กระแทกลงไป ก่อนจะ ใส่เข้าไปยังเตาไมโครเวฟ ท่าทางของเขาเหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องอย่างนี้ แล้วเขาก็เดินตรงมาหาพิมพ์ดาว

“ ไหน? ”

พิมพ์ดาว ยื่นเสื้อและกางเกงยืดขายาวให้ ซึ่งชายหนุ่มแทบจะกระชากไปจากมือเธอ เดินตรงไปที่ห้องน้ำ

หญิงสาวมองตามเขาไปแล้วถอนหายใจ หากไม่มีเหตุการณ์เมื่อครู่ และเขาดันทุรังจะออกไปพักโรงแรมจริงๆ เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ฝนยิ่งตกหนัก เธอเองก็ไม่ชอบขับรถตอนฝนตกเพราะไม่เก่งเสียด้วย อาจจะปล่อยเลยตามเลยเหมือนคนใจดำอย่างเขาว่าจริงๆ เพราะยังไงก็ตามเธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อนี่เป็นบ้านของเธอ เขาก็ควรจะเคารพในสิทธิ์ของเธอ หากเขาไม่มีทีท่าคุกคามเธอแบบนี้ มีหรือเธอจะแสดงความไร้น้ำใจออกไป เธอทำดีเท่าไหร่แล้วที่ช่วยทำแผลให้อีกรอบน่ะ เกลียดเลือดจะตายยังฝืนทำให้เลย แล้วยังจะหาว่าเธอใจดำได้ยังไง

มาร์โกออกจากห้องน้ำ ดูเขาสะอาดสะอ้านขึ้น แต่ใบหน้าก็ยังเคร่งอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มเดินไปหยิบช้อนในตะแกรงแล้วเปิดไมโครเวฟ หยิบข้าวต้มออกมา เขาพยายามใช้มือข้างเดียวจัดการกับพลาสติกที่ปิดผนึกออก แต่ไม่สำเร็จ พิมพ์ดาวเลย เดินตรงเข้าไปแกะออกให้เขาแล้วถอยออกมาโดยไม่พูดอะไร มาร์โกเองก็เงียบไม่เอ่ยปากขอบคุณสักคำ ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้ที่หน้าเคาน์เตอร์ตักข้าวต้มใส่ปากโดยไม่สนใจที่จะเทใส่ชามก่อน เขาทนกลืนได้สามสี่คำก็ผลักออก ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาถือเดินไปที่นอนตัวเอง ไม่แม้แต่ชายตามองมาทางพิมพ์ดาว

ตอนเขาพยายามเอายาออกจากถุงที่เป็นซองกดปิดผนึก พิมพ์ดาวก็อยากจะเข้าไปช่วยอยู่หรอก เพราะเขาคงไม่ถนัดที่ใช้มือเดียวแน่ แต่เห็นสีหน้าแล้ว เฉยดีกว่า และก็คิดถูกเพราะเขาสามารถช่วยตัวเองได้อย่างดี เธอมองเขาล้มตัวนอน แล้วยิ้มนิดๆ มันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นเหมือนกัน โดยปกติเธอก็ไม่ชอบความขัดแย้งนักหรอก อันไหนพอจะประนีประนอมได้เธอก็ทำ หากไม่ทำให้โกรธเสียก่อน

พิมพ์ดาวทำโน่นทำนี่ตามปกติประจำวันของตัวเองโดยพยายามไม่ไปข้องแวะ พื้นที่ด้านโน้นของเขา ฝนซาลงหน่อยตอนหกโมง แต่พอสองทุ่มครึ่งมันก็เทลงมาหนักอีก และเมื่อขึ้นเตียงตอนสามทุ่มกว่าๆ พิมพ์ดาวก็นึกขึ้นได้ว่า เธอน่าจะเปลี่ยนผ้าปูและปลอกหมอนเสียใหม่ แต่เมื่อเธอขยับจะลุกขึ้น เสียงฟ้าผ่าก็ดังเปรี้ยงขึ้นมาจนเธอสะดุ้ง ไฟกระพริบสองสามครั้ง แล้วก็ดับสนิท

พิมพ์ดาวถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ความจริงเธอก็มีไฟฉายนีออน อันใหญ่ แต่มันอยู่ที่ครัวและเธอก็คร้านเกินกว่าจะไปหยิบมันขึ้นมาเปิดเพื่อเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เลยตบหมอนสองสามครั้งก่อนจะนอนลงไป

กลิ่นกายที่ยังติดอยู่แม้จะบางเบา แต่พิมพ์ดาวเหมือนจะรู้สึกถึงมันได้ และรู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นึกรังเกียจ อย่างที่ใจอยากให้เป็นเลย

หญิงสาวนอนตะแคง มองร่างที่นอนห่างออกไป แล้วถอนหายใจเบาๆเมื่อตกลงใจว่า

เอาเถอะ หากเขาต้องการ พรุ่งนี้เธอจะให้เขาไปพักที่โรงแรม แต่ก่อนไปอาจจะพาไปหาหมออีกสักรอบ ไม่รู้ที่เธอต่อยไปนั้นมันจะระบมหรือเปล่า?

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พิมพ์ดาวไม่อาจจะคาดคะเนได้ แต่เธอก็มาสะดุ้งตื่นเอาเมื่อได้ยินเหมือนเสียงอะไรบางอย่างตกกระทบพื้น ตามมาด้วยเสียงสบถของมาร์โก แสงไฟสว่างโร่จากการที่เธอไม่ได้ปิดสวิซต์ตอนไฟดับ ทำให้พิมพ์ดาวเห็นขวดน้ำตกอยู่ที่พื้น ส่วนตัวเขาก็นั่งใช้มือข้างเดียวแกะซองยา

มาร์โกรู้สึกปวดถึงกับตาพร่า หนาวจนสะท้านและสักครู่มันก็ร้อนจนเขาแทบจะระเบิด สลับกันไป รู้ว่าตัวเองไข้ขึ้น และมันปวดตุบที่แผลหน้าผากเสียจนต้องฝืนลุกขึ้นมาหายากิน แต่มันน่าโมโหที่เขาใช้มือข้างเดียวไม่ถนัด จนปล่อยให้ขวดน้ำตกพื้น อารมณ์ฉุนเฉียวช่วยตัวเองไม่ได้ทำให้เขาถึงกับอยากจะเหวี่ยงยาทิ้ง แม่สาวนั่นคงหลับสบายล่ะ มันน่าหักคอเสียจริงๆ ที่ดันคิดผิดมาค้างที่บ้านหล่อน สัญชาตญาณเขาผิดพลาดเรื่องผู้หญิงคนนี้จริงๆ หน้าตาก็ดี แต่ช่างเย็นชาเอาเสียจริงๆ

แล้วเสียงอ่อนๆ ก็พูดขึ้นด้านหลังเขา

“ ฉันช่วย ”

มือเรียวเล็กดึงซองยาไปจากเขา อย่างไม่สนใจว่าเขาจะตอบอย่างไร

มาร์โกไม่อยากให้เธอมาช่วย มาวุ่นวายกับเขาอีก ยอมรับล่ะว่าโกรธ แต่ก็อดไม่ได้จะมองสาวในเสื้อกล้าม กับกางเกงยืดตัวหลวม ที่กำลังแกะซองยาให้เขา เธอก้มหยิบขวดน้ำขึ้นมายื่นให้ มองเขากินยาล้มตัวลงนอนเรียบร้อยแล้ว จึงใช้มือแตะที่หน้าผาก แล้วก็ขมวดคิ้วย่น

“ ตัวร้อนนี่ สงสัยไข้ขึ้น ฉันเช็ดตัวให้เอาไหม? ”

มาร์โกเพ่งเธอด้วยสายตาที่พยายามจะฝืนเอาไว้ แม้จะรู้สึกปวดจนร้าวไปหมดแต่ไม่วายที่จะพูดเยาะๆ ว่า

“ ทำไม มีปัญหากับมโนธรรมในใจเรอะ? ”

พิมพ์ดาวเม้มปาก ยืนแทบจะค้ำหัวเขาเมื่อทอดสายตามองชายหนุ่ม ผมดำยุ่งกระเซิง ริมฝีปากเขาแห้งผาก แม้ท่าทางจะอ่อนละโหย แต่สายตาของเขาก็แวววาวคมกล้า แล้วพิมพ์ดาวก็ถอนหายใจพูดเฉยชาว่า

“ เปล่า ฉันกลัวคุณมาตายที่บ้านฉันน่ะ ”

ไม่ว่าคำพูดนี้ จะเพียงล้อเล่น หรือประชดประชัน แต่ใบหน้าและท่าทางของพิมพ์ดาว ทำให้มาร์โกถึงกับสัญญากับตัวเองว่า ต้องเอาให้ได้ ความรู้สึกนี้มันแรงกล้าเสียเขาเองยังต้องตกใจ

“ จะขอบคุณมาก หากคุณทำอย่างที่พูดจริงๆ ”

แล้วมาร์โกก็ไม่รู้หรอกว่า พิมพ์ดาวเป็นคนพูดจริงทำจริงแค่ไหน เพราะพิษไข้ทำให้เขาครึ่งหลับครึ่งตื่น สิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเพียงใบหน้าเย็นชากระด้างของสตรีนางหนึ่ง ที่หัวเราะเยาะเขาอย่างคลุ้มคลั่ง ชายหนุ่มสะบัดมือไล่ใบหน้านั้นออกไปสุดเหวี่ยง

“ ไปให้พ้นคริสเตน ”

“ โอ๊ย !” พิมพ์ดาวอุทานเสียงดัง เมื่อมือหนักๆ ของมาร์โกสะบัดมาถูกหน้าอกของเธออย่างจังเป็นครั้งที่สอง เจ็บเสียจนเธอน้ำตาเล็ด มันเรื่องบ้าอะไรทีเธอต้องมาเจอแบบนี้ เขาตัวร้อนไข้ขึ้นสูงจนเธอตกใจ และพยายามที่จะเช็ดตัวเพื่อลดไข้ แต่มาร์โกก็ดิ้นทุรนทุรายปัดป่ายเสียจนเธอต้องเจ็บตัวไปด้วย มีหวังพรุ่งนี้มันต้องเขียวเป็นจ้ำแน่ ความจริงเธอก็เป็นคนแข็งแรง แต่ผิวของเธอมันค่อนข้างจะบอบบาง โดนอะไรนิดหน่อยมันมักจะเผยให้เห็นรอยช้ำได้ง่าย พิมพ์ดาวก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยจะมีประสบการณ์ในเรื่องพยาบาลคนเสียด้วย ตอนแรกก็คิดจะกรอกยาให้เขาอีก แต่ระยะห่างกันแค่สองชั่วโมงก็ทำให้กลัวว่ามันจะอันตรายเกินไป คิดแม้กระทั่งจะให้เขากินยานอนหลับอีก ก็กลัวว่าเขาจะตายไปเลย อารมณ์พาลหงุดหงิดที่เขาไม่สงบเอาง่ายๆ มันทำให้เธอขัดใจคิดแม้กระทั่งจะหาผ้ามามัดมือมัดขาเขาไว้ แต่ก็โชคดีเป็นของมาร์โกที่อาการดิ้นของเขามันบรรเทาลง แต่ความร้อนยังสูง พิมพ์ดาวจึงต้องเวียนเช็ดตัวให้เขาอยู่ทั้งคืน พร้อมกับนึกหมั่นไส้ที่เขาบ่นเพ้อพึมพำหาแต่แม่สาว
คริสเตน คริสเตน อยู่นั่นแหละ

และในที่สุดพิมพ์ดาวก็ต้องลากโซฟาตัวเล็กเข้ามานั่งใกล้ๆ ทอดสายตามองใบหน้าอันหล่อคมสันของเขาจนเคลิ้มหลับไปเหมือนกัน

 

- - - - - -

 

 

เรื่องนี้ยังเขียนไม่จบนะคะ ^--^

ไปคุยกับฟีลิปดาเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ ที่นี่ค่ะ คลิก

 

 

 

 

 

 

 


โดยหนึ่งลิปดา
© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย หนึ่งลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕แคนโต้แห่งความรัก
 
 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.