forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


เล่ห์รัก ล่าหัวใจ

โดย หนึ่งลิปดา

นวนิยายชุด ตระกูลเบ็ญจรงค์

 

“ นั่นแกจะไปไหน ”

“ เก็บของกลับกรุงเทพฯนะสิคะ ” วาทินีตอบ

“ คุณพลังพลบอกให้แกช่วยตามหายัยวิข ”

“ บอกให้ช่วยเรอะ? ” วาทินีทวนคำ เบิกตามองผู้เป็นพ่อ “ ไอ้ท่าอย่างนั้นหรือคะ บอกให้ช่วย วางโตขนาดนั้นทำไมวาจะต้องไปสนคำพูดนายนั่นด้วย ”

“ อย่างน้อยแกก็น่าจะเป็นห่วงน้องบ้าง หนีไปอย่างนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง ”

“ ยัยวิชทำอย่างนี้ได้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแกหรอกค่ะ ดีแล้วที่ไม่แต่งกับนายนี่ ”

นายวาทินขมวดคิ้ว

“ แกไม่ชอบเขารึ? ”

“ โอย ตลก นายอสรกุ๊ยนั่น ใครจะชอบลง พ่อน่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ยัยวิชไม่ตกหลุมนายนี่เสียจริงๆ ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่ได้รัก เขาอยากได้ที่ดินยัยวิชเท่านั้น พ่อไปเห็นดีเห็นงามกับเขาได้ยังไง ท่าทางอันธพาลข่มขู่ออกอย่างนั้น ฟังเขาพูดกับพ่อสิ จะให้ความเคารพกันสักนิดก็ไม่มี วาอยากตบสักฉาด ”

นายวาทินดูท่าทางลูกสาว ที่ไม่พอใจ พลังพลเอามากๆ แล้วก็ขมวดคิ้ว ปกติ วาทินีไม่ใช่คนที่จะแสดงความรู้สึกออกมาเท่าใดนักหรอก พอใจไม่พอใจอะไรมักจะเก็บเงียบ ต่างกับวิชชุลดา รายนั้นจะตีโพยตีพายออกมาใส่อารมณ์เต็มที่

“ ความจริงเรื่องที่ดิน เขาก็ตรงไปตรงมา ไม่ได้คิดจะเอาฟรีๆ เคยเสนอราคาให้อย่างงามด้วยซ้ำ ”

“ ก็ทำไมไม่ขายให้เขาไปเสียล่ะคะ? ”

“ พ่อต้องการคุณพลังพลเป็นลูกเขย ” นายวาทิน ตอบตรงๆ

“ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เขาไม่ได้รักยัยวิช เลยเหรอคะ? ”

“ แกอย่า มาเสียงแข็งใส่พ่อ มีถมไปที่คนเราแต่งงานกันโดยไม่ได้รัก แต่ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข และไม่คิดเหรอว่า น้องสาวแกเป็นคนสวยน่ารัก แต่งกันไป ต้องทำให้คุณพลังพลรักได้แน่นอน ” แล้วนายวาทินก็จ้องหน้าลูกสาวเขม็ง

“ ถามจริงๆ เถอะแกอิจฉาน้องใช่ไหม ถึงได้ยุยงให้ยัยวิชมันหนีไปอย่างนี้ ”

“ คุณพ่อ ” วาทินีเหลืออด “ วาจะไปอิจฉาน้องเพราะได้แต่งกับนายนักเลงโตนั่นนะเหรอ บ้าที่สุด ”

“ ก็แล้วยัยวิชมันจะหนีไปทำไม? เรื่องอย่างนี้ไม่อยู่ในหัวน้องแกหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะแกปั่นหัวตอนที่ยัยวิชไปพักอยู่กับแก ในเมื่อเห็นออกได้ชัดว่าแกไม่ชอบคุณพลังพล ”

วาทินี ถอนหายใจ โยนเสื้อลงกระเป๋าเดินทางอย่างไม่ใส่ใจ หันมายิ้มเครียดๆ

“ พ่ออยากรู้ที่วาคิด ไหมล่ะคะ? ”

“ แกพูดมา ”

“ ที่ยัยวิชหนีไปน่ะก็เพราะพ่อกับนายนั่นคิดว่าแกโง่นั่นแหละค่ะ ”

นายวาทินขมวดคิ้ว

“ หมายความว่าไง? ”

“ ก็หมายความว่ายัยวิชไม่ได้รักได้หลงนายพลังพลอย่างที่คุณพ่อหรือนายนั่นคิดนะสิคะ และรู้ดีเสียด้วยว่านายนั่นมาจีบเขาเพราะอะไร ก็เลยทำซื่อๆเซ่อๆหลงรักนายนั่นหัวปักหัวปำไปเลย แล้วมาตลบหลังเอาวันนี้ไงคะ ถ้าจะให้พูดก็คือ อย่างนายพลังพลนั่น ไม่อยู่ในสายตายัยวิชหรอกค่ะ ถึงใครจะคิดว่าแกเป็นเด็กแค่สิบแปดก็เถอะ ”

นายวาทินถึงกับอ้าปากค้าง

“ นี่แกกำลังจะบอกว่า ยัยวิชมันวางแผนเอาไว้แล้วงั้นหรือ ”

“ ก็งั้นสิคะ ” วาทินีตอบแล้วลุกขึ้น หยิบเสื้อผ้า ใส่กระเป๋า อีกครั้ง

นายวาทินขมวดคิ้ว แววตาครุ่นคิด หากเป็นอย่างที่วาทินีพูด ก็เรื่องใหญ่ล่ะ วิชชุลดาอาจจะเป็นเด็กและคิดแผลงๆ อย่างง่ายๆ ที่ได้แก้เผ็ด แต่คนอย่างพลังพลนะเหรอ จะสนุกไปด้วยกับเรื่องนี้ ตราบใดที่พลังพลยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เขาไม่หยุดแน่ แต่จะไปโทษพลังพลได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคนรับปากมั่นเหมาะกับพลังพลเอง แล้ววิชชุลดากลับมาทำอย่างนี้ ยิ่งเห็นท่าทางไม่สนใจของลูกสาวคนโตด้วยแล้ว นายวาทินยิ่งว้าวุ่นถึงกับเผลอถามซ้ำอีกว่า

“ แล้วนั่นแกจะไปไหน ”

“ อ้าว ! วาก็บอกแล้วจะกลับกรุงเทพฯ ไปทำงานของวาสิคะ จะอยู่ทำไมที่นี่ ”

“ แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ” นายวาทินเน้นเสียงเฉียบ

วาทินีหันขวับ มองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างงงๆ ความจริงเธอกับพ่อไม่ค่อยจะได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่ เจอกันทีไรเหมือนจะทะเลาะกันทุกครั้ง

“ คุณพ่อมีปัญหาอะไร? ”

“ คุณพลังพลให้พ่อมาแล้วห้าล้าน ”

“ คุณพ่อก็คืนเขาไปสิคะ? รึว่า ... ” วาทินีหน้าซีดเมื่อถามต่อ “ ใช้หนี้พนันเหรอคะ ”

นายวาทินพยักหน้า สบตาลูกสาวด้วยแววตาเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อน

วาทินีถึงกับเข่าอ่อน ทรุดนั่งที่เตียง อย่างนี้นี่เอง นายพลังพลนั่นถึงได้พูดอย่างมั่นใจนักว่า เธอต้องทำอย่างที่เขาต้องการ

“ ทำไมมันถึงได้เกิดปัญหาซ้ำซากอย่างนี้นะ ” เธอครางอย่างอ่อนใจ

“ ไม่ใช่เวลาที่แกจะมาตีโพยตีพาย มันต้องช่วยกันแก้ ยังไงก็ต้องหายัยวิชให้เจอ ”

“ ถึงตามกลับมา คุณพ่อคิดเหรอคะว่า ยัยวิชจะแต่งงานกับเขา ถ้าแกจะแต่ง ก็แต่งไปแล้ว แกไม่หนีหรอกค่ะ ยังไงยัยวิช ก็ไม่แต่งกับนายคนนี้แน่ ”

“ ไม่สำคัญ ยัยวิชมันไม่รู้เรื่องนี้ ถ้ารู้มันต้องช่วยพ่อแน่ เพราะยัยวิชรักพ่อ มีความกตัญญู ไม่เหมือนแก ”

วาทินี ปิดกระเป๋าปัง ถอนหายใจแรงอย่างเบื่อหน่าย กี่ครั้งแล้วละที่พ่อมักจะพูดให้เธอแบบนี้ ก่อนหน้านี้พ่อไม่ใช่คนติดการพนัน แต่หลังจากแม่เสียชีวิตลง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด พ่อติดเหล้าและการพนันอย่างโงหัวไม่ขึ้น อายุเธอยังไม่ถึงสิบขวบก็ยังต้องตะลอนๆ ไปกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นที่เขมร มาเก๋า และลาสเวกัส หรือประเทศต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการพนัน วาทินีเกลียดการไม่มีหลักแหล่ง ที่พักของเธอหากไม่ใช่ห้องโรงแรมหรู ก็จะเป็นห้องเช่าสกปรกแคบๆ ขึ้นอยู่กับความมือขึ้นของพ่อ แต่ก็โชคดีที่มันสิ้นสุดลงได้ เมื่อพ่อแต่งงานใหม่กับคุณวาสนา และกลับมาตั้งหลักที่เมืองไทยอีกครั้งท่ามกลางความเดียดฉันท์จากพี่น้องของคุณวาสนา แต่พ่อก็ไม่สนใจใคร เหมือนในตอนนี้แหละ ท่านไม่สนหรอกว่าเธอจะคิดยังไง

“ ตามยัยวิช ให้เจอ ไม่แต่งก็ไม่แต่ง คุณพลังพลเขาต้องการแค่ที่ดินตรงนั้น หากไม่ขาย ก็ทำสัญญาเช่ามันสักร้อยปีก็ได้ จะเป็นไรไป ตามยัยวิชเจอแล้ว ก็บอกยายกันยาของแกเรื่องนี้ด้วย ”

“ ก็ทำไมคุณพ่อ ไม่ใช้วิธีนี้เสียแต่ครั้งแรก ”

นายวาทิน จ้องหน้าลูกสาวตอบว่า

“ ฉันผิดด้วยเหรอที่ต้องการหาผัวดีๆ ให้ลูก ให้ทัดหน้าเทียมตาคนอื่นเขาน่ะ อย่างแกมันหัวแข็งอยากจะรักกับไอ้กระจอกระบิลนั่น ฉันก็ไม่ว่า แต่น้องมันต้องได้ดีกว่า ”

พ่ออกจากห้องไปแล้ว แต่วาทินียังเม้มปากแน่น เมื่อขอบตาเริ่มอุ่นเธอก็แหงนหน้า ให้น้ำตามันไหลกลับเข้าไปข้างใน เหมือนทุกครั้งที่น้อยใจในวาจาของผู้เป็นพ่อ

ความเห็นของท่านที่มีต่อเรื่องนี้ ก็คือ เธอเป็นคนโง่ ที่เฝ้ารอการกลับมาของระบิล แฟนหนุ่มที่เดินทางไปอเมริกาได้หลายปีแล้ว ระบิลไม่ใช่คนรวยแต่เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี วาทินีรู้จักเขาตอนที่ไปทำงานในบริษัทของคุณวิทวันเมื่อเรียนจบใหม่ๆ วาทินีไม่คิดว่า การที่ระบิลสนใจเธอ จะเป็นเพราะว่าเธอเป็นญาติเลี้ยงของเจ้าของบริษัท ท่าทางระบิลไม่ใช่คนแบบนั้น แต่การเตรียมตัวที่จะไปทำงานที่เมืองนอก มันต้องใช้เงิน ดังนั้นเงินที่ใช้ในการตกแต่งบัญชี เพื่อเตรียมจะขอวีซ่า จึงเป็นเงินของเธอ มันไม่ได้มากมายในสายตาของวาทินี แต่ระบิลก็สัญญาว่าจะคืนให้ ก่อนไปเขามอบแหวนให้เธอวงหนึ่ง มันเป็นแหวนพลอยธรรมดาๆ ราคาไม่กี่บาท แต่ระบิลบอกว่า

“ ไว้กลับมาผมจะเปลี่ยนเป็นแหวนเพชรให้ ”

เวลาผ่านไปเกือบจะห้าปีไปเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังเงียบ วาทินีเคยติด ต่อไป บ้าง เขาก็บอกว่าทำงานหนักมาก และกำลังจะหาทางเรียนต่ออยู่ เรื่องเงินไม่ต้องห่วงเขาใช้คืนเธอแน่ วาทินีไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน แต่เธอก็ไม่ได้เซ้าซี้ติดต่อเขาไปอีก เพราะกลัวว่าเขาคิดว่าเธอทวงเงินเขา ทั้งพ่อ และวิชชุลดา ต่างลงความเห็นว่า เธอควรจะหาแฟนใหม่ แทนที่จะมารอระบิล อยู่อย่างนี้ แต่สำหรับตัวเธอแล้ว มันง่ายที่จะรอระบิล มากกว่าจะเปิดใจ หาแฟนใหม่ ดังนั้นวิธีคิดของเธอ จึงเป็นเรื่องโง่ สำหรับคนอื่นไป โดยเฉพาะวิขชุลดา ซึ่งขวางหูขวางตามากเมื่อเอ่ยถึงระบิล

“ ผู้ชายระยำ จะเอาไงก็เอาสิ ปล่อยให้พี่วา รออยู่ได้ ”

“ พูดเพราะๆ หน่อยยัยวิช พี่พอใจรอเขาเอง ”

“ มันโมโหน่ะ ไปบ้านโน้นทีไร ชอบเยาะเย้ยพี่วา ให้วิชได้ยินประจำ ”

บ้านโน้น ก็คือบ้าน คุณกันยา พร้อมสมบัติ ผู้เป็นมารดาของคุณวาสนา เป็นครอบครัวใหญ่ ที่มักจะสังสรรค์รวมญาติกันเสมอ ทั้งพ่อและเธอก็ไปร่วมงานทุกครั้ง เพื่อเอาใจคุณวาสนา

“ วิชว่านายระบิลคงแต่งงาน ไปกับแหม่ม เพื่อเอากรีนการ์ดไปแล้วก็ได้ นี่เดือนหน้าพี่จ๋าเขาจะไปเรียนต่อที่โน่น แล้วจะสืบข่าวมาให้ ”

พี่จ๋า หรือจาริกา อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเธอเป็นลูกสาวคนโต ของคุณป้าวิทวัน เข้าขั้นศัตรูของเธอกับพ่อ เพราะคุณวิทวันจะแสดงความรังเกียจ พ่ออยู่เสมอ เพราะคุณวิทวันคิดว่า พ่อ มาปอกลอกคุณวาสนาน้องสาวของเธอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยากเหมือนกัน

“ กรรมตามทัน ลูกสาวถึงได้ถูกคนอื่นปอกลอก ”

คำพูดนี้ทำเอาพ่อโกรธถึงกับ เอาเหล้าสาดหน้าคุณวิทวัน แล้วรายการชกต่อยก็เกิดขึ้น เมื่อสามีของป้าไม่ยอมที่เมียถูกหยาม พ่อกับลุงอนันต์ มาแยกจากกันได้ก็ตอนคุณยายกันยา เอาสายฉีดน้ำพ่นใส่ แต่พ่อกับลุงหน้าเยินพอกัน

ตั้งแต่วันนั้น พ่อไม่เหยียบไปที่บ้านหลังนั้นอีก และไม่นับญาติกับญาติของภรรยาอย่างออกหน้าออกตา ความแสบสันต์ที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องร้าวฉานกันอีก ก็คือ งานศพของคุณวาสนา พ่อไม่บอกหรือเชิญญาติทางโน้นสักคน เกือบจะอลเวงยิ่งขึ้น ก็ตอนที่พินัยกรรมของคุณวาสนา ยกทุกอย่างให้พ่อ ตอนแรกป้าวิทวัน เป็นเจ้ากี้เจ้าการจะยื่นคัดค้าน แต่ถูกคุณยายกันยา ห้ามเอาไว้

พ่อขายเกือบทุกอย่าง ที่ได้มา ยกเว้นหุ้นใดๆ ก็ตาม ที่เป็นบริษัทในเครือญาติของคุณวาสนา ด้วยเหตุผลที่ว่า

“ เอาไว้กวนมันเล่นตอนประชุมผู้ถือหุ้น ”

แม้ว่า พวกญาติของคุณวาสนา จะไม่ชอบหน้าพ่อ แต่มันก็ไม่ลามไปถึง วิชชุลดา เพราะเธอยังเป็นหลานที่ทุกคนรัก เข้ากับป้าๆ ลุงๆ ได้ดี กับวาทินี แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่เป็นที่ต้อนรับสักเท่าไร แต่วาทินีก็ไม่สนใจ เพราะเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เพื่อจะรบหรือทำสงครามจิตวิทยากับใครๆ

เพราะตั้งแต่เธอออกจากงานไปเปิดห้องเสื้อกับเพื่อนๆ เธอก็แทบไม่มีเวลากลับมาบ้าน เรื่องราวจะไปถึงไหนแล้วเธอก็ไม่ค่อยจะสนใจ แต่เมื่อต้นเดือนก่อน วิชชุลดา ก็ไปหาเธอที่ร้าน บอกจะแต่งงาน ให้เธอช่วยออกแบบชุดแต่งงานให้ด้วย ท่าทางวิชชุลดาก็มีความสุข สนุกดี อยู่พักเล่นกับเธอเป็นอาทิตย์ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงว่าที่เจ้าบ่าวสักนิด นอกจาก บอกเธอว่า ชื่อพลังพล เบ็ญจรงค์

เพราะเธอทำงานอยู่ในห้องเสื้อ ที่เป็นที่นิยมไม่น้อย ดังนั้นเรื่องราวซุบซิบเกี่ยวกับคน ตระกูลเบ็ญจรงค์ ที่ขึ้นชื่อได้ว่าร่ำรวย ย่อมเป็นสิ่งที่มีคนพูดเข้าหูเหมือนกัน แต่ที่ตกเป็นข่าวให้ได้ยินบ่อยก็เห็นจะเป็นชื่อมณีกานต์ เบ็ญจรงค์ และพงษ์พันธ์ เบ็ญจรงค์เท่านั้น คนแรกเป็นประธานหรือไม่ก็กรรมการในการจัดงานกุศลหลายงาน ส่วนคนหลังชื่อหอมในวงสังคมเพราะเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เคยลงนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ส่วนพลังพล เบ็ญจรงค์ แม้จะไม่ได้ยินการพูดถึงนัก แต่ก็ได้เคยได้เรื่องซุบซิบเหมือนกันว่า เขาเคยเป็นทหารแต่ออกจากราชการเพราะพัวพันเรื่องยาเสพติดสักอย่าง และที่สำคัญเป็นคนอารมณ์ร้าย เลี้ยงนักเลง และเจ้าชู้มาก วาทินีไม่เคยสนใจ และไม่คิดจะตัดสินคนแค่ได้ยินเรื่องซุบซิบ แต่เมื่อวิชชุลดาบอกว่าจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ มันช่วยไม่ได้ ที่เธอจะเล่าในสิ่งที่เธอได้ยินมาให้น้องสาวฟัง แต่วิชชุลดา หัวเราะคิก

“ วิชก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่กับวิชก็ไม่แย่อย่างที่ได้ยินหรอกค่ะ ”

“ อาจจะรักวิชจริงๆละมัง ”

คราวนี้น้องสาวไม่ตอบแต่ก็ชอบใจถึงกับหัวเราะกลิ้งไปเลย ตอนนั้นเธอเชื่อว่า วิชชุลดา รักผู้ชายคนนี้จริงๆ

วิชชุลดาเคยนัดเธอและพลังพล เพื่อกินข้าวเย็นร่วมกันครั้งหนึ่ง แม้วาทินีจะคิดว่าไม่จำเป็น แต่ก็อยากเอาใจน้องสาว เพราะคิดว่าคงอยากอวดให้เธอรู้จักแฟนตัวเอง แต่เอาเข้าจริง วันนั้นเขาปล่อยให้เธอและน้องสาวรอเก้อ และไม่โทรบอกเลยว่า ทำไมถึงมาตามนัดไม่ได้ วาทินีไม่พอใจ เพราะเธอเองก็ต้องบอกเลิกนัดลูกค้าเพื่อมานัดครั้งนี้เหมือนกัน

“ ทุเรศจัง ผู้ชายอะไรปล่อยให้ผู้หญิงรออยู่ได้ ไม่รู้จักโทรมาบอก ”

“ นั่นสิ ผู้ชายอะไร? ปล่อยให้พี่วารอเป็นปีๆ แล้ว ”

“ เอะ อย่าลาม ฉันหมายถึงว่าที่สามีเธอนะ ”

“ เออน่า ... ไม่ต้องโมโหหรอกพี่วา คนนี้ของวิช วิชจะสั่งสอนเอง ” คำพูดและท่าทางวิชชุลดา กร่างเสียจน เธออดจะขำไม่ได้ สองพี่น้องกินข้าวคุยกันอย่างสนุกเหมือนไม่มีอะไร แล้วคืนนั้นวิชชุลดาก็ถามเธอว่า

“ นายระบิล ติดต่อมาบ้างหรือเปล่า? ”

“ เปล่า? ”

“ วิช หาแฟนใหม่ให้เอาไหม? ”

“ อย่ายุ่งกับพี่เลย งานแต่งเราพ่อเชิญทางโน้นเหรอเปล่า ”

วิชชุลดายักไหล่

“ ไม่รู้สิ วิชปล่อยให้พ่อจัดการ ”

“ ถามจริงๆ รักเขาเหรอ ถึงได้แต่ง ”

“ ผู้ชายอย่างคุณพลังพล เบ็ญจรงค์ หาไม่ได้ง่ายนะพี่วา ” วิชชุลดา ตอบแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะพูดต่อว่า

“ ยกให้เอาไหม? ”

“ ไปไกลๆ เลย ของฉันมีอยู่แล้ว ”

“ ชักสงสัยแล้วสิ ที่บอกว่าจะรอนายระบิลนี่ เป็นพี่วาหาข้ออ้างไม่ยอมให้พ่อหาผัวให้หรือเปล่า ”

“ ฟังพูดเข้า ยังกับพ่อจะบังคับเราได้ ”

“ พ่อไม่บังคับหรอกที่วา แต่ก็น่าจะรู้ พ่อเกลี้ยกล่อมเก่ง มีวิธีพูดให้เรายอมตามเท่านั้นเอง ”

“ พูดงี้หมายความว่า วิชไม่อยากแต่งเหรอ? ”

วิชชุลดา ยิ้มร่า ส่ายหัว

“ เปล่า อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ ด้วยซ้ำ ”

ท่าทางวิชชุลดา เหมือนจะหมายมั่นอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ถ้าหากเธอจะเอาใจใส่สักนิด เรื่องในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น

วิชชุลดา แม้จะเด็ก แต่ก็แสบพอตัว ป่านนี้คงนอนกลิ้งหัวเราะชอบใจ ที่ฉีกหน้า พลังพล เบ็ญจรงค์ได้

แต่ วิชชุลดา ก็คงลืมคิดไปมังว่า คนอย่าง พลังพล เบ็ญจรงค์ หรือจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ

แล้วเรื่องมันก็ดันมาอลวนเอากับเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างนี้.

เอะ ... หรือว่า วิชชุลดา ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว

- - - - - - -

พลังพลนั่งดื่มแต่เช้า ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปด้านนอก ห้องนี้เป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงแรม มันอยู่ตรงมุมที่สามารถมองเห็นทั้งภูเขา และชายหาด ถ้านั่งอยู่ที่นี่ก็จะเห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาอย่างสวยงาม เขาเคยมาพักที่นี่หลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจจองไว้เอาไว้เพื่อจะใช้เป็นห้องหอในงานแต่ง เขาตั้งใจจะพักอยู่สักสองวัน ก่อนจะกลับไปที่เกาะน้ำใส แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เขาก็ไม่คิดจะคืนห้องแต่อย่างใด เขายังกลับมาพักที่นี่ตามโปรแกรมเดิม เขาไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแน่ใจว่ายังไงๆ เขาต้องตามเจ้าสาวหายไปเจอ และเขาต้องได้เป็นเจ้าของผืนดินตรงนั้น ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปได้ และเมื่อคืนเขาก็ตรวจดูพิมพ์เขียวงานก่อสร้างที่เขาวางแผนงานเอาไว้อยู่เสียดึก

ความจริงเขาไม่ควรจะตื่นเช้าอย่างนี้ แต่คุณมณีกานต์ผู้เป็นมารดาเลี้ยงโทรมาปลุก เขาไม่อยากโทษที่ท่านโทรมาตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ เกือบทุกฉบับไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านสายตาคุณมณีกานต์ไปได้อย่างง่ายๆ

คุณมณีกานต์แปลกใจที่เกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่ได้ถามไถ่เรื่องราวอะไร เพียงแต่บอกว่า

“ ถ้าหาเมียเองไม่ได้ ฉันจะหาให้ ”

เขาไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคุณมณีกานต์ แต่รู้ดีว่า คุณมณีกานต์มีวิธีตอแยเขาได้อย่างสะใจมาก อยู่ๆ เธออาจอยากจะมาพักอยู่กับเขาสักสองสามเดือน นั่นก็เป็นนรกสำหรับเขาแล้ว เขาไม่รู้ว่าคุณมณีกานต์ไปได้ความคิดมาจากไหนที่ว่า เขาจะมีความสุขเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ หากมีเมียซะ และความคิดนี้มันก็เผื่อแผ่ไปถึงพี่ชายและน้องชายของเขาด้วย คุณมณีกานต์จึงเป็นบุคคลที่พวกเขาพี่น้องพยายามหลีกเลี่ยงที่สุด

แล้วมันก็ตามมาด้วยโทรศัพท์อันน่ากวนโมโหของพงษ์พันธ์ น้องชายคนนี้ของเขา มีวาจายั่วแหย่อย่างที่อยู่ใกล้คงโดนเขากระทืบแน่ แต่พงษ์พันธ์ก็เป็นคนจัดการทุกอย่างในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ ฉลาดและเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เรียกได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัว แต่พวกเขาทั้งหมดชอบล้อเลียนว่า พงษ์พันธ์คือแกะดำในครอบครัว

“ แล้วผมจะบอกพี่เพลิง ให้ช่วยตามหาเจ้าสาวล่องหนของพี่พลให้ ”

พลังพลเองก็วาดภาพได้ว่า พันเพลิง พี่ชายคนโตจะหัวเราะก้องพออกพอใจแค่ไหน ที่เขาหน้าแตกเสียอย่างนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพายุ และระรินดาว น้องชายกับน้องสาวอีกสองคนของเขา โชคดีที่ พสุธา พี่ชายอีกคนของเขาไม่อยู่เมืองไทย

สรุป ก็คือ เขาอายกับการเสียหน้ากับคนในครอบครัวเสียมากการที่ได้เห็นข่าวของตัวเองลงหราอยู่ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ที่สั่งให้ลูกน้องซื้อขึ้นมาให้อ่าน

ยัยเด็กวิชชุลดา ทำเขาแสบสันต์จริงๆ

ยัยพี่สาวก็ยังมาหาญกล้า ท้าทายเขาต่อหน้าคนอื่นๆ
“ เป็นเงินเท่าไหร่ จะชดใช้ให้ ”

ให้ตายเถอะ ! ต่อให้เอาพวกหล่อนสองพี่น้องมารวมกัน ก็ยังชดใช้อารมณ์หงุดหงิดของเขาตอนนี้ไม่ได้เลย

แล้วณรงค์ศักดิ์ ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามเขาอยู่ตั้งแต่ตอนเป็นทหารก็เปิดประตูเลื่อนเข้ามา บอกว่า

“ คุณวาทินี มาครับเจ้านาย ”

พลังพลแค่พยักหน้า ไม่ได้ขยับตัว เขา็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นร่างในชุดเสื้อยืดสีเขียวคอปก กับกางเกงยีนส์รัดรูป ให้ตายสิอารมณ์ยิ่งหงุดหงิดอยู่ด้วย ทำไมต้องมาใส่เสื้อเขียวให้เขาเห็นนะ แต่ท่าทางวาทินี ไม่เก้อเขินแต่อย่างใด เมื่อเดินตรงมาที่เขา

วาทีนี มาที่นี่เพราะพ่อบอกว่าเขาพักที่นี่ ตอนเธอเคาะประตู คนเปิดรับเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเขา แต่นายคนนั้นไม่ได้ให้เธอเข้าไปในทันที เหมือนเขาจะเข้าไปรายงานให้พลังพลรู้เสียก่อน มันทำให้วาทินีรู้สึกรังเกียจนิดๆ เธอไม่ชอบคนที่ไปไหนมาไหนโดยมีผู้คุ้มกัน ในความเห็นของเธอ คนที่จะมีบอดี้การ์ดประจำตัวได้ ก็น่าจะเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ หรือไม่ก็มหาเศรษฐีที่ป้องกันตัวเองจากการถูกลักพา หรือพวกดาราใหญ่ๆ และก็พวกอันธพาล ที่มักจะไปไหนแบบเป็นฝูง เธอเห็นพลังพล อยู่ในรายการหลังนี้มากกว่า

วาทินีเดินเข้าไป เมื่อลูกน้องเขามาเปิดประตูให้ พร้อมกับนำทางเธอไปยัง มุมระเบียงห้อง พลังพลนั่งอยู่ที่นั่น ด้วยท่าทางสบายๆ เขาไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับเธอ แต่มองมาเมื่อเธอกำลังจะเดินไปหา

พลังพลมองหน้าใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวที่เดินเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ พี่สาวของวิชชุลดาดูสวยสะอาดตาและ อ่อนเยาว์กว่าตอนแต่งหน้าเข้มอย่างที่เห็นเมื่อวาน เขาคาดว่า อายุเธอไม่น่าจะเกินยี่สิบห้ายี่สิบหก แต่คำพูดและท่าทางเอาไปเลยสามสิบ

เขาควรจะเอ่ยปากว่าเชิญนั่ง แต่วาทินีเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า

“ ดิฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ”

“ ก็คงงั้น ไม่งั้นจะมาหาผมทำไม นั่งสิ ”

วาทินี นั่งลงที่เก้าอี้ซ้ายมือเขา สายตามองแก้วเหล้าในมือเขาอย่างหมิ่นๆ

นี่ยังไม่แปดโมงเลย นายนี่ก็เอาแล้ว

“ ดื่มอะไรก่อนไหม? ” เขาชวน พยามยามจะไม่อารมณ์เสียกับสายตาประเมินหมิ่นๆ ที่กวาดมาโดยไม่ได้ตั้งใจของเธอ

“ ไม่ ดิฉันมาคุยเรื่องเงินห้าล้านที่คุณพ่อเอามาจากคุณ ”

“ ผมไม่คุยเรื่องนี้ ”

“ ดิฉันจะใช้คืนให้ ”

พลังพลมองหน้าเธอ ด้วยสายตาเรียบเฉย

“ นั่นเป็นเรื่องของผมกับพ่อคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณ ”

คำพูดของเขา ทำให้วาทินีเชิดหน้า

“ เรื่องของคุณพ่อก็ต้องเป็นเรื่องของดิฉันอยู่แล้ว และที่สำคัญเมื่อยัยวิชไม่ต้องการแต่งงานกับคุณ ก็ควรจะจบเรื่องไปซะ ”

พลังพลถอนใจนิดๆ ไม่รู้สิ เขาไม่อยากจะยุ่งกับเธอนักหรอก แค่เห็นเธอใส่สีเขียว เขาก็รู้สึกปวดหัวแล้ว แต่เมื่อเธอจะเอาอย่างนี้ ก็ตามใจ

“ คิดจะคืนเงินผมเมื่อไหร่? ”

วาทินีอึ้งไปนิด ก่อนจะตอบว่า

“ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันขอเวลาอีกหนึ่งเดือน ”

“ ได้ ”

พลังพลตอบง่ายๆ เสียจนเธองง เมื่อลูกน้องของเขาเอาแก้วน้ำมาเสริฟ วาทินีจึงถือโอกาสพูดอย่างกำกวมไปเลยว่า

“ ขอบคุณ ”

รอยยิ้มรู้ทันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพลังพลเมื่อได้ยินคำนี้ ท่าทางเธอไม่ชอบหน้าเขา แม้จะพูดคำว่าขอบคุณออกมา ก็ยังยาก เขาปล่อยให้เธอยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะพูดว่า

“ อย่าหาว่าผมซอกแซกเลยนะ คุณจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้ผม ”

การที่พลังพลรับปากเอาง่ายๆ ทำให้วาทินีคลายความเครียด และมองเขาในแง่ดีขึ้น น้ำเสียงของเธอใสเป็นกันเองเมื่อบอกอย่างเปิดเผยว่า

“ ดิฉันตั้งใจจะขายที่ประมาณสิบไร่ ที่ชายทะเล ” เธอบอกชื่อสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่ง พลังพลมีสีหน้าสนใจ เขายิ้มนิดๆ เมื่อถามว่า

“ ที่สวยไหม? ”

“ สวย แต่ดิฉันไม่ได้ไปนานแล้ว ”

“ ไว้ว่างเราไปดูด้วยกัน ถ้าสวยจริงผมอาจจะซื้อเอาไว้เสียเอง ”

วาทินีมองหน้าเขา อย่างประเมินว่าเขาพูดจริงหรือเล่น

“ ดิฉันจะกลับกรุงเทพฯเย็นนี้ แต่ถ้าคุณอยากดูที่ เลื่อนไปอีกวันสองวันก็ได้ ”

ชายหนุ่มสั่นหน้า

“ เรื่องที่ไว้ทีหลังได้ ว่าแต่คุณจะเริ่มช่วยผมหาน้องสาวคุณวันนี้เลยหรือเปล่า เริ่มเร็วหน่อยก็ดี เพราะเดือนหน้าผมต้องไปต่างประเทศ อาจจะพาน้องสาวคุณไปฮันนีมูนด้วยเลย ”

คราวนี้วาทินีถึงกับจ้องเขาเขม็ง ที่เธอพูดมา นายนี่ ไม่ได้ฟัง เลยหรือยังไง

“ นี่คุณไม่เข้าใจที่ฉันพูดมาทั้งหมดเหรอ ” เสียงเธอห้วนจัด

“ เข้าใจสิ คุณต้องการใช้หนี้แทนพ่อคุณ แต่ขอเวลาหนึ่งเดือน โดยจะขายที่ริมทะเล ผมก็สนใจอาจจะซื้อเอาไว้ ก็แค่นี้ เรื่องไม่ได้ซับซ้อน เราจบเรื่องนั้นไปแล้ว ”

“ ฉันหมายถึงยุติเรื่องการแต่งงานกับยัยวิชด้วย ” เธอเน้นเสียง

พลังพลยักไหล่

“ จะมายุติเพราะคำพูดง่ายๆ ของคุณนี่เรอะ? ”

“ ฉันคิดว่าการที่ยัยวิชหนีไป ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าน้องสาวฉันไม่ได้รักคุณ ไม่ต้องการแต่งงานกับคุณ ”

“ จะรักหรือไม่รัก ผมไม่สนแล้วตอนนี้ ”

วาทินี มองเขาด้วยสายตาหมิ่นๆ อย่างเปิดเผย

“ ความจริงคุณไม่สนมันตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อเป้าหมายของคุณอยู่ที่ดินของ ยัยวิชเท่านั้น ”

น้ำเสียงเหยียดๆ ของเธอ ไม่ทำให้สีหน้าของพลังพลเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

“ เรื่องที่ดินนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คุณจะมารู้อะไร ในเรื่องความรู้สึกของผมที่มีต่อน้องสาวคุณ ”

“ ฉันยอมรับว่าไม่รู้สิ่งที่คุณรู้สึกหรอก แต่รู้ว่าน้องสาวฉันก็ไม่ใช่เด็กโง่จนไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับแก ”

พลังพลนิ่งมองเธออยู่ชั่วครู่

“ หากน้องสาวคุณรู้ ก็แสดงว่าน้องสาวคุณต้องการจะฉีกหน้าผม วางแผนเอาไว้เลยใช่ไหม? ” น้ำเสียงและสายตาของเขา ทำให้วาทินี ถึงกับหนาว แล้วหนังสือพิมพ์ปึกหนึ่งก็เลื่อนมาที่หน้าเธอ วาทินีไม่แม้แต่จะเหลือบตาดู ทั้งนี้เพราะเธอเจอมันตั้งแต่ก่อนจะมาที่นี่แล้ว

“ รู้สึกว่าน้องสาวของคุณจะหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้วสิ เห็นผมเป็นคนยังไง? ”

“ อย่ามาโทษยัยวิชคนเดียว ” วาทินีอดเถียงไม่ได้

“ ใช่ ” เขาพยักหน้า “ไม่ใช่แค่น้องสาวคุณคนเดียว พ่อคุณด้วย รวมหัวกันหลอกผม ”

“ ฉันหมายถึงคุณ ไม่ใช่คุณพ่อ หากคุณไม่คิดว่าแกเป็นเด็กๆ โง่ๆ หลงรักคุณได้อย่างหัวปักหัวปำแล้วละก็ ยัยวิชไม่ทำแบบนี้หรอก คุณควรจะโทษตัวเองเสียบ้างที่พลาดเพราะหลงตัวเอง คิดว่ายัยวิชจะรักเพราะหน้าหล่อๆ ของคุณน่ะ ”

“ แล้วไง ถึงผมจะหลงตัวเอง ผมก็ไม่เคยโกหกว่ารักน้องสาวคุณ ผมตรงไปตรงมาตอนขอแต่งงานกับเธอด้วยตัวเอง หาก น้องคุณ ไม่รักผมหรือคิดว่าผมไม่รัก หรืออยากแต่งงานด้วยความรักบ้าบอนั่น ทำไมไม่ปฏิเสธผม ตอบตกลงกับผมทำไม ”

วาทินี อึ้ง เมื่อเจอเขาย้อนมาอย่างนี้ หากจะคิดอย่างยุติธรรม พลังพล ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาก็ตรงไปตรงมาอย่างที่พ่อเคยพูดกับเธอ ความผิดที่คิดว่าเขาแต่งงานทั้งที่ไม่ได้รักน้องสาวเธอ ก็มีข้อแก้ตัวให้เขาอย่างสวยงามเสียด้วยสิ

ถ้ารู้ว่าไม่รัก แล้วดัน ตกลงแต่งงงานกับเขาทำไม วาทินีเถียงไม่ออกในเรื่องนี้

“ ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณในเรื่องนี้ หน้าที่คุณแค่ ช่วยผมหาน้องสาวคุณให้เจอก็แล้วกัน ”

เขาสรุปเอาอย่างง่ายๆ และวางอำนาจ นั่นทำให้วาทินี ไม่พอใจ

“ คุณนี่ท่าจะบ้า เอาแต่ใจตัวเองนะ ถึงจะเจอยัยวิช คุณก็ไม่มีวัน บังคับให้แกแต่งงานกับคุณได้หรอก ”

“ พนันกันไหม หาน้องสาวคุณให้เจอ แล้วมาดูว่าผมจะทำได้ไหม? ” เขาท้า

แต่วาทินีส่ายหน้า ลุกขึ้น

“ ฉันเกลียดการพนันทุกชนิด และไม่มีวันช่วยคุณหาตัวยัยวิชเพื่อให้คุณคุกคามแกหรอก ”

พลังพลฉวยข้อมือของเธอเอาไว้ก่อนที่วาทินีจะเดินไป หญิงสาวหันมามองอย่างไม่พอใจ แต่เธอไม่คิดจะเห็นรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์บนใบหน้าที่ยังเขียวคล้ำไปด้วยรอยเคราที่ยังไม่ผ่านการโกน มันทำให้หน้าเขาคมเข้มขึ้น อะไรก็ไม่ร้ายเท่ามืออีกข้างของเขามันไล้ที่หลังมือเธอเบาๆ ยามสบสายตาเธอ เมื่อเอ่ยเนิบนุ่มว่า

“ ความจริงผมว่า ผมใจดีกับคุณแล้วนะวาทินี ผมกันคุณออกจากเรื่องงี่เง่านี้ เพราะคิดว่าคุณไม่เกี่ยวและไม่เคยเห็นคุณมาก่อน แต่ถ้าหากคุณตั้งแง่ ไม่อยากช่วยผม เรื่องทุกอย่างจะไปจบลงที่คุณ ”

พลังพลยังนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ เงียบๆ เหมือนตอนแรกที่เห็น มือคล้ำแข็งแรงยังจับที่ข้อมือเธออย่างมั่นคง แต่วาทินีไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน เมื่อจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา มันทำให้เธอทั้งร้อนและหนาวพร้อมกัน หัวใจเธอเต้นแรงจนกลัวเขาจะได้ยิน เมื่อย้อนอย่าง ยากเย็นว่า

“ หมายความว่าไง? ”

“ ผมจะแต่งงานกับคุณ ”

 

  :+:+:+:+:+:


โดย หนึ่งลิปดา


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย หนึ่งลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก

 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.