กินรีเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือขณะยืนรอลิฟท์ อีก สิบนาทีจะห้าทุ่ม โดยปกติเธอจะไม่ชอบขึ้นลิฟท์ เพราะอยากเดินออกกำลังกายมากกว่า เธอพักอยู่ที่ชั้นสี่ใช้เวลาไม่นานก็เดินถึง แต่สำหรับวันนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะก้าวขาขึ้นบันได เหตุก็เพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อตอนทุ่มกว่า ๆ ทำให้เธอต้องยืนขาแข็งรอรถเมล์ที่กว่าจะผ่านมาแต่ละคันนั้นก็นานและพอมาก็แน่นเต็มเอียดเสียจนไม่สามารถแทรกตัวขึ้นได้ พอตัดใจจะขึ้นรถแท๊กซี่ก็ไม่มีคันไหนที่จะว่างผ่านมาให้เรียกได้เลย ดังนั้นเธอจึงกลับมาถึงคอนโดที่พักล่าช้าไปจากเวลาเดิมถึงสามชั่วโมง
นี่ก็เป็นสาเหตุให้เธอหงุดหงิดแล้ว เพราะเริ่มเคยชินกับการบังคับตัวเองให้ทำตามตารางเวลาที่กำหนดไว้
ว่า จะต้องกลับมาถึงที่พักก่อนสองทุ่มทุกวัน และเธอต้องหงุดหงิดเพิ่มขึ้นที่ต้องมายืนรอลิฟท์อีก
แม้ลิฟท์ของคอนโดมิเนียมหรูนี้จะมีถึงสองตัวแต่ก็ยังช้าไม่ทันใจอยู่ดี ดังนั้นเมื่อลิฟท์ที่ขึ้นมาจากชั้นจอดรถเปิดออก กินรีก็รีบพรวดเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มกับสตรีนางหนึ่งยืนโอบกอดแอบอิงกันอยู่ในลิฟท์อย่างไม่แคร์สายตาคน กินรีเพียงแค่ตวัดสายตามองผ่านแล้วก็กดหมายเลขที่ต้องการนิ่งมองตัวเลขที่เปลี่ยนไปเมื่อลิฟท์เลื่อนขึ้น แต่แล้วเธอก็จุ๊ปากออกมาเมื่อลิฟท์ได้เลื่อนผ่านชั้นที่เธอกดเอาไว้โดยไม่หยุด
นี่เธอคงเผลอขึ้นลิฟท์ที่หยุดเฉพาะเลขคี่เสียแล้วละมัง
ไม่รู้ว่าการจราจรทางลิฟท์มันวุ่นวายมากเสียจนต้องมีการแยกเป็นลิฟท์เลขคู่เลขคี่หรืออย่างไร กินรีคิดอย่างหงุดหงิด
เอาเถอะ
ชั้นต่อไปที่ลิฟท์จะจอดคือชั้นเจ็ด เมื่อไปถึงชั้นเจ็ดสองคนนี้ออกไป เธอค่อยพาลิฟท์ลงมาที่ชั้นห้า เดินลงบันไดอีกชั้นเดียวก็ถึงชั้นที่เธออยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องออกไปรอลิฟท์อีกตัวให้เสียเวลา
เมื่อลิฟท์มาถึงชั้นเจ็ด ประตูเปิดออกแต่ร่างสองคนข้างหลังยังนัวเนียกันอยู่ กินรีหันไปมองด้วยสายตาดุ ๆ อย่างลืมตัวเหมือนจะเร่งให้ทั้งคู่ออกไป ฝ่ายหญิงจึงจุ๊บที่แก้มฝ่ายชาย ยิ้มอย่างไม่ยี่หระให้เธอก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของตัวเองให้เรียบร้อย
ก็เพราะมัวมองแต่คนที่ออกไป ร่างสูงใหญ่ที่เธอคิดว่าจะเดินตามออกไปกลับเอื้อมมือผ่านเธอพร้อมกับพูดเชิงขออนุญาตอะไรทำนองนั้นเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ เขากดไปที่หมายเลขยี่สิบสาม กินรีกระแทกเท้าลงกับพื้นอย่างขัดใจรีบกดหมายเลขเก้าทันที เธอไม่คิดที่จะถ่อไปถึงชั้นยี่สิบสามกับนายบ้านี่หรอก..
เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึ หึ มาจากร่างสูงใหญ่ข้างหลัง กินรีหันขวับส่งสายตาไม่พอใจให้อย่างเปิดเผย อีกฝ่ายกลับเลิกคิ้วสบตายิ้มให้อย่าง กึ่งขันกึ่งท้าทายให้อยู่ในที ต่างฝ่ายต่างไม่หลบตาซึ่งกันและกัน ประตูลิฟท์เปิดออกเมื่อถึงชั้นเก้า หญิงสาวทำตาเขียวให้เขาก่อนจะออกจากลิฟท์
หลังจากที่ต้องเดินลงบันไดมาอีกชั้นหนึ่งและอยู่ในลิฟท์อีกตัวที่จอดเฉพาะชั้นเลขคู่นั่นแหละ กินรีจึงคิดขึ้นได้ว่า เธอน่าจะตบหน้าหล่อ ๆ คมเข้มแบบหนุ่มตะวันออกกลางทั้งหลายเข้าให้สักฉาดโทษฐานมากวนอารมณ์เธอ
กินรีเดินหน้าตึงไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ไม่ห่างจากลิฟท์นัก เธอยังขุ่นใจเรื่องที่เกิดในลิฟท์ไม่หาย
วันนี้กลับดึกนะคะ
เสียงทักดังขึ้นขณะที่กินรีกำลังไขประตู เธอหันหลับซ่อนสีหน้าเซ็ง ๆ เอาไว้ เมื่อสตรีวัยกลางคนแต่ยังรักษารูปร่างของตัวเองไว้ได้อย่างน่าชม เดินฉีกยิ้มเข้ามาหา หญิงสาวแต่งยิ้มให้พอเป็นมารยาทตอบสั้น ๆ ว่า
ค่ะ
ฝนตกรถติดแย่เลยนะคะ ไม่เคยเห็นคุณน้องกลับผิดเวลาแบบนี้ยังนึกห่วง ๆ อยู่เลย สุ้มเสียงคนพูดใส่ความจริงใจอย่างเป็นห่วงเป็นใยเกินเหตุ
รถติดจริง ๆ ละค่ะ เธอเออออ แล้วก็เหนื่อยมากด้วย ขอตัวก่อนนะคะ
เดี๋ยวค่ะคุณน้อง อีกฝ่ายรีบเรียกเอาไว้ เมื่อเห็นกินรีทำท่าจะเปิดประตูเข้าห้องไปเสียเฉย ๆ
ไม่ทราบว่าวันเสาร์นี้คุณน้องว่างหรือเปล่า พี่เชิญไปงานปาร์ตี้ที่ห้องนะค่ะ จัดกันขึ้นสนุก ๆ พวกเรากันเองที่พักอยู่นี่ทั้งนั้น
ท่าทางคนชวนดูจะเต็มอกเต็มใจเหลือเกิน กี่ครั้งแล้วละที่สตรีผู้นี้เพียรพยายามจะชวนเธอไปงาน ปาร์ตี้
ให้ได้
ถ้าว่างแล้วจะไปค่ะ กินรีตอบฝืนยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะผลุบเข้าห้องตัวเอง ลอคประตูราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะตามเข้ามา
พออยู่คนเดียว หญิงสาวก็รีบถอดเสื้อกระโปรงและชุดชั้นในที่ชื้นเพราะโดนฝน โยนผลุบไปยังมุมห้องที่มีตระกร้าวางอยู่อย่างแม่นยำ เดินร่างเปลือยเปล่าไปคว้า
ผ้าขนหนูที่ราวโครเมี่ยมหน้าห้องน้ำ แล้วเดินเข้าห้องน้ำเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นอาบน้ำสระผมอย่างรวดเร็ว
วันนี้ช่างเป็นวันที่เหลือทนสำหรับเธอจริง ๆ กินรีคิด มันเริ่มจากผู้ปกครองของเด็กที่เธอรับสอนภาษาอังกฤษให้หลังเลิกเรียน มาบ่นให้เธอฟังว่า ภาษาของเด็กไม่ได้คะแนนดีขึ้นเลย ความจริงเธอก็เพิ่งจะรับสอนเด็ก
คนนี้เป็นชั่วโมงที่สามเอง และเป็นการรับช่วงสอนต่อจากเพื่อนในกลุ่มซึ่งเธอเพิ่งเข้าไปร่วมด้วยได้ไม่นาน เป็นกลุ่มนักศึกษาที่หารายได้โดยการรับสอนพิเศษและเป็นติวเตอร์ ช่วยสอนการบ้านเด็กนักเรียนตามบ้าน เธอรู้สึกหงุดหงิดที่ผู้ปกครองคนนี้พูดเหมือนกับว่า มันไม่คุ้มค่ากับการที่จ้างเธอในชั่วโมงละสองร้อยบาท
สองร้อยบาท !
ให้ตายซิ !
กินรีลูบแชมพูออกจากผมอย่างโมโห วันนี้เธอต้องทนพูดกับเด็กวัยรุ่นที่ขาดความสนใจในการเรียนอยู่ตั้งชั่วโมงเพียงแค่เงินสองร้อยบาท
ต้องยืนคอยรถเมล์ท่ามกลางสายฝนเพียงเพื่อจะประหยัดเงินไม่กี่ร้อยแทนการนั่งแท๊กซี่
และเมื่อตัดใจจะนั่งแท๊กซี่ยังต้องคอยแย่งคนอื่นอีกเป็นชั่วโมง
เลวร้ายอะไรอย่างนี้
กับชีวิตที่เคยมีแต่ความสะดวกสบาย
กินรีเงยหน้าให้สายน้ำจากฝักบัวชะล้างความขุ่นข้องในใจออกไป
ทนอีกสักนิดเถอะ
ไหน ๆ ก็ทนมาได้ตั้ง
หลายเดือนแล้ว จะต้องลบล้างคำสบประมาทของแม่ให้ได้ เทอมหน้าก็จะจบแล้ว จากนั้นแม่จะได้ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเธออีก
กินรีคิด
ออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูผืนใหญ่พันรอบกาย กินรีก็มานั่งไดท์ผมให้แห้ง เธอไม่เคยสระผมตอนกลางคืน เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นหวัดได้ง่ายถ้านอนทั้ง ๆ ที่ผมชื้น แต่วันนี้มันอดไม่ได้เพราะผมที่โดนทั้งฝุ่นและละอองฝนมันทำให้คันยิบ ๆ ไม่สบายตัว ผมของเธอยาวประบ่า เป่าไม่นานก็แห้ง จากนั้นจึงสวมชุดนอนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเป็นพิเศษ เดินไปปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น อาการหนักหัวหน่อย ๆ ของตนเอง ทำให้กินรีนึกเสียดายที่ไม่มียาแก้หวัดติดห้องเอาไว้ จะได้กินกันหวัดเอาไว้ก่อน
ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอก่อนจะนอนในคืนนั้นคือ .. การสั่งให้ตัวเองอย่าลืมซื้อยาแก้หวัดมาสำรองไว้ในห้อง
แม้จะคิดได้ว่าต้องซื้อยามากินแก้หวัด แต่มันก็สายไปสำหรับกินรี เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะและเจ็บคอเล็กน้อย
หญิงสาวไม่กล้าอาบน้ำ เพียงแต่เช็ดตัวเอาเพราะเห็นว่าสายกว่าปกติแล้ว เธอรีบแต่งตัวแม้จะรู้อาการตัว
เองว่าคงจะแย่แน่ แต่ก็ไม่อยากจะหยุดเรียนเพราะเป็นช่วงใกล้สอบ อาจารย์มักจะบอกใบ้ข้อสอบให้ในช่วงใกล้ปิดคอร์สเสมอ กินรีไม่อยากให้พลาด เธออยากจะจบภายในปีนี้ ถ้าผ่านการสอบครั้งนี้ไปได้ ในเทอมหน้าเธอลงเรียนไม่กี่หน่วยกิตก็จบแล้ว
กินรีคว้าแจคเกตสวมทับเสื้อนักศึกษาเอาผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าสะพาย หอบหนังสือได้ก็ออกจากห้องไปโดยไม่สนใจแต่งหน้า
เธอไม่เดินลงไปเหมือนทุกวัน เพราะต้องการถนอมแรงตัวเองไว้ไม่ให้เหนื่อยเกินไป มายืนรอลิฟท์ ก็กดเรียกไว้ทั้งสองตัวตามประสาคนมือไว ไม่นานลิฟท์จากข้างบนก็เลื่อนลงมา หญิงสาวก้าวพรวดเข้าไปไม่สนใจมองใครในลิฟท์ เธอแค่เหลือบดูแผงหมายเลข มีชั้นที่เธอต้องการจะลงถูกกดเอาไว้ก่อนแล้ว ก็เลยยืนนิ่ง
กลิ่นโคโรล์ญกับน้ำหอมโชยมากระทบจมูก มันฉุนจนกินรีต้องจามออกมาแทบจะล้วงหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาปิดไม่ทัน
มีเสียงพูดขึ้นมา สำเนียงรัวเร็วจากชายคนหนึ่งและก็มีอีกเสียงหนึ่งโต้ตอบออกมา จากนั้นชายสี่คนที่อยู่ในนั้นก็หัวเราะครืน สนั่นลิฟท์
กินรีฟังภาษาอาหรับไม่ออก แต่เดาได้ว่าคงจะเย้าแหย่กันเรื่องการจามของเธอ หญิงสาวเม้มปากอย่างไม่พอใจ สิ่งที่เธอทำต่อต้านพวกเขาเพียงแค่ไม่ลดผ้าเช็ดหน้าที่ปิดจมูกออกอย่างจงใจให้รู้ว่าเธอ เหม็น
ออกจากลิฟท์ได้ กินรีก็เดินเร็วจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของรีเซฟชั่นที่เคาน์เตอร์ติดต่อเรียกเอาไว้
คุณกินรีคะ
กินรีหยุดกึกหันหลังขวับ ความที่เธอหยุดโดยเร็วทำให้ร่างสูงใหญ่ที่เดินตามมาติด ๆ ชะงักเท้าไม่ทันจึงชนเธอเข้าเต็มที่ จนเธอเซผงะจะหงายหลัง มือใหญ่แข็งแรงของคนที่ชนก็รีบคว้าเธอเข้ามากอดไว้โดยเร็วก่อนที่กินรีจะล้มลงไป แต่กระนั้นหนังสือก็ยังหล่นกระจาย
ขอโทษ เสียงห้าวใหญ่พูดเป็นภาษาอังกฤษ
ปฏิกิริยาของกินรีที่สะบัดหลุดจากอ้อมกอดของเขาก็คือ ยกฝ่ามือตบเข้าที่หน้าเขาอย่างแรงจนได้ยินเสียงดัง นั่นสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ แต่ตัวกินรีกลับเดินผละจากเขาไปที่เคาน์เตอร์ติดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีธุระอะไรเหรอคะ เธอถามพนักงานสาว
มีจดหมายถึงคุณค่ะ รีเซฟชั่นสาวหน้าตาดี รีบยื่นซองจดหมายให้กินรีอย่างตื่นเต้นเรื่องนี้ต้องถูกเม้าท์ให้สนุกปากแน่ ความหล่อความรวยของมิสเตอร์ราล์ฟนั่น จัดได้ว่าเป็นที่รู้จักของสาว ๆทุกคนในตึกนี้ก็ว่าได้ ส่วนกินรีนั้นแม้ไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่ความสวยของเธอก็มีคนกล่าวถึงไม่น้อย ก็แล้วตอนนี้อยู่ดี ๆ เธอก็ตบหน้าชายหนุ่มที่สาว ๆ ทุกคนฝันถึงได้ยังไง ในเมื่อดู ๆ แล้ว
มิสเตอร์ราล์ฟ ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย กลับช่วยกินรีไม่ให้ล้มเสียมากกว่า
ขอบคุณค่ะ กินรีบอกเมื่อยื่นมือไปรับจด
หมาย แล้วหันกลับเดิน ไป ยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าขรึมแววตานิ่งสงบมองมายังเธออยู่ก่อน ในมือเขาคือหนังสือเรียนของกินรี เพื่อนของเขาอีกสามคนยืนอยู่ไม่ห่างนัก
กินรีปั้นยิ้มบนใบหน้าได้อย่างอัศจรรย์ เมื่อยื่นมือออกไปพูดเฉยว่า
ขอบคุณค่ะที่ช่วยเก็บให้ ภาษาอังกฤษของเธอคล่องแคล่ว
แต่อีกฝ่ายจ้องหน้าเธอนิ่ง พูดเสียงเย็นว่า
ผมต้องการคำขอโทษ แล้วก็คำอธิบายในพฤติกรรมของคุณด้วย
กินรีเก็บสีหน้าประหลาดใจไว้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงภาษาไทยชัดแจ๋วอย่างไม่น่าเชื่อของชายหนุ่ม เธอยิ้มให้เขาอย่างที่รู้ว่ามันได้ผลกับหนุ่ม ๆ
ดิฉันขอโทษค่ะ ความจริงดิฉันไม่ได้ตั้งใจตบหน้าคุณ มันเป็นกิริยาโต้กลับอย่างอัตโนมัติเมื่อถูกแตะต้องจากผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อหรือพี่ชาย เธอหลีกเลี่ยงคำว่ากอดได้อย่างน่าชม
ชายหนุ่มหรี่ตามองมาอย่างไม่เชื่อถือ
เชื่อเถอะค่ะ กินรีพูดยืนยันเมื่อเห็นสายตาเขา ดิฉันไม่คิดอยากจะเป็นศัตรูกับผู้ชายตัวโต ๆ อย่างคุณหรอกค่ะ มันเจ็บเหมือนกันนะคะกับการตบหน้าคุณ ดูซิ
คะมือดิฉันยังแดงไม่หายเลย คงบวมแน่ ๆ เธอยื่นมือที่ยังแดงกล่ำให้เขาดูต่อหน้า
ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ใช้มือข้างที่ว่างจับมือที่เธอส่งมาให้ดู แล้วยื่นหนังสือที่ถือเอาไว้ใส่ลงในมือเธอ
เอาเถอะผมจะเชื่อถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกดี
ขึ้น สายตาเขาส่อแววรู้ทันเมื่อพูดต่อ แต่อยากจะเตือนเอาไว้ก่อนนะ ผมไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่พี่ชายคุณ ก่อนจะ ยิ้มให้ผมแบบนี้อีกละก้อ ระวังผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยละ
กินรีหน้าเครียดอย่างไม่เสแสร้ง เธอไม่ค่อยจะเจอคนที่กล้าตีฝีปากโต้กลับเธออย่างนี้มาก่อน ความไม่พอใจแสดงออกมาอย่างชัดเจน เมื่อหญิงสาวแทบจะเดินชนเขาผ่านประตูออกไปเลย ถ้าชายหนุ่มไม่เบี่ยงตัวหลบให้เสียก่อน
ฉันว่าฉันชอบเธอวะราล์ฟ หนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น
เก็บความชอบของนายเอาไว้ข้างในเอริค เธอเป็นของฉัน
เป็นคำพูดที่หนักแน่นของราล์ฟ นัยน์ตาเขาเป็นประกายวับขณะที่จ้องตามหลังกินรีไปอย่างมาดหมาย
กินรีตัดสินใจเอาหนังสือใส่ถุงพลาสติคที่บรรจุ ของใช้และอาหารแห้งประเภทโจ๊ก มาม่า และกาแฟ ที่เธอต้องซื้อเป็นการฆ่าเวลาที่ต้องมาหลบฝนอยู่ในมินิมาร์ท แห่งนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนออกไปเมื่อเห็นว่ามันเบาบางลงแล้ว แค่เดินข้ามสะพานลอยเดินไปอีกหน่อยก็ถึงคอนโดเธอแล้ว
ขณะที่เดินหอบของพะรุงพะรังขึ้นสะพานลอย กินรีชักคิดถึงรถคันเล็กที่เธอขายไปเมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาตงิด ๆ เธอยอมขายมันไปเมื่อตัดสินใจมาอยู่ที่คอนโดนี้ตามลำพัง เงินที่ได้ส่วนหนึ่งเธอเอาไปลงทะเบียนเรียน อีกส่วนหนึ่งเธอใช้ไปอย่างที่เมื่อนึกขึ้นมาก็
อยากด่าตัวเองนัก เพราะอดใจไม่ไหวจึงต้องไปซื้อเครื่องเสียงมาฟัง ถ้าไม่เพราะความเคยชินเก่า ๆ อย่างน้อยเธอก็ยังจะพอมีเงินเหลือในแบงค์พอถูไถไปถึงเทอมหน้าได้ แทนที่จะต้องกระเบียดกระเสียดประหยัดแม้เงินห้าบาทสิบบาทค่ารถโดยสารอย่างนี้ .. ดี ! สมน้ำหน้าตัวเอง
กินรีเดินดุ่มเข้าเขตที่พัก ยิ้มให้กับยามแก่ ๆ ที่คอยยกแผงกั้นรถเข้าออก
เอาร่มไหมครับ ยามเอื้อเฟื้อ
กินรีส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เสียงแตรและเสียงเบรคดังขึ้นสนั่นเมื่อกินรีทำท่าจะเดินข้ามถนนหน้าตึก รถคันยาวจอดห่างด้านหลังเธอไม่ถึงเมตร รถคันนี้ขับตามหลังเธอมาอย่างเงียบกริบ หญิงสาวตวัดสายตามองคนขับหน้าเข้มนั้นคุ้นตาขึ้น เพราะเห็นเป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้
หญิงสาวเป็นฝ่ายถอยหลังขึ้นฟุตบาทเงียบ ๆเป็นสัญญาณให้รถผ่านไปก่อน รถเบนซ์คันนั้นแล่นผ่านไปในระยะประชิดเหมือนแกล้ง แต่กินรีไม่คิดจะเอาใจใส่ ให้คนขับได้หน้าหรอก
หน้าเข้าไป กินรีถึงกับจามออกมาเมื่อปะทะเข้ากับไอเย็นของแอร์ เธอเห็นคุณปริมยืนคุยอยู่กับร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอเริ่มจะชินตาอยู่หน้าลิฟท์ ความคิดที่จะขึ้นลิฟท์เลยเปลี่ยนไป
คุณน้องคะ
คุณปริมเรียกเสียงดัง กินรีแกล้งไม่ได้ยิน ตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปขึ้นบันไดขัดกับความตั้งใจเดิม แต่อีกฝ่ายกลับก้าวเร็ว ๆ เข้ามาหา แทบจะไม่เชื่อว่าคนที่ใส่รองเท้าสูงปริ๊ดอย่างนั้นจะเดินได้เร็วถึงขนาดนี้
ตกลงว่าไงคะเรื่องงานปาร์ตี้ไปได้ไหม ? นี่พี่เพิ่งจะชวนมิสเตอร์ราล์ฟ เขาตอบตกลงแล้วนะคะ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน
กินรีคิดในใจอย่างรำคาญ แต่ที่พูดออกมาก็แค่
ถ้าว่างแล้วจะไปค่ะ
ต้าย ! คุณน้องเดินตากฝนมาหรือคะ จู่ ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่องกรีดกราดขึ้นมา เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก รถเข้าอู่หรือคะไม่เห็นคุณน้องขับตั้งนาน
เสียงนั้นไม่เบาเลย หญิงสาวจึงเป็นเป้าสายตาของคนที่อยู่ในลอบบี้เล็ก ๆ นั้นไปโดยปริยาย
กินรีถึงกับปวดหัวจิ๊ดขึ้นมาทันที
ค่ะ เธอตอบแล้วเดินไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจจะรักษามารยาทกับคนที่เธอคิดว่าซอกแซกเรื่องของเธอแต่อย่างใด
มาหนนี้คุณพักอยู่นานนะคะมิสเตอร์ราล์ฟ คุณ ปริมเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่ในลิฟท์กับราล์ฟ ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มนิด ๆ
ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ คุณจะว่างมาหรือเปล่าคะวันเสาร์นี้
ผมจะบอกให้
ดีค่ะดิฉันจะได้แนะนำให้รู้จักสาว ๆ สวย ๆ คุณปริมมีสีหน้ายินดีอย่างเห็นได้ชัด
ราล์ฟเหยียดยิ้มอย่างรู้ทัน กับอาชีพเบื้องหลังของสตรีผู้นี้
ความจริงกินรีเขาหน้าตาดีนะคะบริสุทธิ์สดใส เธอจงใจพูดคำว่าบริสุทธิ์อย่างเป็นนัย ๆ เพิ่งเข้ามาอยู่เมื่อต้นปีนี้เองไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเธอเป็นคนถือตัวนะคะ แต่อารมณ์ค่อนข้างวู่วาม เอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กไม่พอใจอะไรก็ไม่ค่อยยั้งคิดหรอกค่ะ คุณปริมสามารถเสริมแต่งข้อมูลที่รู้มาน้อยนิดได้อย่างใกล้เคียง
คุณรู้จักเธอ ?
ก็ไม่ได้สนิทนักหรอกค่ะ เธอทำหน้าแหยงเมื่อพูดต่อ
พวกนี้เขาหยิ่งออกจะตายไม่ค่อยจะนับญาติกับใครเขาหรอก แม้ว่าดิฉันจะเป็นน้าเลี้ยงของเธอก็ตาม ดิฉันหมายความว่าดิฉันเป็นน้องคนละพ่อของคุณแม่เธอค่ะ คุณปริมโกหกหน้าเฉย
คุณกำลังคิดจะแนะนำเธอให้ผมงั้นรึ? ราล์ฟไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อได้ยินคุณปริม พรรณนาถึงกินรีแบบนั้น ก็เขาเองเคยใช้บริการของเธอบ่อย ๆ
จากเรื่องที่เกิดเมื่อเช้า ดิฉันคงไม่จำเป็นต้องแนะนำเธอให้คุณหรอกค่ะ แต่อาจจะช่วยคุณได้ในการกันคนอื่นให้ห่างจากเธอ เท่าที่ดิฉันรู้มา กินรีตอนนี้เธอกำลังกรอบเต็มที่แล้ว แม้เธอจะเป็นคนหยิ่ง แต่ในที่สุด ดิฉันเชื่อว่าเธอก็จะต้องมาหาดิฉันเป็นคนแรก คุณปริม ยิ้มกริ่มอธิบายเป็นนัย ๆ
คุณคิดว่าผมจะสนใจเธอเรอะ ? ราล์ฟถามหมิ่น ๆ
แหมมิสเตอร์ราล์ฟคะ
ขณะที่คุณมองเธอ ดิฉันมองคุณอยู่นะคะ คุณปริมพูดอย่างรู้ทัน
งั้น..ผมคงต้องตอบแทนคุณเป็นอย่างมากเลยซินะ จากคำพูดนี้เท่าราล์ฟยอมรับกลาย ๆ ว่าเขาสนใจกินรีจริง ๆ
ความสุขชั้วครั้งชั่วคราวของคุณ ไม่มากไปกว่าครั้งก่อน ๆ หรอกค่ะ เธอยิ้มละไมเมื่อพูด สบสายตาราล์ฟอย่างรู้กัน
คุณปริมเป็นฝ่ายออกจากลิฟท์ไปก่อนด้วยความอิ่มเอมกับผลกำไรจากการจับเสือมือเปล่าของเธอ ราล์ฟเป็นผู้ชายที่จ่ายไม่อั้นกับสิ่งที่เขาต้องการ แม้กินรีจะไม่ค่อยสนใจพูดคุยกับเธอนัก แต่คุณปริมก็มั่นใจว่า เธอสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมได้ ก็สาว ๆ กี่คนแล้วละที่ต้องการเงิน และมาขอให้เธอช่วย และเธอก็สามารถจัดการเสียอยู่หมัด โดยไม่มีการข่มขู่ ขืนใจ ทุกอย่างมันขึ้นกับความสมัครใจทั้งนั้น
ความสำเร็จมันอยู่ที่ลิ้น ..และจิตวิทยานิดหน่อยเท่านั้น
นี่คือคติประจำใจของคุณปริม
ราล์ฟยืนนิ่งอยู่ในลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนขึ้นไปข้างบน เขาไม่ได้แคร์อะไรกับเงินที่จะต้องจ่ายไปให้กับคุณปริม ในเมื่อเขาต้องการจะเดินทางลัดให้ได้ตัวแม่สาวนั่น เขายินดีที่จะจ่ายมากกว่าที่คุณปริมเรียกด้วยซ้ำ ถ้ามันจะทำให้เขาได้ตัวเจ้าหล่อนเร็วขึ้น และหากมีคนล่วงรู้ว่า เขาเฝ้ามองแม่สาวนั่นมานานแค่ไหนแล้ว คงหัวเราะเยาะเขาแน่ เธอช่างเก็บเนื้อเก็บตัวเสียเหลือเกิน บทจะรู้จักกันเขาก็ต้องเจ็บตัวเพราะฝ่ามือเธอเสียแล้ว ราล์ฟยิ้มเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ท่าทางเธอไม่เบาเชียวละ เอาเถอะ ! เขายอมเสีย เท่าไหร่ก็ได้ขอให้ได้ตัวเธอเท่านั้น
ความจริงถ้าราล์ฟจะรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เขาคงไม่ต้องจ่ายเงินให้คุณปริมเพื่อเข้าถึงตัวกินรีแน่
ส่วนกินรีที่ได้กลายเป็นเหยื่อของคนทั้งคู่ ต้อง นอนซมเพราะพิษไข้หวัด เพราะถูกฝนซ้ำเข้า หญิงสาวตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้จะเที่ยง โชคดีที่มันเป็นวันเสาร์ เธอฝืนล้างหน้าแปรงฝัน ต้มโจ๊กสำเร็จรูปกินเพื่อให้มีเรี่ยวแรง แต่ก็ไม่สามารถกินได้มากเพราะเจ็บคอและขมในปาก
เธอจะมัวเสียดายเงินที่จะไปหาหมอโดยกินเพียงยาแก้หวัดไม่ได้เสียแล้ว มันอาจจะหายไม่ทันกับการสอบในอาทิตย์หน้า
กินรีคิด
ดังนั้น หญิงสาวจึงเปลี่ยนจากชุดกระโปรงตัวหลวมที่ใส่เล่นในห้องเป็นเสื้อยืดแขนยาว กับกางเกงยีนส์ รวบผมที่ยาวประบ่าของตนเองเข้าด้วยกันด้วยที่รัดผมกำมะหยี่สีน้ำตาล ที่เธอซื้อมาจากริมถนนฟุตบาทด้วยราคาถูก ๆ หน้าของเธอแดงด้วยพิษไข้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา เมื่อคว้ากระเป๋าได้ กินรีก็ออกจากห้องมายืนรอลิฟท์ด้วยความรู้สึกวิงเวียน เธอหนาวขณะที่ตัวร้อนผ่าว ลิฟท์ว่างเปล่าเมื่อเปิดออก หญิงสาวเข้าไปกดปุ่มลงชั้นลอบบี้แล้วยืนพิงผนังหลับตานิ่ง กะเวลาลิฟท์เลื่อนลงและหยุด
พอออกจากลิฟท์ได้ กินรีก็ตรงไปที่ประตูด้านหน้าเปิดปิดโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้าออก แต่ไม่ทันที่เธอจะได้เดินออกไป ก็พอดีมีกลุ่มเด็ก ๆ วิ่งเจี๊ยวจ๊าวสวนทางเข้ามา หญิงสาวไม่ทันระวังจึงถูกเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนเต็มที่ หากเป็นปกติก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เธอกำลังไม่สบายแทบทรงตัวไม่ได้อยู่แล้ว จึงล้มลงพร้อมทั้งกอดเอาตัวเด็กล้มทับตัวเองไปด้วย แม่หนูน้อยคนนั้นจ้ำม้ำไม่น้อย เมื่อล้มลงไปก็รีบเบี่ยงตัวออกจากกินรีลุกขึ้นวิ่งตามคนอื่น ๆ ไปอย่างไม่รู้สึกรู้สม หญิงสาวฝืนกายลุกขึ้นอย่างยากเย็น
เป็นอะไรหรือเปล่า
ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะจำเสียงนั้นได้ กินรีตอบทั้ง ๆ ที่หันห ลังว่า
เปล่า
แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนกับมีม่านดำวาบเข้ามา กินรีรู้สึกเข่าอ่อน สติดับวูบ ไม่เห็นสีหน้าตกในของราล์ฟที่ยื่นมือเข้ามากอดเธอไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะทรุดฮวบลงกับพื้น
สิ่งที่เธอเห็นเมื่อลืมตาขึ้นก็คือ ภาพวาดของพระ เยซูคริสต์ที่อยู่ในงานเลี้ยง เป็นภาพอาหารเย็นมื้อสุดท้ายที่มีชื่อเสียง หญิงสาวกระพริบตาซ้ำอีกครั้งมันก็ยังเป็นภาพเดิม และเมื่อกวาดสายตามองรอบห้องอย่างช้า ๆ แล้วเธอก็ทำหน้าเบ้ เมื่อมองตามสายพลาสติกใส ๆใกล้ตัวจนเห็นกระปุกน้ำเกลือ
มันยังเหลืออีกตั้งครึ่งกระปุก เป็นที่แน่นอนแล้วว่า..เธออยู่ที่สถานพยาบาลสักแห่ง
ในชีวิต กินรีเคยมานอนที่โรงพยาบาลสองครั้ง ครั้งแรกก็เมื่อตอนผ่าตัดไส้ติ่ง ส่วนอีกครั้งก็ตอนที่ต้องมาดูแลบิดาที่จู่ ๆ ก็หมดสติไปเพราะเกิดอาการโรคหัวใจวายกะทันหัน อยู่โรงพยาบาลได้เพียงสองวันบิดาก็สิ้น แล้ววิถีชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป กินรีทำใจได้แล้วกับการเสียชีวิตของบิดาซึ่งผ่านมาร่วมสองปี แต่การเกลียดโรงพยาบาลยังฝังลึกอยู่ในใจ
มีเสียงหมุนลูกบิดประตู กินรีรีบหลับตาลง เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา สักครู่ก็มีมือเย็นมาแตะที่หน้าผากเธอพร้อมกับพูดว่า
ยังไม่ตื่นเลยตัวไม่ร้อนแล้ว
ท่าจะค่อยยังชั่วนะไม่งั้นอีตาแฟนว้ากหมออีกแน่
อะไรกัน เสียงนี้แสดงความแปลกใจ ท่าทางเขาดีออก เป็นสุภาพบุรุษ หล่อชะมัด แถมพูดไทยได้ชัด พยาบาลทั้งตึกปลื้มเขาออก
ก็เพราะพูดไทยได้ชัดนะซิ ถึงได้ถามหมอว่า รักษายังไงกัน แค่คนเป็นหวัดทำไมไม่ได้สติไปตั้งวันสองวัน เธอก็รู้นี่คนเป็นไข้หวัดใหญ่น่ะบางทีต้องนอนซมเป็นอาทิตย์เลย
สงสัยจะห่วงมากละมัง
ตอนนี้ กินรีก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแน่น ๆ มารัดที่ต้นแขน มีเสียงคุยต่อว่า
ก็โทรถามอาการทุกหนึ่งชั่วโมงนะแหละวันนี้ ประเดี๋ยวเลิกงานแล้วคงโผล่มาหรอก เฮ้อ ! อยากมีแฟนอย่างนี้บ้างจัง ทั้งหล่อทั้งรวย
ไหนบอกจะจีบหมอไง
ไม่เอาแล้วฉันกลัวได้ขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐ ฆ่าหั่นศพ
พูดไปโน้น
กินรีรู้สึกถึงอาการรัดแน่นที่แขนคลายออก
ความดันปกติ จะปลุกเช็ดตัวไหม
อย่าเพิ่งเลย อีกสักครู่ดีกว่า จะได้สดชื่นไม่หลับตอน แฟนมา พ่อรูปหล่อนั่นจะได้ยิ้มออกเสียที
พยาบาลออกไปแล้ว กินรีจึงลืมตาขึ้นอย่างมึน ๆ แล้วก็หลับลงไปใหม่ จากที่ฟังการสนทนาเธอคงจะนอน
ไม่ได้สติอยู่นี่สองวันแล้ว
แฟนรูปหล่อ ?.. ใครกันละทีนี้ รอยยิ้มขัน ๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะเคลิ้มหลับไปอีก
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าหนึ่งลอยเข้ามาใกล้ เพราะร่างนั้นโน้มตัวเอามือมาอังที่หน้าผาก ใบหน้าจึงอยู่ห่างจากเธอไม่เท่าไหร่ กินรีมองคิ้วที่ยาวเป็นปื้น นัยน์ตาโตเป็นประกายกล้าที่สบตาเธอนิ่ง แล้วหญิงสาวก็เลื่อนสายตาพินิจไปที่จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหนา เหมือนมีความสงสัย กินรีเผลอยกมือขึ้นไปแตะ มันนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ เธอไล้มือไปที่คางเขียวเป็นปื้น หนวดแข็ง ๆ ที่สั้นติดผิวหนังทำให้ระคายมือไม่น้อย หญิงสาวไล้ไปมาขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็เบนสายตามาสบตาเขาอีกครั้งก่อนจะหลับตาหัวเราะเบา ๆพึมพำว่า
คนจริง ๆ ด้วย
ราล์ฟมองดูกิริยาของเธอแล้วยิ้มนิด ๆ ใช้มือแตะที่แก้มของหญิงสาว พูดว่า
ละเมอหรือเปล่านี่
กินรีปัดมือที่แก้มออกโดยเร็ว
ถ้าแบบนี้แสดงว่ารู้สึกตัวแล้ว ชัวร์ ชายหนุ่ม ถอยหลังมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง นึกฉุนที่หญิงสาวปัดมือเขาออกเหมือนรังเกียจที่ไปแตะต้องเธอเข้า
ขอโทษ กินรีพูดเสียงอ่อยเพราะเห็นเขาหน้าบึ้ง
ไม่เป็นไร แค่ผมไม่อยากถูกเอาเปรียบเท่านั้น เขาไหวไหล่พูดเสียงห้าว ๆ ต่อว่า ทีคุณยังแตะต้องผมได้
กินรีก็เลยเป็นฝ่ายหน้าบึ้งบ้าง แม้เขาจะพูดถูก ก็จะให้เธอทำอย่างไรละ เมื่อจู่ ๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าเขาลอยเข้ามาใกล้ ๆ อย่างนั้น เคยมีใครทำกับเธอซะทีไหน ไม่จับดูจะรู้เหรอว่าเป็นคนจริง หรือฝันไป
คุณจะให้โทรบอกญาติ ๆหรือเพื่อนคุณไหมว่าคุณป่วยอยู่ที่นี่ เขาถามไม่สนใจอาการบึ้งตึงของเธอ
ไม่ต้อง ดิฉันหายแล้ว พรุ่งนี้จะกลับ กินรีบอกห้วน ๆ
แน่ใจนะว่าหายดีแล้ว เขาถามย้ำ
ดิฉันไม่ชอบโรงพยาบาล กลับไปพักต่อที่ห้องก็ได้
ถ้าคิดว่าไหวก็ตามใจ เขาเออออ ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไป ๆ มา ๆ ดูคุณที่โรงพยาบาลอีก แค่สองสามวันนี้ก็ทำเอาผมวุ่นจะแย่
แม๊
ไอ้ที่คิดว่าจะเอ่ยปากขอบคุณเขาที่อุตส่าห์พาเธอมาโรงพยาบาลก็เลยต้องกัดลิ้นเอาไว้ เมื่อเจอประโยคสุดท้ายของเขานี่แหละ
จะให้ผมบอกคุณปริม มารับไหมพรุ่งนี้ เขาถาม
คุณปริม เธอทำหน้างง ๆ ใคร ? ดิฉันไม่รู้จัก
อ้าว ! ราล์ฟทำหน้าเหรอ ก็ที่บอกว่าเป็นญาติห่าง ๆ ของคุณไง ผมเคยเจอคุณยืนคุยกับเธอที่เรียกคุณว่า คุณน้อง คุณน้อง หรือ อะไรนี่ทำนองนี้
อ๋อ ! กินรียิ้มนิด ๆ นึกขึ้นได้ ดิฉันรู้จักเธอ พอ ๆ กับที่รู้จักคุณนี่แหละ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ ขอโทษที่ไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
ผมชื่อราล์ฟ เขาตอบ
กินรียื่นมือออกไปให้เขาจับ
ยินดีที่รู้จักค่ะ ดิฉันชื่อกินรี เธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ราล์ฟยิ้มกว้างเพราะนึกขำ จับมือที่เธอยื่นให้ไว้
ผมก็ยินดี ที่ได้รู้จักคุณอย่างเป็นทางการเสียที
ฝ่ามือที่กุมมือเธอไว้บีบเบา ๆ แต่มันส่งผลกระทบต่อกินรี เมื่อรู้สึกว่าหัวใจตัวเองสั่นขึ้นมาเฉย ๆ หญิงสาวดึงมือออกโดยเร็ว แต่เมื่อคิดว่ามันดูเหมือนเสียมารยาทก็รีบพูดขึ้นอย่างเร็วว่า
ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณจะเป็นคนช่วยดิฉันไว้ หลังจากที่ดิฉันทำกับคุณแบบนั้น ต้องขอขอบคุณมาก คุณใจดีจัง
แต่คำพูดของเธอไม่ได้ผลอะไร เพราะราล์ฟมอง
มือตัวเองแล้วมองหน้าหญิงสาว เขาหรี่ตาลงน้อย ๆ นอกจากเธอจะแสดงความรังเกียจโดยการดึงมือกลับอย่างเร็วแล้ว เธอยังพูดให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เธอตบหน้าเขาอีกด้วย
ผมไม่ใช่คนใจดีทำอะไรต้องหวังผลตอบแทนทั้งนั้น จะรังเกียจแค่ไหน คุณก็เป็นหนี้บุญคุณผมละ
กินรีเม้มปาก แล้วก็พูดว่า
ดิฉันขอโทษ มันเป็นไปเอง ไม่ได้ตั้งใจ
ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะเป็นโรคจิต ชักกระตุกขึ้นมาทุกครั้งกับการที่ถูกผู้ชายแตะนิดแตะหน่อย อีกอย่างคุณเป็นคนยื่นมือมาให้ผมเองนะ ให้ตายซิ เขาสบถก่อนจะพูดเสียงหยันต่อว่า คุณคงฆ่าผมตายแน่ ถ้ารู้ว่าผมทำอะไรกับเนื้อตัวคุณบ้างตอนที่อุ้มคุณขึ้นรถกว่าจะถึงโรงพยาบาลนี่
หน้าที่ซีดกลับแดงกล่ำขึ้นมาทันที น้ำเสียงเยาะหยันของเขาทำให้กินรีขาดความยั้งคิด แก้วน้ำที่โต๊ะหัวเตียง ถูกมือข้างที่ไม่ได้เสียบเข็มน้ำเกลือฉวยขึ้นมาปาใส่เขาทันที แก้วน้ำกระทบเข้าที่หน้าอกราล์ฟดังปึ้ก ก่อนจะตกลงพื้นเสียงดัง ทั้งน้ำและเศษแก้วกระจัดกระจาย
กินรีนิ่งงันไปกับการกระทำของตัวเอง ขณะที่ราล์ฟเองแทบจะไม่เชื่อว่าเธอจะมีอารมณ์ร้ายเช่นนี้ ทั้งสองสบตากันนิ่ง กินรีมองเห็นประกายไฟในดวงตาของเขาคุกรุ่นขึ้นมา
โชคช่วย ! เมื่อพยาบาลเปิดประตูเดินฉับ ๆ เข้ามาพร้อมกับถาดยาในมือ
กินยาก่อนนอนนะคะ
ราล์ฟถอยออกมายืนอยู่ที่ปลายเตียงหน้าขรึม พยาบาลวางถาดยาไว้บนโต๊ะ อุทานว่า
เอะ ! แก้วแตก
อย่างคล่องแคล่วนางพยาบาล เดินไปหยิบแก้วใบใหม่ที่คว่ำไว้บนหลังตู้เย็น มารินน้ำในขวด พยุงกินรีให้ลุกขึ้นกินยา และช่วยให้เธอกลับไปนอนอย่างเดิม เมื่อเรียบร้อยแล้วก็บอกว่า
เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่มาเก็บเศษแก้วให้นะคะ
กินรีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้า ตะแคงหันหน้าหนีไปด้านตรงข้ามที่ราล์ฟยืนอยู่ หลับตานิ่ง หัวใจเต้นแรง แว่วเสียงฝีเท้าราล์ฟเดินเข้ามาใกล้
เธอทำเกินไปแล้ว
เงียบ !
ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มออก กินรีแสร้งหลับตานิ่ง ราล์ฟก้มหน้าต่ำลงไปเกือบชิดแก้มนวล
เอาไว้หายป่วยก่อนเถอะ
เสียงกระซิบและกลิ่นกายของชายหนุ่ม ทำให้กินรีตกใจหันขวับมาเร็ว ใบหน้านั้นอยู่ใกล้มากจนกินรีตะลึงเมื่อริมฝีปากเขาแนบชิดเข้ากับริมฝีปากเธออย่างรอโอกาส
ฉันต้องได้เธอมากกว่านี้แน่ ฉันสัญญา เขาพูดเสียงต่ำพร่าใช้จมูกจุมพิตแก้มเธออย่างแผ่วเบาอีกครั้ง ก่อนยืนตัวตรงเดินไปหยิบเสื้อนอกที่ถอดทิ้งไว้พาดบ่า
ไว้เจอกันพรุ่งนี้ กุ๊ดไน้ท์
กินรีอ้าปากค้าง มองราล์ฟที่เดินออกไปด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่มั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม
ฝีมือมันคนละชั้น มวยคนละรุ่นเลยละถ้าจะเปรียบกับเขา กินรีคิดขณะที่หัวใจยังสั่นระรัวกับเรื่องเมื่อครู่