forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


คลื่นทราย ใต้แสงดาว

โดยหนึ่งลิปดา

นวนิยายชุด ตระกูลเบ็ญจรงค์

 

 

๒.

 

ทันทีที่เครื่องจอดสนิท ไม่มีใครสนใจกับเสียงประกาศขอบคุณของกัปตันที่ใช้บริการของสายการบิน ต่างวุ่นวายกับการเปิดช่องบนศีรษะที่เก็บกระเป๋า บางคนก็เร่งร้อนไปรอที่ประตูเพื่อจะได้ออกก่อนก่อน แต่ระรินดาวยังนั่งนิ่งอยู่กับที่นั่งไม่ได้รีบร้อนตามไปด้วย เพราะยังไงเธอก็ต้องไปรออีกสามสี่ชั่วโมง เพื่อต่อเครื่องบินภายในประเทศไปเมืองคาเดียร่า อันเป็นที่อยู่ของเพื่อนอยู่ดี จึงนั่งมองออกนอกหน้าต่างสังเกตชายแต่งชุดทหารรักษาการณ์ยืนเรียงรายอยู่หลายสิบคน อาวุธสงครามในมือของทหารกระตุ้นให้เธอรู้สึกแปลกใจ เพราะเมืองท่องเที่ยวเช่นนี้ ไม่ควรจะมีทหารมาถือปืนยืนรักษาการณ์อยู่เช่นนี้


เพราะความอยากรู้อยากเห็น สิ่งแรกที่ระรินดาวทำทันทีที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมาได้ก็คือปรี่เข้าไปหาหนังสือพิมพ์ที่มักจะมีวางไว้บริการตามที่นั่งพักผู้โดยสารใน หญิงสาวคว้าหมับเข้าที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง

“ประกาศภาวะฉุกเฉิน”
“ เกิดเหตุระเบิด ตึกถล่ม องค์รัชทายาทหายพระองค์ ”

เนื้อข่าวรายงานถึงการเสด็จไปเป็นประธานในงานนิทรรศการพันธุศาสตร์ใต้ท้องทะเล ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสมาคมพันธุศาสตร์ใต้ท้องทะเลของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศวาโซดิเนีย
ระหว่างที่พระองค์กำลังมีพระดำรัสเปิดงานอยู่ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นสะนั่นแล้วอาคารทั้งหลังก็ถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว หน่วยกู้ภัยต่างพยายามค้นหาผู้รอดชีวิตรวมทั้งองค์รัชทายาทด้วย แม้ขณะที่รายงานข่าวนี้ยังไม่พบพระองค์แต่อย่างใด ประชาชนทั้งประเทศต่างก็มุ่งหวังว่าเหล่าองครักษ์พิเศษที่รายรอบอยู่จะสามารถนำพระองค์พ้นออกมาจากสถานที่เกิดเหตุได้ทัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีผลกระทบต่อการเมืองของประเทศวาโซดิเนียอย่างหนัก เพราะองค์รัชทายาทกำลังจะขึ้นครองราชย์ในงานราชาภิเษกที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า และผู้สำเร็จราชการได้ประกาศภาวะฉุกเฉินภายในเมืองบัคลาเป็นเวลาสามวัน

ระรินดาว วางหนังสือพิมพ์ลงอย่างหมดความสนใจในเรื่องเฉพาะหน้า หากเธอต้องการรู้เรื่องมากกว่านี้ ก็สามารถสอบถามได้จากเซรีน่า แม่เพื่อนสาวที่กำลังจะคลอด แต่คงไม่หมดไฟของนักหนังสือพิมพ์เก่าหรอก เชื่อว่าคืนนี้เจอกัน เซรีน่า คงจะมีเรื่องเล่าให้เธอฟังอย่างมากมาย ดังนั้นหญิงสาวจึงตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์สายการบินภายใน เพื่อจัดการเรื่องตั๋ว แต่ก็ได้คำตอบจากพนักงานสาวว่า


“ ขออภัยด้วยนะคะ เที่ยวบินที่ไปคาเดียร่า เต็มจนไปถึงอาทิตย์หน้าค่ะ” แล้วหล่อนก็แนะนำต่ออย่างมีไมตรีจิตว่า

“คุณสามารถเดินทางไปคาเดียร่าโดยรถประจำทางปรับอากาศบริการพิเศษที่ออกจากสนามบินในช่วงเฉลิมฉลองงานราชาภิเษกได้ทุกวัน ที่ด้านโน้นค่ะ ”

แม้จะนึกเซ็งที่ไม่สามารถจองตั๋วเครื่องบินได้ แต่ระรินดาวก็นึกชมบริการที่พนักงานสาวผู้นั้นแนะนำ มีเห็นบ่อย ๆ พนักงานจะเอาใจใส่เฉพาะหน้าที่ของตน เมื่อตั๋วหมดก็บอกหมด ไม่มีน้ำใจที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า หรือแนะนำลูกค้าเพิ่มเติม

แต่เมื่อเธอไปติดต่อรถก็ต้องผิดหวังเมื่อที่นั่งเต็มไปแล้วเช่นกัน

ช่างเหมือนสงกรานต์ที่ประเทศฉันจริงๆ ระรินดาวพยายามสร้างอารมณ์ขันให้ตัวเอง


แล้วระรินดาวก็โทรศัพท์ไปยังเบอร์ที่เซรีน่าให้ไว้ ก็มีแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติ เธอจึงบอกไปว่า มาถึงแล้ว แต่ไม่มีเครื่องบินต่อไปคาเดียน่า แต่อย่างไรจะพยายามเดินทางไปถึงที่โน่นให้เร็วที่สุด

“ ซวยชะมัด” หญิงสาวบ่นกับตัวเอง
“ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับมิส ”

สจวร์ตหนุ่มบนเครื่องที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเครื่องแบบของตนเองออกเป็นเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ง่าย ๆ ยืนยิ้มเผล่อยู่ใกล้ ๆ

“ ผมชื่อไรอัน ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยื่นมือมาให้เธอ แต่ระรินดาวเพียงแต่มองเฉย ๆ การเห็นเขาในการปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็อย่างหนึ่ง แต่นอกเวลางานระรินดาวไม่คิดจะให้ใครตีสนิทเอาง่าย ๆ
ไรอัน หดมือลงเมื่อเป็นกิริยาของหญิงสาว แต่แล้วก็ยักไหล่ ใบหน้ายังยิ้มละไม

“ ผมลางานสองอาทิตย์ จะไปร่วมงานฉลองที่คาเดียน่า แต่แย่จัง … ตอนนี้ใคร ๆ ก็แห่ไปคาเดียน่ากันทั้งนั้น เต็มทั้งเครื่องบิน และรถยนต์ คุณสนใจอยากจะแชร์ค่าเช่ารถขับไปกับผมไหม ไม่ถึงสิบชั่วโมงก็ถึง ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางก็สวยงาม ”

“ ไม่ค่ะ ” ระรินดาวตอบโดยไม่ต้องคิด

“ ผมตัวเล็กกว่าไอ้หมอนั่นตั้งเยอะ ไม่น่าจะกลัวเลยนะ ” เขาแกล้งแหย่

“ ดิฉันไม่ต้องการไปคาเดียน่าตอนนี้ ” เธอไม่ได้โกหกเพราะเธอจะไปตอนหลังจากนี้ต่างหาก

“ อ้าว ! ผมเห็นคุณไปติดต่อเรื่องตั๋ว ”

ระรินดาวยิ้มเย็น

“ขอโทษด้วยนะคะที่เป็นเพื่อนร่วมทางไม่ได้ ” พูดจบเธอก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านตัดบทสนทนา ไม่สนใจว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างไร แกล้งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พักหนึ่งจนแน่ใจว่า ไรอันเดินจากไปแล้วจึงวางหนังสือพิมพ์ลงชำเลืองสายตาไปรอบ ๆ แล้วจึงลุกขึ้นเดินลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมไปยังเคาน์เตอร์บริการรถเช่าชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
ก็แค่แผนที่สักแผ่น รถสักคัน เธอก็ไปถึงคาเดียน่าโดยไม่ง้อใคร

สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาเธอก็เคยเช่ารถขับข้ามรัฐข้ามประเทศร่วมกับเพื่อนๆ บ่อยไป และเซรีน่าก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เรื่องการขับรถในต่างประเทศจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ
แต่แม้การมีเครดิตการ์ดที่มีการเชื่อมบริการด้านนี้ให้กับสมาชิกจะทำให้ระรินดาวได้รับความสะดวกพอประมาณ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใครๆ ก็มาวาโซดิเนียกันทั้งนั้น รถที่ให้บริการจึงพลอยขาดแคลนไปด้วย ดังนั้นระรินดาวจึงได้คำตอบว่า เธอจะต้องรอรถที่ทางบริษัทจะจัดหาเพิ่มเติมให้ได้อีกประมาณสี่ชั่วโมง

และมันช่างเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ดีอะไรอย่างนี้ เมื่อเธอถูกแนะนำว่า ระหว่างที่รอรถ เธอก็น่าจะไปร่วมรายการซิตี้ทัวร์ ที่เป็นบริการนักท่องเที่ยวฟรีในการนั่งรถชมเมือง แวะสถานที่สำคัญ และแหล่งช้อปปิ้งของเมืองหลวงจะได้รับการเพลิดเพลินกว่าที่จะนั่งรอเฉยๆ ที่สนามบินนี้

ระรินดาวคำนวณเวลาแล้วก็คิดว่า เธอน่าจะพักที่นี่สักคืนดีกว่า เพราะหากเธอได้รถและขับไปในอีกสี่ชั่วโมงข้างหน้าเธออาจจะไปถึงคาเดียน่าเอาตอนดึกมากๆ และการที่ต้องขับรถตอนกลางคืนคนเดียวในประเทศที่มาเพียงครั้งแรก แม้จะมีความมั่นใจตัวเองแค่ไหน เธอก็ถือเอาความปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ดังนั้นหญิงสาวจึงบอกกับทางบริษัทรถเช่าว่าเธอจะแจ้งให้ทราบทีหลังว่าจะให้ส่งรถไปให้เธอที่โรงแรมไหนในเช้าพรุ่งนี้
และอีกครั้งที่การให้บริการนั้นดีสำหรับนักท่องเที่ยวเพียงใดที่เคาน์เตอร์นี้ เมื่อเธอถูกแนะนำให้รู้จักกับโรงแรมตั้งแต่ขนาดห้าดาว ไปจนถึงโรงแรมระดับปานกลาง ที่อยู่ในเมืองบัคลา ระรินดาวจึงเลือกเอาโรงแรมระดับปานกลางแต่มีชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมสมัยเก่าแก่
ไปบ้านเมืองไหน ควรจะรู้จักรากเหง้าของเขาเอาไว้ด้วย  เป็นคำพูดของแสนดาว ปฐมวงศ์เพื่อนซี้ที่เป็นนักโบราณคดีของเธอพูดเอาไว้เสมอ แต่ที่ระรินดาวเลือกก็ไม่ใช่เหตุผลนี้เสียทีเดียว ชื่อโรงแรมของมันต่างหากที่สะกิดใจเธอ

เพคตุส เอท รอซา ... หัวใจและดอกกุหลาบ...

มีนักท่องเที่ยวร่วมชมเมืองเกือบเต็มคันรถ ระรินดาวนั่งอยู่หน้าสุด ที่นั่งข้างเธอว่างเปล่า เป็นการดีสำหรับเธอที่ไม่ต้องสนใจคุยกับใคร จึงมองผ่านกระจก ชมเมืองได้อย่างสบาย บัคลาก็เหมือนเมืองหลวงของประเทศอื่น ๆ ที่แออัดไปด้วยตึกรามบ้านช่อง มีศูนย์การค้าใหญ่โตกลางใจเมือง

ระรินดาวขยับตัวชิดกระจกเมื่อรถวิ่งผ่านบริเวณตึกถล่ม มองเห็นแต่เพียงซากปรักหักพังกองโตมหึมา ทหารยืนเรียงรายมากมาย แม้จะมีเชือกสีแดงกั้นไว้ไม่ให้คนเข้าใกล้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนจับกลุ่มมองดูอยู่ไม่น้อย

เพราะรถจอดติดไฟแดงตรงนี้พอดี ระรินดาวจึงมองเห็นขบวนรถที่แล่นผ่านเข้าไปในบริเวณตึกถล่มนั้นสามสี่คัน แต่ที่เธอสนใจเห็นจะเป็นรถฮัมฟรีย์สีดำ อันมีชายหนุ่มที่ชื่อไรอันเป็นคนขับ แต่คนที่นั่งเคียงข้างเขานั้น แม้จะมีแว่นดำปิดบังใบหน้า แต่เหมือนระรินดาวจะรู้สึกได้ว่า เขามองมายังเธอ

เป็นใคร? ท่าทางจะสำคัญไม่ใช่เล่น ไม่อย่างนั้นคงจะเข้าไปบริเวณที่ถูกกันไว้โดยมีทหารเฝ้าอยู่เป็นร้อยอย่างนั้นไม่ได้

สถานที่ต่อมาที่ทางรถพาแวะเยี่ยมชมก็เป็นพิพิธภัณฑ์ และศูนย์การค้า ระรินดาวไม่ได้มีความสนใจจะซื้ออะไรเป็นพิเศษ

แต่เมื่อมาถึงจุดที่ทางรถนำเที่ยวพามาที่บริเวณตลาดนัดขายสินค้าที่ระลึก เธอก็ละลานตาไปกับสินค้าพื้นเมือง และผู้คนที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน มีครั้งหนึ่งที่เธอถูกชน จนเซไปชนเอาเด็กคนหนึ่งที่คล้องคอด้วยกะบะขายเส้นเชือกถักสีสดใส อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความโชคดี เธอเลยตัดสินใจซื้อเป็นการขอโทษถึงยี่สิบเส้น แต่หลังจากนั้นเธอก็ถูกรุมล้อมด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ต่างยื่นสิ่งของต่างๆ มาเสนอเธอให้วุ่นไปหมด เหตุการณ์นี้คงทำให้เธอแย่แน่หากไม่มีเสียงตะโกนขึ้นมา แล้วจู่ๆ พวกพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นต่างผละจากเธอวิ่งกันไปอีกด้านหนึ่ง

ระรินดาวหอบหายใจ มองตามอย่างงงๆ จะเหลือก็แต่เด็กชายที่ขายเชือกถักให้เธอเท่านั้นที่ยืนมองเธออยู่

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เธอถามเป็นภาษาอังกฤษ

ไม่คิดจะได้รับคำตอบหรอกแต่เด็กนั้นตอบเธอด้วยภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่นว่า
“ผู้สำเร็จราชการกับคุณหญิงซาลีมา”

ระรินดาวพยักหน้ารับรู้ แต่ตอนนี้เธอหมดความสนใจในทุกอย่างแล้ว จึงจะกลับไปยังรถ

“มิส”

ระรินดาวหันกลับ เด็กคนนั้นก็เอาเชือกถักเส้นหนึ่งใส่มือเธอ แล้ววิ่งไปทางตรงข้าม ระรินดาวยิ้มนิดๆ ก่อนจะเอาเชือกถักเส้นนั้นคล้องคอตัวเอง เพราะขี้เกียจจะแกะถุงเอารวมกับเส้นอื่นๆ
แต่เมื่อเธอเอามันมาพิจารณาตอนนั่งรถกลับ ก็เห็นว่า เชือกถักนี้ มีจี้เป็นเหรียญเงินรูปนกอินทรีทั้งสองด้าน มันต่างกับเส้นอื่นๆ ที่จะมีจี้เป็นเหรียญปั้มรูปดอกไม้ต่างๆ เท่านั้น และที่สำคัญ เหรียญนั้นมีข้อความที่เธอเริ่มจะคุ้นเคย


เพคตุส เอท รอซา... หัวใจและดอกกุหลาบ

********

วันรุ่งขึ้น ระรินดาวขับรถออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเพราะไม่ต้องการไปถึงเมืองคาเดียร่าดึกเกินไป การขับรถไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสำหรับเธอ เพราะคุ้นเคยอยู่แล้ว เธอสามารถอ่านแผนที่ และจดจำคำอธิบายของพนักงานบริษัทที่เธอเช่ารถมาได้เป็นอย่างดี หลังจากเข้าพักที่โรงแรมเมื่อวานนี้ ระรินดาว ติดต่อไปที่เซรีน่าอีกครั้ง มีคนรับสาย ซึ่งเธอคิดว่าคงเป็นคนรับใช้ บอกเธอว่า เซรีน่า คลอดแล้วเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้เซรีน่ายังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล เพราะผ่าท้องคลอด แต่ทั้งแม่และลูกปลอดภัยดี ระรินดาวจึงบอกเพียงว่า เธอเป็นเพื่อนระรินดาว และจะเดินทางไปหาเท่านั้น

ตอนเช้าตรู่ที่เมืองบัคลาดูจะต่าง จากเมื่อวานเย็นอย่างสิ้นเชิง ถนนบางตา มีเพียงรถประจำทางไม่กี่คันแล่นอยู่ เพราะมันคงจะเช้าอยู่มากภาพคนจรจัด คนขี้เมา ที่นอนหลับสบายอยู่ตามถนน หรือกองขยะจึงมีให้เห็นเป็นระยะ ๆ ระรินดาวมีโอกาสผ่านสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง คราวนี้เธอเห็นทหารถือปืนยืนสังเกตการณ์อยู่ด้วยมากกว่าเมื่อวานเท่าตัว

ระรินดาวติดไฟแดงอยู่ที่แยกแห่งหนึ่ง และชั่วเสี้ยววินาทีที่เธอจะเคลื่อนรถออกเมื่อไฟเขียวสว่างขึ้น ชายร่างสูงใหญ่กระโดดข้ามเหล็กกั้นถนนถลามาทางรถของเธออย่างรวดเร็ว และร่างนั้นก็ฟุบนิ่งที่กระโปรงหน้ารถก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้น หญิงสาวเปิดประตูรถ

“ คุณเจ็บตรงไหน ” เธอช้อนหลังเขาขึ้นอย่างทุลักทุเล อีกฝ่ายจ้องหน้าเธอ

“บอกอาคิน …อาควุยลา สเปคุส…” เสียงเขาดังแผ่วล้าเลือดไหลซึมออกจากอกของเขา มันมากเกินไป

“ ดิฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล ” เธอบอกแล้วหันไปรอบ ๆ

อุบัติเหตุครั้งนี้เริ่มมีคนสังเกตุเห็น ชายในชุดสีเข้มเดินตรงเข้ามาอย่างเร็ว

คนเจ็บยึดแขนระรินดาวไว้แน่น สายตาที่มองไปยังชายที่ตรงเข้ามาอย่างกระวนกระวาย

“ บอกอาคิน อาควุยลา สเปคุส อยู่ไหน อย่าบอกคนอื่น ... ระวังตัวด้วย... ”

“ ช่วยด้วยค่ะ ” ระรินดาวร้อง เมื่อชายในชุดสีเข้มมาใกล้

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“ กร๊อก! ”

ผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอคอพับลงในทันใด

“ เขาตายแล้ว ตำรวจ ” ชายในชุดสีเข้มตะโกน แล้ววิ่งผละไปอย่างรวดเร็ว

ระรินดาวนิ่งตะลึง เธอแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาถูกหักคอตายในอ้อมแขนของเธอ แล้วเจ้าฆาตกรก็วิ่งหายไปอย่างลอยนวล

*****

อะไรมันจะซวยอย่างนี้!
ระรินดาวคิดอย่างหงุดหงิด ลางร้ายมันเกิดตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน การไม่มีตั๋วเครื่องบินต่อไปเมืองคาเดียร่า การมาไม่ทันเซรีน่าคลอด การที่ต้องเช่ารถขับไปเอง การที่จะต้องมาอยู่บนสถานีตำรวจเป็นชั่วโมง ด้วยข้อหา … ขับรถชนคนตาย …
และสิ่งที่เธอพูด ก็ไม่ได้สร้างความเชื่อถือให้แก่ตำรวจเลยสักนิด เขาปลักใจเชื่อว่าเธอขับรถชนคนตาย ขณะที่เธอเองก็ยืนกรานปฏิเสธ ความอดทนของระรินดาวแทบจะระเเบิดเมื่อตำรวจสั่งให้เธอเซ็นชื่อยอมรับข้อกล่าวหานั้น
นี่เธอมาเจอเข้ากับเรื่องอะไรอีกละนี่ ความจริงวาโซดิเนียก็ไม่ได้เป็นประเทศด้อยพัฒนาจนไม่ยอมรับสิทธิมนุยชนขั้นพื้นฐาน จนไม่ยอมให้เธอติดต่อใครๆ เลย เมื่อเธอต้องการจะโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ก็ดูเหมือนจะทำไขสือ แกล้งทำเป็นฟังเธอพูดไม่รู้เรื่อง และในที่สุดก็สั่งให้เธอนั่งเฉยๆ และรอ

แล้วความเหนื่อยหน่ายของนายตำรวจสอบสวนดูจะกระฉับกระเฉงขึ้น เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาในห้อง พูดโทรศัพท์ไม่ถึงอึดใจ ก็หันมาบอกเธอให้คอยสักครู่ แล้วก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้คนเดียวเสียดื้อ ๆ

สักครู่ของเขาปาไปอีกเกือบชั่วโมง ในระหว่างนั้น ระรินดาวคิดถึงความร้ายแรงของเรื่องที่เกิดขึ้นว่าจะมีผลกระทบต่อเธอเพียงใด ใครบ้างที่เธอพอจะขอความช่วยเหลือได้บ้างในประเทศนี้ นอกจากเซรีน่าเพื่อนของเธอแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีสถานทูตไทยเสียด้วย แล้วเธอก็นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอบอกตำรวจไปทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่ผู้ตายสั่งเอาไว้ หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอจึงไม่พูด อาจจะเป็นเพราะเป็นคำขอร้องของคนตาย หากจะคิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนมันก็มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

คนตายวิ่งถลามาที่รถของเธอ เขาบาดเจ็บมาก่อน เพราะเธอมองเห็นเลือดที่ไหลออกจากอกเขา

เขาอาจจะถูกทำร้ายอย่างสาหัสมาก่อนแล้วหนีมาได้ แต่ถูกเจ้าฆาตกรคนนั้นตามมาอย่างกระชั้นชิด

แม้ว่าเจ้าฆาตกรคนนั้นจะไม่มาหักคอเขาซ้ำ จากอาการบาดเจ็บและแววตาของเขาระรินดาวก็คิดว่าเขาคงจะรอดยากอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่เขาบอกเธอนี่ซิ มันคงจะสำคัญมาก … อาควิลลา สเปคุส

ระรินดาวพอจะรู้เกี่ยวกับภาษาลาตินอยู่บ้างเพราะ นึกสนุกจึงเรียนภาษานี้ทางอินเตอร์เน็ทเล่นๆ เอาไว้คุยเล่นเป็นรหัสลับกับแสนดาว และพี่ชายคนที่สองของเธอ พสุธา เบ็ญจรงค์ ที่สนใจค้นคว้าเรื่องราวทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์มากคนหนึ่ง

คำว่า อาควุยลา สเปคุส มันน่าจะหมายถึง ถ้ำอินทรี… อาจจะเป็นสถานที่สักแห่ง หรือเป็นรหัสลับบางอย่าง คนที่จะถอดรหัสนี้ได้คงจะมีหลายคน เพราะคนตายเตือนไม่ให้เธอ บอก ใครนอกจาก … อาคิน …

แล้วอาคินนี่คือใคร ?

เธอจะหาคนนี้ได้จากที่ไหน ข้อความนี้มันคงมีความสำคัญมากเพราะเล่นกันถึงตาย

จากท่าทางของทั้งคนตายและฆาตกร ระรินดาวเชื่อว่าเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน นั่นคือนักฆ่า เมื่อคิดถึงคำนี้แล้วมันก็ทำให้เธอนึกถึงชายที่เธอเจอบนเครื่องบิน และเห็นซ้ำอีกครั้งในรถบนถนนเมื่อวาน ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อแท้ ๆ ที่เธอมาถึงประเทศนี้ได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอะเจอกับผู้ชายประเภทนี้เข้าถึงสามคนแล้ว

หนึ่งกวนโมโห หนึ่งตาย และหนึ่งฆาตกร


มีเสียงเปิดประตู ระรินดาวหันไป คราวนี้มีผู้ก้าวเข้ามาในห้องสืบสวนถึงสองคน คนหนึ่งเป็นชายสูงอายุแต่ท่าทางกระฉับกระเฉง ยังดูดีมากแม้ศีรษะจะล้านไปหน่อย เขายิ้มให้เธออย่างอารมณ์ดี แต่กับอีกคนเมื่อเห็น ระรินดาวเกือบเก็บอาการแปลกใจไม่อยู่

อะไรมันจะประจวบเหมาะได้ถึงเพียงนี้

“ขอโทษนะมิสที่ต้องให้รอ ” ชายสูงอายุพูดขึ้นก่อนเมื่อมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามเธอ ส่วนอีกคนไปยืนกอดอกมองเธออยู่ห่าง ๆ

“มันน่าประทับใจมากค่ะ ” เธอแดกดัน ไม่ได้นึกกลัวเพราะถือว่าไม่ได้ทำผิดอะไร

“ฉันคือนายพลนาร์ยิบ ” เขาแนะนำตัวเองง่าย ๆ บุคลิกของเขาทำให้เธอนึกถึง ผู้เป็นลุงพลตำรวจเอกปฐม ปฐมกาล

“อ่านคำให้การของคุณแล้ว คุณเป็นผู้หญิงไทยที่สวยมาก มาวาโซดิเนียเพื่อร่วมฉลองงานราชาภิเษกเหรอ”นายพลนาร์ยิบถามอย่างอารมณ์ดี แต่ระรินดาวยิ้มเซ็ง ๆ

“มันอยู่ในคำให้การ แล้วค่ะ ”

“ คุณรู้ไหม คนที่คุณขับรถชนนั่นเขาเป็นใคร ”

“ ดิฉันไม่ได้ขับรถชนเขา เขาต่างหากที่วิ่งมาชนรถดิฉัน และดิฉันก็ไม่สนใจที่จะรู้จักเขาด้วย ” เธอยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นเดิม

“ ฉันไม่เคยเห็นคนวิ่งชนรถแล้วคอหักตายสักคน ” เสียงห้าว ๆ ดังแทรกขึ้น

ระรินดาวตวัดสายตาไปทางเขา แล้วนั่งคอแข็งเชิดหน้า

“ มีพยานหลายคนเห็นเขาฟุบอยู่ที่หน้ารถคุณ ” นายพลนาร์ยิบพูด

“ ดิฉันก็เห็นแบบนั้น ตอนที่เขาวิ่งตรงเข้ามา และเปิดประตูลงไปดู ”

“ คุณบอกว่าไม่ได้ขับรถชน แล้วคุณเปิดประตูลงไปดูทำไม” เสียงห้าว ๆ ถาม

“ ในเมื่อเขามาล้มฟุบอยู่ที่หน้ารถดิฉัน คุณจะให้ดิฉันขับรถเหยียบเขาไปเลยรึไง ”

“ คุณจะบอกว่าคุณลงไปดูอาการเขา แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหักคอเขา ”

“ ใช่ ”

“ โกหก ”

“ นี่! …” ระรินดาวโกรธจนหน้าแดง

“ จะบอกให้รู้นะ ผู้ชายคนนั้นเป็นถึงราชองครักษ์ ได้รับการฝึกมาอย่างดี ไม่มีใครทำแบบนั้นกับเขาได้ง่าย ๆหรอก ” เขาเน้นเสียงบอก

“ ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ และเจ้าฆาตกรคนนั้นมันก็เป็นนักฆ่าเหมือนคุณนั่นแหละ ” ระรินดาวเถียงเสียงดัง

“นักฆ่า? ท่าทางคุณออกจะคุ้นกับคำนี้นะ”

ระรินดาวยักไหล่
“หนังฮอลลีวู้ดมีเป็นพันๆ เรื่อง”

“คุณจะบอกรายละเอียดรูปร่างหน้าตาของผู้ชายที่คุณบอกว่ามาหักคอคนตายหน่อยได้ไหม?”
ระรินดาวถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“มันเกิดขึ้นเร็วมากดิฉันจำใบหน้าเขาไม่ได้ เพราะเขาใส่แว่นดำปิด” เธออย่างเติมว่า เหมือนนายอีกนั่นแหละ แต่ก็เฉยเสีย

นายพลนาร์ยิบ สำรวจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าง่าย ๆ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงามของสตรีผู้นี้ได้ หุ่นเหมือนนางแบบ และที่น่าแปลก เหมือนสองคนนี่จะรู้จักกันมาก่อน แล้วสายตาเขาก็เบนไปที่ชายหนุ่มที่มาด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็แปลความหมายได้จึงยักไหล่

“ ทำไมคุณถึงคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ถ้าคุณไม่ได้ขับรถชนเขา ” นายพลนาร์ยิบถามอีก

“ ตอนที่ดิฉันพยุงเขาขึ้นมาเขามีเลือดไหลออกมามาก จากหน้าอก ”

ชายทั้งคู่หันมาสบตากัน แล้วกระดาษคำให้การของเธอที่อยู่ในมือนายพลนาร์ยิบก็ถูกวางทิ้ง หันมาเน้นเสียงถามเธอว่า

“ ตอนนั้นเขาตายแล้วยัง ? ”

ระรินดาวมองเห็นประกายตาบางอย่างจากนายพลนาร์ยิบ เธอสัมผัสได้ถึงความเครียดที่เกิดขึ้นมาจากคำถามนี้ของเขา

“ ยัง ” เธอตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ เขาพูดอะไรกับคุณหรือเปล่า ? ” น้ำเสียงถามร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

ระรินดาวนิ่งก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ

“ คิดดี ๆ อิสรภาพของเธอขึ้นอยู่กับคำถามนี้นะ ” เสียงห้าว ๆ ของเขาดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ หมายความว่า ถ้าดิฉันบอกคุณว่าเขาพูดอะไร แล้วเรื่องที่ดิฉันถูกยัดเยียดข้อหาขับรถชนคนตายก็จะถูกยกเลิกไปใช่ไหม ? ”
เธอถามเสียงเรียบ ๆ เธอรู้แล้วว่า สิ่งที่ชายสองคนนี้ต้องการรู้ก็คือ คำพูดก่อนตายของชายคนนั้นเท่านั้น

“ มันจะทำให้คำให้การของคุณฟังได้มากขึ้นเท่านั้น ” เขาตอบอย่างไว้เชิง

“ ถ้างั้น ” ระรินดาวไหวไหล่ “เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย ผู้ชายคนนั้นก็วิ่งมาหักคอเขาเสียก่อน ”
พูดจบเธอก็ก้มลงมองนิ้วที่กำลังเคาะโต๊ะเล่นเสีย

“ ก็ได้ คุณจะได้รับอิสรภาพ ” นายพลนาร์ยิบบอกเสียเอง

“ ดิฉันจะเชื่อได้แค่ไหน ว่าจะได้รับอิสรภาพจากข้อหาที่ดิฉันไม่ผิด ”

“ เธอกำลังได้รับคำรับรอง จากรัฐมนตรีมหาดไทของประเทศวาโซดิเนียอยู่นะ ให้ระวังคำตอบด้วยนะว่ามันจะเป็นจริง ไม่ใช่พูดเอาตัวรอด ”
นายนักฆ่านั่นสำทับมองเธออย่างไม่เชื่อถือ

ทหารเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย นะเหรอ? ถ้าที่อยู่ต่อหน้าเธอเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยจริง เรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากน่าดู ระรินดาวไม่คิดจะผิดคำพูดกับคนตาย แต่เธอจะบอกอย่างไรมันจึงจะฟังน่าเชื่อถือ

“ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าคำพูดของดิฉันจริงหรือไม่จริง ” เธอถามถ่วงเวลา แล้วก็เห็นสายตาแสดงความรู้ทันจากเขา

“ ช่างเถอะ ฉันจะพิจารณาเองว่า คำพูดของเธอเชื่อถือได้หรือไม่” นายพลนาร์ยิบขัดขึ้น

“ ดิฉันฟังไม่ค่อยถนัดนักเพราะเขาพูดเสียงเบามากและมันไม่น่าจะใช่ภาษาอังกฤษ เขาเพียงแต่พูดคำว่า อาคิน เพคตุส เอท รอซา อะไรทำนองนี้แหละ ”

มีเสียงถอนหายใจอย่างผิดหวังเบา ๆ จากนายพลนาร์ยิบ เขาหันไปทางชายหนุ่ม
“ คุณคิดว่าไง อาคิน”

ชื่อนี้ทำให้สายตาระรินดาวตวัดไปที่ชายหนุ่มทันที เห็นเขาจ้องมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว
ชายหนุ่มจ้องเธอนิ่งไปนานก่อนจะหันไปส่งภาษาพื้นเมืองรัวเร็ว เหมือนไม่อยากให้เธอรู้เรื่องด้วย ความจริงเธอก็ไม่อยากรู้เสียหน่อย เธอเพียงแต่อยากออกไปให้พ้นๆ จากที่นี่เท่านั้นเอง

สีหน้าของคนทั้งคู่ดูเครียดไม่น้อย ก่อนที่นายพลนาร์ยิบจะบอกกับเธอว่า

“คำพูดของคุณถือว่าผ่านได้”

“ แสดงว่าดิฉันเป็นอิสระแล้วใช่ไหม ”

“ คุณเป็นอิสระ ” ท่านเน้นตอบให้เธอมั่นใจ

“มิสเตอร์อาคินละคะ ” ระรินดาวแกล้งเน้นชื่อ

“ ใครจะไปกล้ารั้งตัวคุณไว้ละคุณผู้หญิง ” อาคินพูดห้วน ๆ

“ เฮ้อ ” ระรินดาวลุกขึ้นยืนถอนใจอย่างเป็นสุข ยิ้มให้ชายทั้งคู่พูดว่า “ อิสระอันหอมหวาน ไม่ทราบว่าดิฉันจะไปรับรถคืนได้ที่ไหนคะ”

“ นั่งรอสักครู่ ผมจะให้เจ้าหน้าที่พาไป “ ท่านนายพลบอก ก่อนจะกดเรียกเจ้าหน้าที่ให้เข้ามา

“ รู้ไหมคะท่านนายพลมันน่าหงุดหงิดชะมัด ดิฉันยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลย แถมยังต้องเหม็นสาปอยู่กับชุดที่เปื้อนเลือดทั้งวัน เอ ดิฉันจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้บ้างไหมนี่”

ชายทั้งคู่ทำหน้าปูเลี่ยน ๆ

“ เห็นทีคืนนี้ ดิฉันคงต้องหาโรงแรมพักอีกสักคืนแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะเดินทางได้ แต่แหมโรงแรมที่นี่ก็หายากเย็นเหลือเกิน หวังว่าวันนี้คงจะไม่โชคร้ายเกินกว่าที่ได้รับอยู่แล้วหรอกนะ ” ระรินดาวยังพล่ามต่อ

“ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ไปพักที่บ้านผมไหม ภรรยาผมคงยินดี เรามีลูกสาววัยไล่เลี่ยกับคุณ ” นายพลนาร์ยิบเสนอ

“ เป็นข้อเสนอที่เยี่ยมมากค่ะท่านนายพล ” ระรินดาวตอบยิ้มอย่างสดใส “ ว่าแต่คุณไม่คิดอยากจะเลี้ยงดินเน่อร์ดิฉันหน่อยเหรอคะมิสเตอร์อาคิน ”

“ ขอโทษผมไม่ว่าง ” อาคินตอบอย่างไม่สนใจ
แล้ว เขาก็พยักหน้าให้กับตำรวจนายหนึ่งที่เปิดประตูเข้ามา

ระรินดาวลุกขึ้นเพราะคิดว่าคงเป็นตำรวจที่จะมานำเธอไปเอารถ

“ ข้อเสนอของฉันละมิส ” ท่านนายพลถามขึ้นมาใบหน้าเขายิ้มนิด ๆ ในใจนึกสงสารแม่สาวชาวต่างชาติที่หลงเสน่ห์อาคินเข้าให้แล้ว

“ ดิฉันปฏิเสธค่ะ ” ระรินดาวตอบ เดินหน้าเฉยออกจากห้องไปก่อนที่นายตำรวจจะรีบตามออกมา

“คิดว่ายังไงอาคิน”

“ผลชันสูตรไม่ได้เขียนว่า คาฮิล มีบาดแผลอื่นนอกจากคอหัก”

นายพลนาร์ยิบพยักหน้า

“คุณคิดว่าแม่สาวนั่นโกหกหรือเปล่า?”

อาคินขมวดคิ้ว แล้วก็สั่นหน้า

“ไม่น่าจะโกหก ตรวจดูแล้วว่านี่เป็นการเดินทางมาที่นี่ครั้งแรก ผมเจอบนเครื่องเมื่อวาน และมั่นใจได้ว่าไม่เคยเอ่ยชื่อตัวเองออกไปเลย ”

“แต่ไอ้คำว่า เพคตุส เอท รอซา มันก็เป็นคำที่เห็นได้ไม่ยากในประเทศนี้ อีกอย่างคุณก็ไม่ใช่คนตัวเล็กในประเทศนี้”

“แต่เธอเพิ่งมา และชื่อของผมไม่เคยถูกเอ่ยถึงในประเทศมาเป็นปีแล้ว”

นายพลนาร์ยิบถอนหายใจ

“ก็ต้องฉลาดมากทีเดียวล่ะ? ที่สามารถจับคำพวกนี้มารวมกันตอบเราได้”

“แต่ผมก็ไม่เห็นเหตุจูงใจอะไรว่าผู้หญิงคนนี้จะโกหก และมันอาจเป็นไปได้เหมือนกันที่ คาฮิล จะเอ่ยคำนี้ก่อนตาย ”

“ผมมั่นใจว่า คาฮิล ถูกฆ่าปิดปากแน่ เขาอาจจะกำลังออกมาติดต่อกับคุณ แต่ถูกสะกดรอย หากทางโน้นรู้ที่ซ่อนก่อนเราละก็ ...”

“แต่ผมเชื่อว่ายังไม่รู้” อาคินพูดด้วยความมั่นใจ

นายพลนาร์ยิบมองหน้าเขาแล้วก็พูดว่า

“คิดว่าเธอจะปลอดภัยไหม? ที่ปล่อยไป”

“คงไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะมีพยานที่เชื่อถือได้ว่า คาฮิล วิ่งมาชนรถเธอจริงๆ”

“ทางโน้นคงสงสัยเหมือนเราว่า คาฮิล พูดอะไรหรือเปล่า?”

อาคินนิ่งไปครู่ก่อนจะตอบว่า

“ก็คงเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีมหาดไทนั่นแหละ จะคุ้มครองได้ไหม?”

“แต่ท่าทางแม่สาวนั่น คงอยากจะให้คุณดูแลมากกว่า”

“งานผมยุ่งเกินกว่าที่จะรับภาระนี้ อีกอย่างผมต้องไปรายงานตัวต่อท่านผู้สำเร็จราชการ”

นายพลนาร์ยิบ ยิ้มนิดๆ พูดว่า

“ฉันดีใจนะ ที่เธอยอมกลับมาอาคิน”
ชายหนุ่มมองสบตานายพลนาร์ยิบก่อนจะพูดเสียงเรียบเฉยว่า

“ที่นี่คือบ้านผม”

อาคินออกไปแล้วแต่ท่านนายพลยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยแววตาครุ่นคิด สักครู่ก็ได้ยินเสียงแตรดังขึ้นมาก่อนเสียงเบรคที่ดังสนั่นตามมา จากหน้าต่างที่มองเห็น ก็คือร่างของอาคินคว่ำ อยู่บนกระโปรงหน้ารถ ผู้ที่ก้าวลงจากรถก็คือสุภาพสตรีที่เพิ่งออกจากห้องนี้ไปเมื่อครู่ หากอยู่ใกล้ ท่านนายพลก็คงจะได้ยินเสียงทั้งคู่พูดคุยกัน แต่ตอนนี้เพียงแต่มองภาพของคนทั้งคู่อย่างสนใจเท่านั้น

“ ให้ตายซิ นี่คุณขับรถภาษาอะไร ” อาคินตวาดด้วยความโมโห เขากำลังจะข้ามถนนอีกด้านเพื่อจะไปเอารถของตัวเอง แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดในที่คับขันทำให้เขาตัดสินใจกระโดดขึ้นหน้ารถเพื่อเอาตัวรอดในเวลากระชั้นชิด และแค่เห็นคนลงมาจากรถเขาก็ยิ่งหงุดหงิดเพิ่มขึ้น อาคินไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนี้เมื่อเห็นเจ้าหล่อน

หญิงสาวเพียงมองดูเขาเงียบๆ

“ อะไรอีกละที่นี้ แค้นตั้งแต่บนเครื่อง หรือถูกปฏิเสธดินเน่อร์ ” เขาถามฉุนๆ

“ หลงตัวเองไปละมังมิสเตอร์ อาคิน ยังกะฉันสนใจคุณนักนี่ “

“ ผมมองออกหรอกว่า ผู้หญิงคนไหนให้ท่าผม” เขาเยาะ

“ อย่างนั้นเหรอคะ เก่งจริง ฉันชักอยากจะรู้แล้วซิว่าคุณแยกแยะได้แค่ไหน ” เสียงระรินดาวเยาะหยันไม่แพ้กัน
“ฉันแค่อยากจะถามทางคุณเท่านั้นมิสเตอร์อาคิน ว่าคุณรู้จักที่นี่ไหม?”

หญิงสาวยื่นแผนที่ท่องเที่ยวที่ถือให้เขาดู

“อาควิลลา สเปคุส”

“อะไรนะ?”

ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เริ่มหันมามอง ระรินดาวประชิดตัวเข้าใกล้เขา มันเกิดขึ้นเร็วมากจนอาคินถึงกับสะดุ้งกับความเจ็บปวดที่เท้าของตัวเอง เพราะหญิงสาวเหยียบขึ้นมาที่เท้าทั้งสองข้างของเขา เธอเขย่งเพื่อกดน้ำหนักตัวลงที่เท้าขณะ ใช้จมูกชนที่ปลายคางเขาเบาๆ

“ อาควิลลา สเปคุส ”

ระรินดาวพูดซ้ำอีกครั้ง และเมื่อสิ้นคำพูดระวังตัวด้วย อาคินถึงกับร้องไม่ออก เมื่อเธอใช้เข่ากระแทกไปที่ หว่างขาของเขาอย่างแรง ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้น ขณะที่ระรินดาวเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ขับออกไป


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย หนึ่งลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕แคนโต้แห่งความรัก
 
 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.