forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


คลื่นทราย ใต้แสงดาว

โดยหนึ่งลิปดา

นวนิยายชุด ตระกูลเบ็ญจรงค์

 

 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ระรินดาว ตัดสินใจขับรถกลับมาพักโรงแรมเดิม และเหมือนกับมันถูกจัดวางไว้ล่วงหน้า เมื่อเธอได้เข้าพักในห้องเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ เธอเกิดความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม มันมีความรู้สึกเหมือนจะถูกสะกดรอย และก็คงเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ เพราะเธอเองก็เคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กับพี่ชายเหมือนกัน

เธอพี่ชายถึงห้าคนผ่านโรงเรียนเตรียมทหารเสียสี่ มีเพียงหนึ่งคือ พงษ์พันธ์ ที่ไม่คุณพ่อไม่ยอมให้เรียน เนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีใครสืบทอดกิจการธุรกิจของท่าน จึงไม่แปลกที่เธอจะคุ้นเคยและมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะได้ฟังและได้เห็นพวกพี่ๆ คุยกันบ่อยๆ และเมื่อใครสักคนได้รับการฝึกเกี่ยวกับเรื่องอะไร หากเจอหน้ากัน ก็มักจะถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้มาให้กันตลอดเวลา หากมีเรื่องอะไรที่พี่ชายสักคนอยากให้เธอเรียนรู้ก็จะเคี่ยวเข็ญให้เธอฝึก แต่ก็มีบางอย่างที่เธออยากฝึกแต่พี่ชายไม่ยอมสอน เธอก็ต้องหันเหไปหา โรมรัน อัศวชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของพันเพลิง แต่ในความรู้สึกของทุกคนเขาเป็นเหมือนอีกร่างหนึ่งของพันเพลิง ที่พวกเธอรักและเคารพเขาไม่ต่างไปจากพี่ชายร่วมสายเลือด และเขาก็ใจดีกับเธอเสมอ ขอร้องอะไรก็ไม่ค่อยจะขัด

พันเพลิง และพายุ พี่ชายคนโตและคนที่สี่ของเธอยังทำงานรับราชการอยู่ แต่พสุธาและ พลังพลต่างลาออกหันไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว

ส่วนเธอ แม้จะจบแพทย์มา ก็ยังมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลตำรวจ ทำงานเกี่ยวพันกับพี่ชายคนโตอยู่ดี

เธอสังเกตเห็นการสะกดรอย ตั้งแต่ออกจากสถานีตำรวจ แต่เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่า คงไม่มีอันตราย อาจจะเป็นคนที่ถูกส่งมาจากนายพลนาร์ยิบนั่นก็ได้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ ประเดี๋ยวก็คงรู้กันเอง

ระรินดาวเข้าที่พักแล้วก็ไม่อยากติดต่อใคร เพราะยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร หากคนที่ติดตามเธอเป็นคนร้ายเธอก็ไม่ต้องการให้ เขารู้เบาะแสสักอย่างเกี่ยวกับเธอ แม้แต่ความคิดที่จะโทรไปหา เซลีน่า ก็เปลี่ยนไปด้วย รอดูท่าทีสักคืนเสียก่อนแล้วค่อยคิดกันใหม่

สิ่งที่เธอบอกกับผู้ชายคนนั้น ... อาคิน หากเขาคือคนที่ใช่ เขาก็คงจะเข้าใจ แต่ถ้าหากไม่ ก็ให้แล้วกันไป เธอควรจะอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็น หรือคิดเอามาธุระของคนตายมาคิดให้กลุ้มใจ จนกลายเป็นการหาเรื่องใส่ตัวไป แค่ข้อหา ขับรถชนคนตายในวันนี้ก็เป็นลางไม่ดีสำหรับการอยู่ประเทศนี้แล้ว

สาเหตุของการมาที่นี่ ก็เพราะเธอต้องการมาทำคลอดให้เซริน่า แต่เมื่อเซริน่าคลอดแล้ว เธออาจจะอยู่เที่ยวที่นี่ สักอาทิตย์ แล้วเลยไปหา พสุธา พี่ชายของเธอที่ไคโรประเทศอียิปต์ก่อนจะกลับประเทศไทยก็ได้

มีเรื่องเซอร์ไพร้ส์ให้กับเธอ เมื่อตอนสามทุ่ม พนักงานหญิงของโรงแรมมาเคาะประตูห้อง

“ สำหรับมิสค่ะ ” เจ้าหล่อนยื่นกล่องเล็กๆให้เธอ แล้วจากไปเงียบ ๆ

ระรินดาว มองกล่องแก้วใสเล็กในมือ มันบรรจุด้วยกุหลาบคริสตัลสีม่วงสด มีใบเล็กจิ๋วสีเขียวมรกตสองใบ ใบแรกมีคำว่า เพคตุส อีกใบคือคำว่า รอซา ฝีมือประณีตจนเธออดจะชมไม่ได้ว่า โรงแรมนี้ลงทุนให้ของที่ระลึกแจกลูกค้าจริงๆ

ตอนเช้า ระรินดาวมองไม่เห็นคนที่ติดตามเธอเมื่อวาน และคิดว่าคงถูกเลิกติดตามแล้ว เธอจึงขับรถออกจากโรงแรมด้วยความสบายใจขึ้น แม้คิดว่าตัวเองจะไม่สนใจกับอะไรทั้งนั้น ระรินดาวก็ยังอดไม่ได้ที่ตื่นตัวถึงความผิดปกติ ที่เห็นทหารยืนเรียงรายอยู่ตามถนนเป็นระยะ ๆ เธอเจอเข้ากับด่านตรวจหลายด่าน แต่ไม่มีการตรวจค้นอย่างจริงจัง เป็นเพียงเข้ามาส่อง ๆ ภายในรถ แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป บางครั้งก็เจอด่านที่ไล่ให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังถนนอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นกว่าจะออกจากตัวเมืองบัคลาได้แดดก็เริ่มจัด รถราก็เพิ่มมากขึ้น ระรินดาวตัวสินใจแวะเข้าปั๊มเพราะต้องการเข้าห้องน้ำและดูว่า เธอพอจะหาซื้อหนังสือพิมพ์อ่านได้หรือไม่

ประเทศนี้ต้องตกอยู่ในภาวะผิดปกติแน่นอน

ลงจากรถเธอไม่ลืมที่จะกดรีโมตลอคประตูรถไว้อย่างดี เดินเข้าห้องน้ำก็เกือบจะชนเข้ากับสตรีร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมยาวอย่างชาวพื้นเมืองเดินสวนออกมา เธอสังเกตว่า ใบหน้านั้นแต่งจัดเกินเหตุ เมื่อทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็แวะเข้าร้านขายของในปั้ม หนังสือพิมพ์นั้นมีขายแต่ก็มีเฉพาะฉบับที่พิมพ์เป็นภาษาพื้นเมืองเท่านั้น เมื่ออ่านไม่ออก ก็ไม่รู้จะซื้อทำไม ระรินดาวจึงเดินตัวเปล่าออกมา กดรีโมตเปิดประตูรถเมื่อจะถึงแค่ไม่กี่ก้าว แต่เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปนั่ง ประตูอีกด้านก็เปิดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่เธอจะตั้งตัว วัตถุคมบางเฉียบก็จ่อที่ชายโครงเธออย่างรวดเร็ว

“ ออกรถ ตรงไปอย่าตุกติก ” น้ำเสียงเหี้ยม ๆ ดังขึ้น

ลางร้ายปรากฏตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว .. ระรินดาวคิดขณะขับรถออกจากปั๊ม ความมีสติเท่านั้นจะทำให้เธอเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้ มือที่กำพวงมาลัยทั้งสองบีบแน่นเข้าพยายามตีหน้าเฉยไม่ยอมให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอเครียดเพียงใดเมื่อชำเลืองไปยังปลายมีดที่ยังจ่ออยู่ที่ชายโครงเธอ การซ้อม การฝึกเล่นกับพวกพี่ๆ แม้จะคล่องแคล่วจนพี่ชายเอ่ยปากชม แต่เมื่อมาเจอเข้ากับเหตุการณ์จริง ๆ แถมอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ ความหวั่นวิตกก็ต้องมีอยู่บ้าง ชำเลืองดูเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลก็ดูคุ้นตา แม่ผู้หญิงร่างใหญ่ที่เธอสวนทางที่ห้องน้ำแท้ ๆ เธอน่าจะรู้ตั้งแต่แรกนะว่าเป็นผู้ชายปลอมตัวมา ใบหน้านั้นนิ่งมองตรงไปข้างหน้าไม่วอกแวก

“ เลี้ยวกลับแยกหน้า ” เสียงห้าวสั่งเฉียบ

ระรินดาวทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่คิดจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ตามกฎของการถูกลักพาตัวจากที่เคยรู้ว่ามาอันดับสำคัญที่สุด ก็คือ ปฏิบัติตามคำสั่ง อย่าขัดขืน

นายคนนี้สั่งให้เธอเลี้ยวรถกลับเข้าไปยังตัวเมืองอีกครั้ง การมีผู้คนพลุกพล่านน่าจะเป็นผลดีกับเธอมากกว่า เมื่อขับได้ระยะหนึ่ง ระรินดาวก็ถามอย่างสุภาพว่า

“ จะให้ดิฉันส่งคุณที่ไหน ”

“ หุบปาก ”

ไม่พูดเปล่า ปลายมีดยังกดเน้นไปอีกอย่างจงใจ

แสดงว่าการสื่อสารไม่ได้ผล .. ระรินดาวกัดริมฝีปากนั่งนิ่งคิดหาวิธีอื่น

มือที่ว่างข้างหนึ่งของเขาเริ่มขยับ กระเป๋าถือของเธอถูกเทออกของทุกอย่างหล่นแหมะลงที่ตักเขาพาสปอร์ตของเธอถูกเปิดดูอย่างคร่าว ๆ แล้วโยนปุบไปข้างหลัง กระเป๋าเงินถูกเปิดรวบเอาธนบัตรทุกใบใส่ลงในกระเป๋าเสื้อคลุม ข้าวของเบ็ดเตล็ดเช่นแป้ง เครื่องสำอาง กรรไกรตัดเล็บถูกหยิบคืนใส่ประเป๋าถือแล้วก็ถูกเหวี่ยงไปด้านหลังเช่นกัน ระรินดาวชำเลืองดูเมื่อเห็นเขามุ่งความสนใจไปที่ช่องเก็บของด้านหน้า เธอตัดสินใจเหยียบเบรค อย่างเร็ว แรงกระตุกกระชากให้เขาไปข้างหน้าศีรษะโขกกับกระจกรถอย่างแรง หญิงสาวไม่รอช้าปลดลอคเข็มขัดเปิดประตู แต่ก็ยังไม่เร็วพอเมื่ออีกฝ่ายกระชากไหล่เธอไว้ได้ มือใหญ่แข็งแรงคว้าหมับที่ลำคอปลายมีดคมกริบจ่อที่คอหอยเธอนัยต์ตากร้าวจ้องเขม็ง

“ ฉันจะฆ่าเธอซะ ”

“ อย่า ” เสียงเธออู้อี้

“ ไม่มีการล้อเล่นอีกแล้วมิส อย่าทำให้ผมโกรธไม่งั้นคุณจะตายก่อนที่จะมีโอกาสกระพริบตาเสียอีก ” น้ำเสียงเขาเหี้ยมดุดัน

ระรินดาวพยักหน้าให้เขาอย่างยอมจำนน

ทันทีที่ถูกปล่อยหญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบาก ขับรถตามคำสั่งที่เขาบอกอย่างเงียบ ๆอีกครั้ง

หวังว่าชีวิตของเธอคงจะไม่มาจบสิ้นง่าย ๆ ที่ประเทศนี้หรอกนะ ระรินดาว คิด

มาถึงประเทศวาโซดิเนียชั่วข้ามคืนเธอก็ถูกบีบคอเข้าเป็นหนที่สอง แถมหนนี้ยังมีมีดจ่อคอหอยอีกเสียด้วย หากว่าเขาเป็นโจรผู้ร้ายธรรมดาก็ควรจะต้องการเพียงเงิน แต่เงินของเธอเขาก็ยัดใส่กระเป๋าเสื้อคลุมเสียหมดแล้ว และควรจะจากไปเสีย หรือหากว่าเขาต้องการจี้เอารถทำไมจะต้องสั่งให้เธอขับกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง แทนที่จะขับออกไปนอกเมืองมันง่ายกว่าที่จะทิ้งเธอไว้ข้างทาง ซึ่งตอนนั้นเธอคงไม่มีปัญหาร้องแรกแหกกระเชอให้คนช่วยได้ ตัดประเด็นเรื่องทรัพย์สินออก ก็เหลือแต่เพียงการเป็นตัวประกัน แน่นอน… นายคนนี้ต้องการจับเธอเป็นตัวประกันเท่านั้น เขาอาจกำลังหลบหนีอยู่ เห็นได้ชัดอยู่แล้วจากการปลอมตัวของเขา และเขาต้องการให้เธอเป็นโล่ห์ป้องกันจุดสนใจอีกด้วย หากการตรวจจับของทางการจะแจ้งเพียงว่า คนร้ายเป็นชายร่างใหญ่ การหลบหนีของเขาคงเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อเขาปลอมตัวเป็นหญิง แถมยังนั่งรถมากับผู้หญิงอีกคนเป็นชาวต่างประเทศ ก็ย่อมไม่เป็นจุดสนใจ การหลบหนีก็คงจะง่ายขึ้น ดังนั้นเขาคงไม่กล้าฆ่าในตอนนี้เหมือนที่ขู่เอาไว้หรอก คิดได้ดังนี้ระรินดาวก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เธอใช้สายตาชำเลืองไปที่เขา ก็เห็นเขาใช้กระดาษทิชชู่ซับเลือดที่หน้าผากอยู่ แสดงว่าการหยุดรถโดยกระทันหันของเธอ คงทำให้หน้าผากเขากระแทกเข้ากับกระจกจนแตก ระรินดาวรู้สึกสะใจลึก ๆ อย่างน้อยเธอก็ทำให้เขาเลือดออกได้ เพราะคิดว่าเขาคงไม่ฆ่าเธอง่าย ๆ ในตอนนี้ ระรินดาวจึงเริ่มอีกครั้งด้วยคำถามเดิม

“ จะให้ดิฉันไปส่งที่ไหน ”

“ หุบปาก ” เขาตอบเธอด้วยคำเดิมเช่นกัน

อารมณ์ขันเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ระรินดาว ถึงกับยิ้มออกมา แต่แล้วก็ค่อย ๆ หุบลงเมื่ออีกฝ่ายควักปืนพกออกมาวางที่หน้าตักเงียบ ๆ

เขาสั่งให้เธอขับรถซอกแซกหลบด่านตรวจทุกครั้งที่เห็นแต่ไกล จนกระทั่งมาออกที่ถนนสายใหญ่เส้นหนึ่งที่แล่นเลียบไปตามลำคลอง มีต้นไม้ปลูกเรียงรายทั้งสองข้างทาง มีด่านตั้งให้เห็นแต่ไกล ไม่มีรถสักคันวิ่งบนถนนสายนี้ นอกจากรถของเธอ

“ จอดรถ ” เสียงสั่งเฉียบขาด

เธอทำตามสั่ง

“ ขยับมานั่งตักฉัน ”

ระรินดาวนิ่ง

“ เร็ว !”

บางอย่างในน้ำเสียงทำให้ระรินดาวต้องรีบปฏิบัติตาม แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจ เขายกร่างเธออย่างเร็วไม่ทันที่จะกระทบถูกตักเขา ก็เหมือนกับถูกเหวี่ยง เมื่อเขาเลื่อนตัวไปที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว

“ คาดเข็มขัด ทำตัวให้เป็นปกติ ” เขาทำเสียงจุปากอย่างไม่สบอารมณ์ กวาดสายตามองเธอแล้วพูดเหมือนลืมตัวว่า “ ทำไมไม่แต่งตัวให้ดีกว่านี้นะ ”

“ มันยังเช้าเกินไปสำหรับงานเลี้ยงนี่ ” เธอเถียงอย่างลืมสถานการณ์

แววขำจุดที่ประกายตาเขาแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ ไม่ต้องพูดมากอย่าเอ่ยปากขึ้นมาเป็นอันขาดเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง ”

ระรินดาวตวัดสายตาให้เขาแล้วนั่งกอดอก ชำเลืองเห็นเขาซ่อนปืนไว้ใต้พรมเท้าคนขับส่วนมีดเหน็บเอาไว้ช่องเก็บของด้านข้างประตู สตาร์ทรถเคลื่อนออกอย่างเร็ว รถกระชากจนเธอเกือบจะคะมำไปข้างหน้าถ้าไม่ติดที่เข็มขัดยึดเอาไว้ หญิงสาวนึกทึ่งเมื่อได้ยินเสียงที่ดัดเป็นเสียงผู้หญิงโต้ตอบกับทหารที่ด่านอย่างคล่องแคล่ว พ้นด่านนั้นไป ทั้งสองข้างถนนมีทหารยืนรักษาการณ์อยู่เป็นจุดเรียงรายเป็นระยะ

รถแล่นได้ไม่นาน ก็มาสุดถนนที่คฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูเป็นซี่เหล็กแหลมสูงโปร่ง แต่ละซี่เหล็กมีเกลียวเชือกพันถักทอเป็นตาข่าย ทหารรักษาการณ์ที่ป้อมหน้าประตูมีถึงหกคน ครั้งนี้เขาต้องตอบคำถามซักไซ้ของทหารอยู่นาน แล้วเขาก็เพยิดหน้ามาที่เธอ ทหารเหล่านั้นมองตามแล้วก็พูดหัวเราะกันก่อนจะยอมเปิดประตูให้

รถแล่นเร็วราวกับลูกธนูไปตามพื้นถนนคอนกรีต แล้วไปจอดพรืดที่หน้าคฤหาสน์ เขาลงจากรถมุดเข้าไปพุ่มไม้ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเดินออกมาจากประตู

ระรินดาวยิ้มอย่างยินดี เมื่อถูกลืม เขาคงหมดธุระกับเธอแล้ว หญิงสาวเลื่อนตัวไปที่นั่งคนขับ แล้วรอยยิ้มหุบหายไปในทันที หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นอย่างสะกดอารมณ์ ก่อนที่จะใช้มือทุบลงไปที่แตรรถดังสนั่น

นายนั่นเอากุญแจรถเธอไปด้วย

แล้วคนที่เดินออกมากลับเป็นคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบ เขาเองก็ชะงักก่อนที่จะถามว่า

“ มีอะไรจะให้ผมช่วยไหมครับมิส ”

ระรินดาวมองใบหน้ายิ้มละไม ของไรอันด้วย สีหน้าเฉยเมย พูดอย่างสะกดกลั้นอารมณ์

“ นายนั่นเอาเงินและกุญแจรถของฉันไป ”

คำพูดของเธอทำให้เขาถึงกับยิ้มกว้างอย่างขบขัน ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร คนกลุ่มหนึ่งก็เดิน ตรงออกมา ระรินดาวรู้จักเพียงหนึ่งในนั้น

“ มีอะไร ไรอัน ”

“ สุภาพสตรีคนนี้มาหาคุณครับ อาคิน ” ไรอันบอกยิ้ม ๆ แต่น้ำเสียงเขาเครียดอย่างฟังได้ชัดเมื่อก้มลงกระซิบบอกเธอเบา ๆ ว่า

“ เพื่อความปลอดภัยของคุณ บอกทุกคนว่าคุณมาคนเดียวเท่านั้น ”

“คุณนะเอง ต้องการอะไร?” อาคินถามอย่างสบาย ๆ เขายืนทิ้งช่วงห่างจากรถพอประมาณ มองสบตาเธอด้วยสายตาที่เฉยเมย พวกที่ออกมาด้วยก็นิ่งมองเงียบ ๆ

“ เงิน... ” ระรินดาวตอบ และไม่ทันที่เธอจะพูดถึงกุญแจรถต่อ ก็มีเสียงหัวเราะออกมาจากหญิงสาวนางหนึ่งในกลุ่ม

“ คุณลืมจ่ายเงินเธอเหรอคะอาคิน ”

คนพูดเดินเข้ามาเบียดชิด อาคิน กอดแขนเขาไว้บอกต่อว่า

“ ไรอัน จ่ายเงินหล่อนแทนอาคินด้วย แล้วก็ให้ไปซะ ”

อาคินพยักหน้าให้ไรอัน แล้วหมุนตัวกลับ พร้อมกับคนอื่น ๆ ท่าทีของทุกคนบวกกับคำพูดกำกวมนั้นทำให้ระรินดาวเลือดขึ้นหน้า

ปิ๊น ปิ๊น ๆๆๆๆๆ

ทุกคนหันกลับมา เพราะเสียงแตรรถ ระรินดาวนั่งหน้าเชิดอยู่ในรถ

“ ฉันต้องการ …”

“ เธอบอกว่าลืมตุ้มหูไว้ในห้องคุณครับอาคิน ” ไรอันรีบบอก

“ ทำไมคุณไม่เชิญเธอลงมาก่อนละอาคิน รังเกียจไหมที่ผมอยากจะคุยกับเพื่อนหญิงของคุณสักหน่อย ” เสียงห้าวอย่างวางอำนาจดังขึ้นจากในกลุ่ม ไรอันสบตากับอาคินแว่บเดียวก่อนจะเปิดประตูรถ

ระรินดาวนั่งนิ่ง สัมผัสได้ถึงความตรึงเครียดที่เกิดขึ้นทันที แล้วไรอันก็พยักหน้าให้เธอ

“ เชิญครับมิส ”

หญิงสาวถอนใจอย่างเซ็ง ๆ

คราวนี้เธอทำตัวเองให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องอะไรอีกละนี่

“ ฉันจะพาเธอไปหาตุ้มหูก่อน ” สตรีนางเดียวในกลุ่มก้าวมาประชิดระรินดาวทันทีที่เธอลงจากรถ

“ รอก่อน ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน ตอนที่ผมคุยกับเธอ ”

“ คุณก็ซักถามอาคินจนหมดไส้หมดพุงแล้วนี่ ” เธอแย้งอย่างไม่พอใจ

ใบหน้าเสี้ยมตอบนั้นเหยียดยิ้มเหมือนจะเย้ยหยัน

“ อาคิน ไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องให้ผู้หญิงปกป้องหรอก คุณอองตียา ”

พูดแค่นั้นก็หันมาบอก ระรินดาวว่า

“ เชิญ ”

“ ฉันหมั่นไส้เขา ” อองตียาพูดอย่างเหลืออด พลางตวัดค้อนคนที่เดินนำหน้าออกไป อาคินหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

“ ผมชอบเขา ”

“ แล้วแม่ผู้หญิงนั่นเป็นใคร ” เสียงเธอกระฟัดกระเฟียดอย่างอดไม่ได้

“ หากคุณยังช้าอยู่อย่างนี้ละก้อ ไม่ทันได้ฟังผู้พันฮัซซาร์สอบสวนหรอกนะ ”

อองตียา เดินตัวปลิวไปทันที่ อาคินหันมาสบตากับไรอัน

“ บอกแอนนาทำอาหารกลางวันให้มิสเบ็ญจรงค์ไปกินระหว่างทางด้วย”

คิ้วของไรอันขมวดขึ้นแล้วคลายลงอย่างรวดเร็ว

“ ครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย ”

อาคินเดินตามอองตียาเข้าไป แววตาเขาเครียดขึ้นเมื่อเห็นนายทหารที่ติดตามผู้พันฮัซซาร์คนหนึ่งเดินประกบไรอันทันทีที่เดินแยกไปก่อนถึงหน้าประตู ขณะอีกคนก็อยู่หลังเขาไม่กี่ก้าว ผู้พันฮัซซาร์ฝึกคนได้ดีทีเดียว

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของระรินดาวทันทีที่เดินเข้ามาในห้องก็คือ ภาพวาดขนาดใหญ่เท่าผนังห้อง เป็นภาพจำลองการต่อสู้ของนักรบโบราณ ชายผู้หนึ่งอยู่บนหลังม้าพ่วงพี มือหนึ่งถือดาบเตรียมจะฟาดฟันเหล่าศัตรู ที่ไหล่ของเขา มีนกอินทรีที่กางปีกพร้อมจะโผบินเกาะอยู่

“ ท่าทางเหมือนคุณจะไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน ”

ระรินดาวมองหน้าเขาแล้วยิ้มไม่ตอบคำถาม เธอเดินไปนั่งบนโซฟาตัวที่หันหน้าไปทางประตู มองคนที่ทยอยเดินเข้ามา

จะเอายังไงดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้

เธอรู้แต่ว่าเธอกำลังก้าวเข้าไปสู่เรื่องราวบางอย่างที่สำคัญมาก แต่เธอควรจะยืนอยู่เคียงข้างฝ่ายใด

อาคิน ไรอัน และ เจ้าโจรที่จี้เธอมาที่นี่ต้องเป็นพวกเดียวกัน

แต่นายทหารหน้าเสี้ยมท่าทางเคร่งขรึมที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอคนนี้ ดูจะเป็นผู้มีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งเขา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอในวันสองวันนี้ช่างบังเอิญและประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ เสียดายที่เธอไม่มีข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจว่าเธอควรจะอยู่ฝ่ายใดจึงจะปลอดภัยที่สุด

อาคินเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ไม่ห่างเธอนักพูดขึ้นว่า

“ สุภาพบุรุษที่มีความสนใจคุณเป็นพิเศษคือ ผู้พันฮัซซาร์ เป็นผู้บัญชาการรักษาความสงบในพระนคร ”

“ ไม่ต้องเป็นทางการถึงอย่างนั้นหรอกอาคิน ” ฮัซซาร์ขัดขึ้น “ ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนคุณ ก็คงไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามผมสักสองสามข้อ ”

“ ฉันขอแนะนำให้เธอตอบตามความเป็นจริงด้วยนะ เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง ” อองตียาเสริมขึ้นมา สายตาขู่เข็ญระรินดาวอยู่ในที “ อ้อ … ในเมื่อเราไม่เคยพบกันมาก่อน ฉันขอแนะนำตัวเองก็แล้วกัน ฉันชื่ออองตียา ”

เธอพูดแล้วก็เดินผ่านหน้าเก้าอี้ที่ผู้พันฮัซซาร์ ไปนั่งแหมะอยู่ที่ท้าวแขนเก้าอี้ที่อาคินนั่งอยู่ แสดงความสนิทสนมอย่างเปิดเผยแล้วถามระรินดาวว่า

“ เธอชื่ออะไร ”

ระรินดาวเพียงแต่เบนสายตาไปที่อองตียาเฉย ๆ ไม่ตอบคำถาม แล้วเธอก็พยักหน้าให้ผู้พันฮัซซาร์

“ เชิญค่ะ ”

“ นี่ …” เสียงอองตียากราดเกรี้ยววางอำนาจขึ้นเมื่อเจอท่าทีไม่สนใจของระรินดาว

“ คุณน่าจะบอกไปด้วยนี่ว่า คุณเป็นลูกสาวของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เผื่อมิสเบ็ญจรงค์จะสนใจคุณมากขึ้น ” อาคินพูดยิ้ม ๆ

“ อาคิน ” เสียงเจ้าหล่อนเรียกชื่ออาคินอย่างเง้างอดลุกขึ้นเดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งที่เดิมพูดกับผู้พันฮัซซาร์ว่า

“ จะถามอะไร ก็รีบถามซิผู้พัน จะได้กลับไปเสียที คุณคุกคามอาคินนานเกินไปแล้ว ”

ผู้พันฮัซซาร์ ไม่ได้ให้ความสนใจกับอองตียา สายตาเขาจับจ้องที่ระรินดาวอย่างพิจารณา

“ ถ้าอย่างนั้น คุณก็คือผู้หญิงที่ขับรถชนคาฮิลตาย ”

เพียงแค่ประโยคแรกของเขาก็ทำเอาระรินดาวถึงกับอึ้ง เธอหันไปทางอาคินอย่างเอาเรื่อง

“ ไหนคุณบอกว่า คนที่รับรองความบริสุทธิ์จากข้อหาขับรถชนคนตายของฉันคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไงละ ”

อาคินไม่ตอบแต่หันไปพูดเรียบ ๆ กับผู้พันฮัซซาร์ว่า

“ ผู้พัน ผมขอเตือนอย่าใช้คำพูดที่ทำให้เธออารมณ์ไม่ดี มันจะทำให้ความจริงคลาดเคลื่อน และอาจจะส่งผลร้ายต่อผม ตัดอารัมภบทออกไป แล้วเข้าเรื่องที่คุณต้องการรู้เลยดีกว่า ”

“ ถ้างั้น …” ผู้พันฮัซซาร์ฉีกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น “ ผมขอถามคุณว่า คุณคือผู้หญิงที่อยู่ที่นี่กับอาคินทั้งคืนใช่ไหม ”

ระรินดาวใบหน้าแดงผ่าวกระชากเสียงตอบว่า

“ จะบ้าเหรอ? ใครบอกคุณ? ”

แล้วเธอก็หันขวับไปทางอาคิน จ้องเขาเขม็ง

“ ให้ตาย … ไม่ต้องมามองผมอย่างนี้หรอก ผมไม่ได้เอ่ยชื่อคุณสักหน่อย ” อาคินตอบอย่างกำกวมไม่เดือดร้อนกับสายตาของเธอที่จ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

ระรินดาวเบนสายตากลับมาพูดกับผู้พันฮัซซาร์อย่างหนักแน่นว่า

“ ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เมื่อคืนนี้ ”

“ หมายความว่าคุณไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรเป็นพิเศษกับอาคิน ” ผู้พันเลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อถือนัก

“ ดิฉันเพิ่งมาถึงประเทศนี้เพียงสองวัน ยังไม่ได้ทำความสนิทสนมกับใครหรอกค่ะ ” เสียงเธอหงุดหงิด

มันเรื่องอะไรบ้าๆ อย่างนี้นะ

“ แต่อาคินไปพบคุณที่สถานีตำรวจเมื่อวานนี้ ”

“ ฉันถูกกล่าวหาว่าขับรถชนคนตาย เขาและผู้ชายที่เขาบอกว่าเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย เข้ามาสอบสวนฉันที่สถานีตำรวจ ”

“ คุณกำลังจะบอกว่า เพิ่งจะรู้จักเขาเมื่อวานนี้เอง ”

“ ใช่ ”

“ แต่มีคนเห็นคุณจูบเขาที่หน้าสถานีตำรวจ ”

“ บ้านะซิ ” ระรินดาวพูดอย่างเหลืออด “ คุณน่าจะถามเขาใหม่นะว่าฉันทำอะไรเขากันแน่ ”

“ คุณไม่ต้องถามผู้พัน เพราะผมไม่ตอบ ” อาคินรีบบอกปัด

ผู้พันฮัซซาร์มองหน้าคนทั้งสองสลับไปมา แล้วก็จ้องนิ่งไปที่ระรินดาว

“ถ้าคุณไม่สนิทสนมกัน มันก็ทำให้ผมสงสัยว่า คุณขับรถมาหาอาคินทำไม การฝ่าด่านตรวจเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย จริงไหม ? ”

เอาละซิ … จากคำถามนี้เห็นได้ชัดว่า ผู้พันคนนี้สงสัยในตัวเธอเข้าให้แล้ว การตอบตามความเป็นจริงของเธอกลับทำให้เขาเข้าใจว่าเธอมีความสนิทสนมกับอาคิน นี่อาจเป็นสิ่งที่อาคินคาดคิดเอาไว้แล้ว เธอไม่รู้ว่าอาคินทำอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ เขาได้ดึงเธอเข้าไปมีส่วนร่วมแล้ว แต่เธอไม่ต้องการเป็นเบี้ยในกระดานให้เขาหยิบวางได้ง่าย ๆ ในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีของเธอ เขาผิดแล้วที่คิดจะเอาเธอบังหน้าในเรื่องนี้ เธอต้องพูดตามความจริง

“ ฉันไม่ได้ขับรถมาหาเขา ” เธอเน้นเสียง “ แต่มีผู้ชายคนหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงจี้บังคับฉันให้ขับรถมาที่นี่ เขาสามารถตบตาพวกโง่ ๆ ที่ตั้งด่านเข้ามาได้ เมื่อมาถึงนี่เขาก็กระโดดออกจากรถ โดยที่เอากระเป๋าเงินและกุญแจรถฉันไปด้วย”

ผู้พันฮัซซาร์เบนสายตาไปทางอาคินทันที

“ คุณคงไม่เชื่อคำพูดเธอง่าย ๆ หรอกนะผู้พัน คุณก็รู้ว่าเธอกำลังโกรธ ” อาคินพูดด้วยน้ำเสียงเครียด ๆ ส่งสายตาเขม็งไปที่ระรินดาว แต่หญิงสาวเชิดหน้าใส่

“ คุณก็รู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก คงไม่รังเกียจ ที่จะให้ผมค้นหาความจริงอีกสักครั้งหรอกนะ ”

ผู้พันฮัซซาร์บอกเสียงเรียบ แค่พยักหน้า นายทหารที่มาพร้อมเขา ก็ขยับตัวอย่างรู้งาน แต่เดินยังไม่พ้นห้องไรอันก็เดินถือถาดเครื่องดื่มเข้ามายิ้มกว้างให้ระรินดาว

“ แอนนาฝากขอบคุณ คุณด้วยที่กรุณาให้เธอติดรถเข้ามา เธอผสมเครื่องดื่มที่คุณชอบเหมือนเคย ผมอาสายกมาให้”

เขาวางแก้วที่ใส่น้ำสีแดงไว้ตรงหน้าระรินดาว แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พูดยิ้ม ๆ อย่างล้อเลียนว่า

“ ผมไม่แน่ใจนะว่า ตุ้มหูคู่นี้ใช่ของคุณหรือเปล่า แต่เห็นเพียงคู่เดียวที่ทิ้งอยู่บนเตียงของอาคิน ”

ตุ้มหูเพชรรูปหยดน้ำถูกนำมาวางตรงหน้าเธอ แสงเพชรส่องเป็นประกายวับพอ ๆ กับประกายตาของระรินดาวที่มองไรอันอย่างโกรธจัด

“ มันไม่ใช่ของฉัน ” เธอเค้นเสียงพูด

“ คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องกุเรื่องให้วุ่นวาย ” อองตียาส่งเสียงเยาะ ๆ ปรายตามายังระรินดาวอย่างดูถูกพูดต่อว่า

“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้โกหกเชื่อถือไม่ได้ คุณจะ เอาไงผู้พัน ต้องการที่จะค้นต่อหรือเปล่า ? จะยังไงก็ให้เร็วๆ หน่อยนะ ”

ไม่ทันที่ผู้พันฮัซซาร์จะตอบว่ายังไง ทุกคนก็ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ของเครื่องบินเล็กที่จอดอยู่ลานด้านหน้า มองทะลุผนังกระจกออกไป ก็เห็นว่ามันกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า คนของผู้พันต่างวิ่งที่นั่น แต่ก็ไม่ทัน เพราะมันยกตัวเหนือพื้นไปแล้ว

ผู้พันฮัซซาร์มองเครื่องบินเล็กที่กำลังบินห่างออกไป แล้วหันมาจ้องอาคินเขม็ง

“ คุณฉลาดมากอาคินที่ทำให้ผมหันมาสนใจแม่เพื่อนสาวของคุณ แต่อย่าคิดว่าผมจะหาเส้นทางบินไม่ได้ ”

“ อย่าลำบากเลยผู้พัน มันบินตรงไปคาเดียร่าแน่นอน ” เสียงอาคินเรียบเฉย

“ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ โทษของการลักพาตัวองค์รัชทายาทมีสถานเดียวคือประหารชีวิต ”

อาคินยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก

“ ผู้พัน ข้อกล่าวหาของคุณควรจะมาพร้อมหลักฐาน ”

“ อีกไม่ถึงชั่วโมงเราก็จะรู้กัน ” ผู้พันฮัซซาร์ เหยียดยิ้ม “ ขอโทษด้วยนะที่ผมต้องควบคุมตัวคุณไว้ จนกว่าจะมีการติดต่อกลับมา ”

“ อะไรกัน มันจะมากเกินไปแล้วนะผู้พัน อาคินเขาไม่ได้ทำอะไรผิดคุณจะมาควบคุมตัวเขาไว้ได้ยังไง ” อองตียาพูดอย่างไม่พอใจ

“ ผมทำตามหน้าที่ ”

“ หน้าที่อะไรกัน คุณไม่มีหลักฐานอะไรเลยในการกล่าวหาว่า อาคินลักพาตัวองค์รัชทายาท คุณเองก็ค้นที่นี่เสียทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เจออะไร อย่าลืมซิพระองค์หายตัวไปกับซากปรักหักพังที่ตึกถล่มลงมา คุณควรไปค้นหาพระองค์ที่กองหินกองทรายโน่น ไม่ใช่ที่นี่ ”

ผู้พันมองอองตียาด้วยสายตาเบื่อหน่ายอย่างเปิดเผย

“ คุณควรกลับบ้านไปได้แล้วอองตียา ที่นี่ไม่มีเรื่องของคุณ ”

“ ผิดไปแล้วผู้พัน เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับอาคินมันเป็นเรื่องของฉันทั้งนั้น ” หล่อนมองผู้พันด้วยสายตากร้าว

“ ก่อนจะคิดว่าทุกเรื่องของอาคินเป็นเรื่องของคุณนะ ถามอาคินเขาดูแล้วหรือยัง? ”

นัยแห่งความยอกย้อนนั้นทำให้ อองตียาตาลุกวาวอย่างโกรธจัด ใบหน้าเธอแดงกล่ำ

“ ฉันจะให้คุณพ่อปลดคุณออกซะ ”

ผู้พันฮัซซาร์ไหวไหล่ นั่งลงที่เดิมอย่างไม่สนใจ

“ จะไม่เลี้ยงเหล้าผมฆ่าเวลาหน่อยเหรออาคิน ” เขาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอื้อมมือไปหยิบตุ้มหูที่วางตรงหน้าระรินดาวขึ้นมาดู

“ น้ำงามทีเดียว ฝีมือเยี่ยมเหมาะกับคุณ เก็บไว้ซิ ”

“ มันไม่ใช่ของดิฉัน ” ระรินดาวยืนยัน

ผู้พันฮัซซาร์ยิ้มเหมือนเยาะ “ คุณทำให้ผมทึ่ง ผู้หญิงน้อยคนที่จะไม่ชอบเพชร ครั้งนี้คุณถ่วงเวลาผมได้ดีทีเดียว น่าอิจฉาอาคินเสียจริง ๆ ช่างโชคดีที่ได้ผู้หญิงอย่างคุณ ผมต้องจ่ายเท่าไรนะถึงจะทำให้คุณเปลี่ยนข้างได้ ”

คำพูดของเขาทำให้ ระรินดาวฉุนวูบ แต่พอนึกถึงตัวต้นเหตุแล้ว เธอก็ได้แต่แค่นยิ้ม

“ ฉันจะอภัยให้ในสิ่งที่คุณคิดผู้พัน แต่สำหรับคำถามสุดท้ายของคุณน่ะ… ” เธอเพยิดหน้าไปทางอาคิน พูดอย่างจริงจังว่า

“ชกปากนายนั่นซิ แล้วเราจะเป็นเพื่อนกัน ”

ทั้งห้องเงียบกริบเพราะนึกไม่ถึง แต่สักครู่ผู้พันฮัซซาร์ก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่าง ชอบใจ อองตียามองระรินดาวอย่างจงชัง

“ ผมบอกคุณแล้วผู้พัน อย่าทำให้เธอโกรธ ” อาคินพูดเรียบ ๆ สายตามองไปที่ระรินดาวนั้นยากจะอ่านออกแม้จะมองเธออยู่ปากก็สั่งว่า

“ ไรอัน ช่วยจัดการในสิ่งที่ผู้พันต้องการด้วย ”

“ ครับ ผมจะจัดการอย่างที่ต้องการให้ เรียบร้อย ” ไรอันตอบ สบตาอาคินแล้วยิ้มในหน้าเดินออกจากห้องไป

อาคินเดินเข้าไปใกล้ระรินดาวพูดกับเธอโดยตรงเป็นครั้งแรกว่า

“ ผมนึกว่าคุณจะออกเดินทางไปคาเดียร่าแต่เช้าเสียอีก ”

“ ฉันก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าไม่ถูกจี้ตัวมาที่นี่เสียก่อน ” เสียงเธอไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ แย่หน่อยนะ ” เขาไหวไหล่ “ ถ้าไม่รังเกียจละก้อ รอผู้พันปล่อยตัวผมแล้ว ไปเครื่องส่วนตัวกับผมก็ได้ คงไม่นานเกินสามชั่วโมงหรอก ”

“ ฉันรังเกียจค่ะ ” ระรินดาวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำหันไปแค่นยิ้มให้ผู้พันฮัซซาร์แล้วพูดว่า “ หากผู้พันไม่มีอะไรจะซักถามอีก ฉันก็อยากจะไปให้พ้นจากที่นี่เสียที ”

ผู้พันฮัซซาร์มองหญิงสาวอย่างประเมิน แต่สักครู่ก็พยักหน้า “ ผมไม่มีอะไรจะถามคุณอีก แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง กรุณาแจ้งเส้นทางที่คุณจะใช้ให้ผม รวมทั้งจุดหมายปลายทางของคุณด้วย ผมพอจะมีเพื่อนฝูงที่เป็นตำรวจทางหลวง เขาจะได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คุณตลอดเส้นทาง ถือเสียว่าเป็นการขอโทษที่ผมทำให้คุณต้องเดินทางล่าช้าออกไป ”

ระรินดาวเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ เธอไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่า นี่เป็นการควบคุมเธอโดยตรง

“ สำหรับคนต่างชาติที่เพิ่งมาวาโซดิเนียได้เพียงสองวัน ฉันรู้สึกประทับใจในความกรุณาของคุณมากค่ะผู้พัน ” เธอแดกดัน ผู้พันฮัซซาร์เพียงแต่ยิ้มพยักหน้าให้คนของตัวเอง นายทหารคนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หันมาตะเบ๊ะให้อาคิน

“ ขออนุญาตครับ ”

อาคินพยักหน้าให้ ทหารนายนั่นจึงหยิบเอากระดาษ และปากกาที่โต๊ะกลับมายื่นให้ระรินดาว หญิงสาวรับมาเขียนชื่อเมืองที่เธอต้องผ่านตามเส้นทางที่ท่องได้จนขึ้นใจ ก่อนจะเขียนที่อยู่ของเซรีน่าลงไปยื่นให้ผู้พันฮัซซาร์ เขาก้มลงอ่านแล้วเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ คุณทำให้ผมแปลกใจนะอาคิน ไม่รู้ว่าคุณเปลี่ยนรสนิยมมาสนิทกับพวกหนังสือพิมพ์ได้ยังไง วาซิโน่เพรส เสียด้วย ”

คิ้วของอาคินขมวดขึ้นแต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว เขายิ้มแล้วยักไหล่

“ บางทีอะไร ๆ มันก็เกิดขึ้นเร็วจนผมไม่ทันจะตั้งตัว ”

“ คงไม่ใช่คุณจะตกหลุม …”

“ พวกคุณพูดอะไรกัน ” เสียงอองตียาขัดขึ้นมา ใบหน้าเธอบึ้งจัด กระชากเสียงพูดกับระรินดาวต่อว่า

“ เธอเป็นนักข่าวของวาซิโน่เพรสใช่ไหม ฉันเตือนไว้ก่อนนะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ห้ามเอาไปเขียนลงเด็ดขาด ฉันรู้จักกับเซรีน่าดี หาก ไม่เชื่อแล้วละก้อ ฉันจะให้คุณพ่อสั่งปิดหนังสือพิมพ์นี้ซะ ”

ให้ตายซิ ! ระรินดาวทั้งฉุนทั้งขำ พวกนี้คิดว่าเธอเป็นนักข่าวของเซรีน่าเสียแล้ว นั่นก็คงเป็นเพราะที่อยู่ของเซรีน่าที่เธอเขียนให้ผู้พันฮัซซาร์นั่นเอง แสดงว่า เซรีน่า อยู่ที่นี่ก็ดังไม่น้อย แต่ระรินดาวก็ไม่คิดจะแก้ใขความเข้าใจผิดของคนพวกนี้เพราะเธอจะอยู่ที่วาโซดีเนียได้ไม่เกินอาทิตย์ คงไม่เจอกับพวกนี้อีก เธอควรจะรีบไปเสียดีกว่า

“ ถ้าหมดเรื่องแล้ว ฉันก็เห็นจะขอตัว ” เธอบอกกับกับผู้พันฮัซซาร์

“ เชิญครับ ” เขาตอบ

“ เดี่ยวก่อน ” เสียงวางอำนาจของอองตียา ทำให้ระรินดาวชะงัก มองหน้าเป็นเชิงถาม อองตียาเดินมาหยิบตุ้มหูที่วางไว้ขึ้นมายัดใส่มือระรินดาว

“ เอาของเธอกลับไปด้วย แล้วอย่าคิดมาวุ่นวายกับอาคินอีกนะ จะเปลืองเนื้อเปลืองตัวเสียเปล่า ๆ อาคินเขาไม่สนใจผู้หญิงแบบเธอหรอก ”

ระรินดาว มองตุ้มหูที่ถูกยัดเยียดให้บนฝ่ามือ คำพูดของอองตียาทำเอาเธอต้องชั่งใจว่าจะตบเจ้าหล่อนดีหรือไม่แต่เมื่อคิดว่าทั้งหมดก็เพราะเขา เธอถูกดึงให้เข้าร่วมในสิ่งที่เขากำลังชักใยอยู่ มันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง แต่เธอไม่คิดจะหาเหตุผลเพราะมันออกจะเกินไปแล้วในตอนนี้

ดังนั้นภาพที่ทุกคนในห้องได้เห็นก็คือ รอยยิ้มที่สดใสมีเสน่ห์ของระรินดาวขณะเดินเข้าไปหาอาคิน เสียงเธอพร่าหวานนักเมื่อพูด

“ ฉันไม่คิดว่ามันจะจบเร็วอย่างนี้เลยค่ะ อาคิน ทุกอย่างที่คุณทำกับฉัน มันทำให้ฉันยากที่จะลืม ”

อาคินนิ่งมองใบหน้ายิ้มระรื่นของระรินดาวอย่างระวังตัวเมื่อเธอเข้าประชิด

“ จะไม่จูบลาฉันหน่อยเหรอคะ อาคิน ” น้ำเสียงเธอเหมือนอยู่เพียงลำพังสองคน อาคินลดสายตามองที่เท้าของเธอ ทันที แม้ไม่ใช่รองเท้าส้นสูงเรียวแหลม แต่บู๊ตคู่นี้ก็พื้นหนาไม่น้อย

“ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ” เธอกระซิบ โน้มคอเขาลงมาประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

อาคินสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะลิ้นของเธอที่สอดเข้าไปในปากของเขา แต่เป็นความเจ็บที่หลังคอจากการถูกของเล็กแหลมกรีดลึกลงไป เขารู้ว่าเธอโกรธ แต่เขาก็เจ็บ และเมื่อเป็นเกมส์ที่เธอเล่นมาก่อน เขาก็ไม่รังเกียจที่จะตามมันไป ดังนั้นระรินดาวจึงรู้สึกขนลุกซู่ร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อลิ้นของอาคินได้ทำงานของมันอย่างคล่องแคล่วชำนาญในปากของเธอ

“ ทุเรศ หน้าด้านที่สุด ”

เสียงดังอย่างฉุนเฉียว ของอองตียาทำให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มในรสจูบ สิ้นสุดลง ใบหน้าของระรินดาวร้อนผ่าวมันคงแดงซ่านจนถึงลำคอ

“ จะทำอะไร ต้องนึกถึงผลที่จะตามมา ” อาคินพูดเรียบ ๆ สายตาที่มองระรินดาวนิ่งสงบเหมือนสิ่งที่เขาทำกับเธอเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง

ระรินดาวซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเธอต่อรสจูบของเขาว่ามันทำให้เธอร้อนได้แค่ไหน แต่เขาช่างสงบนิ่งนัก นั่นมันทำให้เธอโกรธจนลืมตัวเป็นครั้งแรก เมื่อตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้านิ่งเฉยนั้น

“ ฉาด ”

แรง และหนัก แต่ใบหน้าของอาคินก็ยังตั้งตรง สายตาที่มองเธอเท่านั้นที่เปลี่ยนไป และนั่นทำให้ระรินดาวต้องควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองอย่างหนัก เพราะเขากำลังมองเธออย่างขันๆ ด้วยซ้ำ

“ นี่เธอ บังอาจกล้าดียังไง …”

“ หุบปาก ” ระรินดาวตวาดเสียงเบา อองตียา ชะงักอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าระรินดาวจะกล้าพูดเช่นนี้กับตน แต่เมื่อเห็นสายตาของระรินดาวแล้วก็ได้แต่นิ่ง มองร่างระหงที่ก้าวเดินออกจากห้องไปเฉย ๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้

“ ผมชักจะสงสัยแล้วซิว่าคุณพูดความจริงทุกอย่าง ” ผู้พันฮัซซาร์เอ่ยขึ้นช้า ๆ อาคินเลิกคิ้วให้เขาเหมือนถาม แต่ผู้พันฮัซซาร์เดินเข้ามาด้านหลังเขา

“ แผลเท่ารอยแมวข่วน มิน่า คุณถึงได้ทำเอาเธอโกรธจนลืมตัว ”

อองตียา ก้าวมาดูบ้าง เมื่อเห็นรอยขีดข่วนมีเลือดซึมอยู่ที่อยู่หลังคอของอาคินแล้วก็พูดออกมาอย่างโมโหว่า

“ แม่นั่นทำกับคุณถึงอย่างนี้ คุณยังยืนจูบกับหล่อนอย่างเคลิบเคลิ้มได้ยังไง อาคิน ”

อาคินถอนหายใจแผ่ว เขาเองก็รู้สึกอยู่หรอกว่ามันยากแค่ไหนที่จะทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สมกับการได้จูบผู้หญิงอย่างระรินดาว มันเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากัน เขารู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่เห็นเธอนั่งหลับสนิทอยู่บนเครื่อง ไม่เคยมีในชีวิตหรอกนะ ที่เขาจะได้หลับสนิทจนปล่อยตัวไปซบไหล่ผู้หญิงอย่างนั้น แต่เธอช่างร้ายเหลือเมื่อตื่นขึ้น ความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาที่เคยดึงดูดใจสตรีของเขาต้องถูกลดทอนไปอย่างมาก เมื่อเธอไม่มีทีท่าว่าจะสนอกสนใจเขาสักนิด ขณะที่เธอเองคอยจะมาป้อนเปี้ยนเข้ามาในความคิดเขาบ่อย ๆ และมันไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีเหตุบังเอิญที่ทำให้เขาต้องรู้จักกับเธอในสถานการณ์อย่างนี้ เขาไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกที่สถานีตำรวจ และไม่คิดฝันว่ารถที่วิ่งออกนอกเมืองเป็นร้อยคัน ทำไมจามาล ถึงได้เจาะจงเลือกเอาคันที่เธอขับด้วยนะ เขาไม่คิดที่จะให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยจริง ๆ แต่ให้ตาย … เธอจะทำยังไงนะถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รอเธออยู่ข้างหน้า เขาได้แต่หวังว่า เธอจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้เมื่อต้องเจอกับมัน

*****

 


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย หนึ่งลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕แคนโต้แห่งความรัก
 
 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.