forwriter.com
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


องครักษ์พิทักษ์หัวใจ

โดย หนึ่งลิปดา
๑๐
๑๑
๑๒

คุยเรื่องนวนิยายช
ุด ตระกูลเบ็ญจรงค์


 

 

“เจ้าพี่ล่ะ เอลยา”

“ในห้องทรงงานเพคะ ตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้ออกมาเสวยอะไรเลย รับสั่งแต่ให้จัดพระสุธารสเข้าไปถวายเท่านั้น”

“เดี๋ยวจะไปเตือน”

พระบาทซอยถี่ไปยังห้องที่จัดเอาไว้ทรงงานโดยเฉพาะ โดยที่พระพี่เลี้ยงยังไม่ได้บอกเลยว่า เจ้าชายมิได้ประทับอยู่พระองค์เดียว ดังนั้นเมื่อทรงเปิดประตูผางเข้าไป บุรุษสองคนในห้องถึงกับเหลียวมาทางเดียวกัน

“อุ๊ย”

เจ้าหญิงทรงอุทานอย่างแปลกพระทัยแต่หาได้วิตกแต่อย่างใดกับการเข้ามาขัดจังหวะ เพราะพระพักตร์ยังทรงแย้มระรื่นอยู่เช่นเดิม แม้จะสบเนตรขรึมของเจ้าชายราเมซ ที่ทรงพยักพระพักตร์ให้

“เข้ามาสิ”

ร่างระหงดำเนินเข้ามา บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้น ถวายความเคารพ พลอยทำให้อีกคนต้องลุกตาม เจ้าหญิงกวาดสายพระเนตรอย่างรวดเร็ว ไปยังบุรุษทั้งสองตรงหน้า หนึ่งนั้นรู้จักเป็นอย่างดี ดังนั้นสุรเสียงจึงกังวานใสอย่างร่าเริง เมื่อเลิกขนงแย้มสรวลทักทายว่า

“กิอัน มาเมื่อไหร่ เจ้าพี่เรียกตัวเหรอ”

“กระหม่อมมาถึงเช้านี้ นี่พันตำรวจตรีพันเพลิง เบ็ญจรงค์ พะย่ะค่ะ”

เจ้าหญิงราดิยัน ยื่นหัตถ์ให้อย่างไม่ถือองค์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ค้อมคำนับก่อนจะสัมผัส  ทรงขมวดขนงแล้วคลายออกเมื่อ ทอดเนตรชายหนุ่มหน้าขรึม หากแววตาที่มองกลับมานั้นอ่อนโยนเป็นมิตร  ใบหน้านี้ออกจะคุ้นทีเดียว เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ หรือว่าใบหน้าของคนที่นี่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ตอนท้ายทรงถามองค์เองอย่างมีอารมณ์ขัน ตรัสถามอย่างล้อเลียนว่า

“ผู้คุมคนใหม่ของฉันเหรอ”

“ไม่ใช่ พะย่ะค่ะ” พันเอกกิดันตอบ

“ว้า! เสียดายจัง กำลังอยากได้คนที่นี่มาช่วยนำทางอยู่เชียว”

“ทำไมกลับเร็ว?”

เจ้าชายราเมซตรัสถามเสียงขรึม เจ้าหญิงจึงละสายตาจากนายพันตำรวจตรีหนุ่ม ริมโอษฐ์แย้มเยือนเมื่อตอบว่า

“ไปไม่ถึงต่างหาก รถเสีย”

“ทำไม ไม่โทรมา แล้วกลับยังไง?”

“รถสองแถว” ตอบพลางแย้มพระสรวลอย่างพึงพอใจ เหมือนเด็กที่ผ่านการผจญภัยมาหยกๆ

คำตอบของพระขนิษฐาทำให้เจ้าชายถึงกับถอนพระทัยยาว พยักหน้าให้กิอัน ราวจะบอกว่า เห็นไหมล่ะ? จะมีเพียงพันเพลิงเท่านั้นที่ยิ้มน้อยๆ ทั้งๆ ที่นึกในใจว่า ก็สวยสง่าร่าเริงเป็นกันเองดี ทำไมนายพายุ ถึงได้บอกว่าหยิ่งนักล่ะ

 “เจ้าพี่จะทรงงานอีกนานไหม หิวแล้ว”

ประโยคนี้ทำเอาเจ้าชายถึงกับขมวดขนง แต่เจ้าหญิง เบิกเนตรกลมโต ราวกับไม่รู้ว่าทรงถามเหมือนไร้มารยาท สุรเสียงยังแจ้วเฉยแก้ต่างพระองค์ว่า

“ก็มีแต่คนกันเอง จริงไหมกิอัน ผู้พัน” ตอนท้ายยังหันมาหาเสียงสนับสนุนเสียอีก

“อีกยี่สิบนาทีจะออกไป” เจ้าชายตอบราวอ่อนพระทัยเต็มที

เจ้าหญิงราดิยัน แย้มพระสรวลอีกครั้ง  “งั้นหญิงจะไปบอกให้เอลยาเตรียมตั้งโต๊ะ กิอัน ผู้พัน อยู่ทานข้าวด้วยกันนะ”

รับสั่งเพียงแค่นี้ ก็หันพระวรกาย ดำเนินออกไปอย่างร่าเริง
เจ้าชายราเมซ เบนสายพระเนตรมายังผู้ร่วมสนทนาเมื่อครู่

“’งานนี้เห็นจะต้องรบกวนคุณเป็นพิเศษ”

“กระหม่อมยินดีที่ได้ถวายการรับใช้พะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงหนักแน่น จริงใจของบุรุษตรงหน้า ทำให้เจ้าชายราเมซ ทรงคลายพระทัย เมื่อแรกที่ กิอัน นำนายตำรวจไทยผู้นี้เข้าเฝ้า ยังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องถวายรายงานความก้าวหน้าเรื่องการลอบปลงพระชนม์ แต่ข้อมูลใหม่ทำให้พระองค์ทรงวิตก หนึ่งในมือสังหารอาจจะปะปนในพวกราชองครักษ์ที่ถวายงานมาเป็นสิบปี หากไม่เป็นเพราะกิอันนำมาทูลด้วยตัวเอง เรื่องนี้พระองค์ต้องไม่เชื่อแน่ 

เจ้าชายถอนพระทัยยาวเมื่อชำเลืองไปทางพันเอกกิดัน เรื่องที่ซานตาบลังกาก็กำลังร้อน เพราะที่พันเอกกิดันบินด่วนมามิใช่เพียงเรื่องลอบปลงพระชนม์เท่านั้น ยังมีข่าวลับมาถวายรายงานความคืบหน้าของทางซานตาบลังคาที่ร้ายแรงยิ่งนัก กองทัพกำลังแตกแยกเป็นสองฝ่าย  เรื่องการยึดราชบัลลังถ์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ข่าวว่ากองกำลังถูกสับเปลี่ยน แม้แต่กองทหารราชวัลลภ ก็ยังจะมีคนของอีกฝ่ายเข้าแทรกซึม  พระองค์ต้องการเสด็จกลับ  แต่การจะทิ้งพระขนิษฐา เอาไว้องค์เดียวก็ทรงห่วง จะกลับไปด้วยกันเหตุการณ์ที่โน่นก็ยังไม่แน่ชัด

อยู่ที่ซานตาบลังกา ก็แทบจะหาคนไว้วางพระทัยไม่ได้  แล้วยังมาเกิดเรื่องที่นี่อีก ตอนแรก คิดว่าจะเปลี่ยนพวกราชองครักษ์ แต่เมื่อปรึกษากันเมื่อครู่แล้ว การมีคนร้ายอยู่ด้วย หากจับได้ อย่างน้อยก็จะได้เบาะแส เป้าหมายคงไม่ใช่เจ้าหญิงราดิยันอยู่แล้ว ความปลอดภัยก็คงจะมีอยู่ระดับหนึ่ง แต่จะหาคนที่ไว้ใจได้ และมีฝีมือ คอยอารักขาน้องหญิงที่ไหน ไม่เพียงต้องถวายความปลอดภัย แต่ยังต้องสืบหาผู้เป็นไส้ศึก อีกด้วยแต่จะเอาใครดีล่ะ? ถึงจะไม่เป็นที่สงสัย ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น

“ฉันจะเอาเรย์ และกลับไปด้วย เพื่อให้ผู้พันเอาคนมาเสริมจะได้ไม่เป็นที่สงสัย” เจ้าชายหันพระพักตร์ มาที่พันเพลิงตรัสต่อว่า

“ฉันอยากให้ผู้พันช่วยสอบถามผู้ชายที่ช่วยชีวิตฉันและน้องเอาไว้ว่าอยากมาทำงานกับฉันไหม ฉันต้องการคนมาดูแลน้องหญิงอย่างใกล้ชิด”

พันเพลิงยังไม่ตอบ พันเอกกิดันก็แย้งอย่างเคร่งขรึมว่า

“แต่กระหม่อมคิดว่าน่าจะใช้คนที่มีทักษะพอควรในการมาอารักขาเจ้าหญิง”

เจ้าชายแย้มพระสรวลนิดๆ ตรัสว่า

“จากวิธีการที่เขาช่วยชีวิตฉันกับน้อง ฉันคิดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาหรอก อีกอย่างฉันรู้มาว่าเขากำลังหางานทำอยู่”

พันเพลิงถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินประโยคนี้จากเจ้าชาย นึกนับถือขึ้นมาในใจเหมือนกันว่าช่างพระเนตรแหลมคม

“แต่ยังไงกระหม่อมคิดว่า ควรจะสืบประวัติเขาเสียก่อน” พันเอกกิอันเสนออย่างรอบคอบ แล้วก็มองพันเพลิงอย่างเกรงใจ เหมือนบอกใบ้ว่าภาระนี้คงต้องตกเป็นของพันเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย

เจ้าชายราเมซ แย้มสรวลอีกครั้ง เมื่อตรัสอย่างไม่จริงจังนักว่า

“ความจริงเรื่องประวัติฉันไม่สนนะ แต่จากสายตาที่มอง แม้เขาจะดูกร้าวไปนิด แต่เป็นคนตรงไปตรงมาและ ฉันมั่นใจว่านายคนนี้ยอมตายแทนน้องหญิงได้ทีเดียว”

พันเพลิงถึงกับเผลอจ้องเจ้าชายอย่างแปลกใจ ขนาดเขาเป็นพี่ชายของพายุ เขาจะยังแค่สงสัย แต่เจ้าชายนี่ถึงกับตรัสออกมาว่ามั่นใจ  ชายหนุ่มถึงกับนึกขำในใจว่า พายุมันไปทำยังไงหว่า ถึงทำให้เห็นได้ง่ายและมั่นพระทัยถึงอย่างนั้น  อดไม่ได้ที่จะทูลว่า

“เรื่องประวัติกระหม่อมคิดว่าไม่น่าวิตก แต่เจ้าตัวจะยอมทำหรือเปล่ากระหม่อมไม่แน่ใจ และด้วยกิริยามารยาทจากที่ได้ฟังมา กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เป็นที่พอพระทัยของเจ้าหญิง”

เจ้าชายทรงขมวดขนงเล็กน้อย มองพันเพลิงอย่างพิจารณา แล้วโอษฐ์สีเลือดฝาดราวอิสตรีก็แย้มเล็กน้อย

“เราไม่สนใจเรื่องนั้น น้องหญิงก็ไม่ใช่คนมีพิธีรีตอง ติดจะก๋ากั๋นเกินคำว่ากุลสตรีเสียด้วยซ้ำ  แต่ทำไมผู้พันถึงคิดว่าเขาจะไม่ทำ”

“อา ...ตามที่กระหม่อมสอบถาม เขาบอกว่ามาเที่ยวพักร้อนเท่านั้น” พันเพลิงแย้งด้วยน้ำเสียงไม่เต็มคำนัก เมื่อสบพระเนตรฉายแววเฉลียวฉลาดนั้น

เจ้าชายราเมซทอดเนตรท่าทีอีกฝ่ายด้วยแววคมกริบ ดูเหมือนนายตำรวจไทยผู้นี้จะไม่อยากเอ่ยถึงบุรุษนิรนามที่ช่วยพระองค์สักเท่าไร ทั้งๆที่ข้อมูลที่เขาเอามารายงาน ก็เปิดเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังว่า มาจากบุรุษผู้นั้น ทรงแย้มสรวลตรัสอย่างมีอารมณ์ขันเล็กน้อยว่า

“ฉันอยากให้ผู้พันเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง เพราะถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรายงานให้ฉันรู้ได้เลยว่าเขาเป็นใคร แม้แต่ชื่อก็เหมือนถูกปิดบังเอาไว้ น้องหญิงที่ไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ ยังต้องเรียกเขาว่า มิสเตอร์โนเนม อยู่เลย”

แม้จะตรัสเหมือนมีพระอารมณ์ขัน แต่เมื่อพันเพลิงสบพระเนตรเจ้าชายราเมซ ก็รู้ว่าทรงต้องการรู้เรื่องนี้จริงๆ  การเมืองของซานตาบังกา ค่อนข้างจะสับสนวุ่นวาย เสียจนเขายังไม่ทันได้ตัดสินใจหรือปรึกษาหารือกับใคร และเขามาที่นี่อย่างไม่เป็นทางการนัก มันเป็นความสนิทชิดชอบส่วนตัวระหว่างเขากับผู้พันกิดัน เท่านั้นเอง เขาอยากให้เรื่องนี้เป็นการช่วยเหลืออย่างเป็นส่วนตัวเสียมากกว่า เพราะมันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่มีปัญหา หากการเปลี่ยนแปลงในซานตาบังกา จะไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับที่เขาเลือกฝ่าย

“หากไม่ใช่ความลับของทางการ ผู้พันบอกได้ไหมเขาเป็นใคร?”

เมื่อรับสั่งถามตรงๆ อย่างนี้ พันเพลิงจึงตอบว่า

“กระหม่อมทราบเพียงว่า เขาชื่อพายุ พะย่ะค่ะ”

 

 

พายุ นอนลืมตาโพลง อยู่บนเตียง หากมีใครมาเล่นทายคำถามกับเขาว่า ที่เพดานมีดอกไม้สีฟ้ากี่ดอก มีหวังเขาได้เงินเดิมพันแน่ เพราะจากการที่ถูกกักบริเวณ ใช่มันสามารถเรียกเช่นนั้นได้ เพราะอาการของเขาไม่มีอะไรที่น่าวิตกแล้ว วันๆ ก็ต้องนอนดูวอลล์เปเปอร์บนเพดานจนเซ็ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะพันเพลิงพี่ชายสั่งเอาไว้ว่า

“นอนเป็นคนป่วยอยู่นี่แหละ อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวมีงานให้ทำ”

“จะให้ทำอะไร ผมลาพักร้อนได้ไม่กี่วันเองนะพี่เพลิง”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เดี๋ยวจัดการเอง”

พูดกันวันนั้นแล้ว ทั้งพันเพลิงและโรมรันก็หายหน้าไปเป็นอาทิตย์ๆ  แม้อาการจะดีขึ้นแล้วแต่ดูเหมือนจะมีดอกไม้ทรงเยี่ยมมาเปลี่ยนให้เสมอ พยาบาลเป็นคนนำเข้ามาให้ แต่ทุกครั้งก็จะถามเขาก่อน พายุก็เลยอนุญาตให้มีไว้แค่ช่อเดียว มาเปลี่ยนเมื่อไหร่ ก็ต้องเอาอันเก่าออกไป เขาเป็นคนที่จมูกไวต่อกลิ่น บางกลิ่นก็ทำให้เขาแพ้ และถ้ายิ่งอยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ได้ อย่างในห้องแอร์แล้วละก็ มันส่งผลให้เขามากทีเดียว ก็เหมือนตอนที่เสด็จมาเยี่ยมครั้งนั้นนั่นแหละ

รายนั้น ไม่สิ ...พายุสั่นหน้ากับตัวเอง ต้องเรียกว่าองค์นั้นก็หายไปเหมือนกัน ไม่มาอีก บางทีอาจจะเสด็จกลับประเทศไปแล้วก็ได้ พวกพยาบาลนี่ก็เหมือนจะเลิกเห่อไม่คุยกันให้ได้ยิน เหมือนทุกครั้งที่เข้ามาเช็ดตัวหรือเปลี่ยนผ้าพันแผล ตรวจความดันให้เขา แต่ที่ผ่านมาจากการแกล้งหลับฟังเสียงซุบซิบกันนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่า พระมารดาเป็นสตรีอเมริกัน และเจ้าหญิงราดิยันถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์  มิน่าถึงได้สวยเป็นลูกครึ่งนี่เอง น่าแปลกที่เขาช่างจดจำใบหน้านั้นได้แต่ที่จะเจนตาเจนใจที่สุด ก็คือ นัยน์ตาสีม่วง ที่จ้องมองตอบเขาตอนอยู่ที่ร้านป้าหวินนั่นแหละ เขามั่นใจว่าต้องเป็นสีม่วง แม้จะคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่คนมีตาสีม่วง แต่ทำไมมันไม่แปลกอย่างที่คิด ทำไมมันสวยมีชีวิตชีวาอย่างนั้นก็ไม่รู้ เมื่ออยู่บนใบหน้าเนียนใส มีริมฝีปากอวบอิ่มช่างเจรจานั่น แต่ท่าทางจะหยิ่งเอาเรื่องเหมือนกัน

เขายิ้มนิดๆเมื่อคิดถึงที่พันเพลิงบอกว่ามาศึกษาของโบราณแถบนี้ ท่าทางอย่างนั้นนะเหรอสนใจของโบราณ  ทางใต้จะมีอะไร ให้ศึกษา ศิลปะสมัยไหนกันล่ะ  เอะ...หรือเขาจะเรียกว่า อารยธรรม ทำไมไม่ไปสุโขทัย อยุธยาโน่นนะ พอจะคุ้นๆ หูเสียหน่อย เห็นทีออกจากโรงพยาบาลต้องไปศึกษาเกี่ยวกับพวกนี้บ้างแล้ว แต่เขาจะสนใจมันไปทำไมล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับเจ้าหญิงนั่นตรงไหนนี่นา แต่ผู้หญิงอะไรสวยเป็นบ้า  ทำให้เขาคิดถึงอยู่ได้ ไม่มาเยี่ยม เป็นอาทิตย์แล้วนะนี่ ดอกไม้ก็จะเหี่ยวอยู่แล้ว ไม่รู้จักส่งมาให้ใหม่ เฮ้อ!

พายุถอนหายใจเฮือก และเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ จึงลงจากเตียงไปนอนคว่ำกับพื้น พยายามวิดพื้น ให้ได้สักร้อยครั้ง และหากมีพยาบาลคนใดโผล่เข้ามาตอนนี้ ก็ต้องมีปากมีเสียงกับเขาล่ะ ให้ตายที่โรงพยาบาลนี่มันน่าเบื่อจริงๆ

ดังนั้นเมื่อพันเพลิง เปิดประตูเข้ามา จึงเห็นพายุกำลังวิดพื้น ทั้งๆ ที่อยู่ในชุดคนไข้

“เซ็งมากนักเหรอ?”

พายุไม่ตอบแต่ยังวิดพื้นอยู่เซตหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น หันมาทางประตูเขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่า คนที่มากับพันเพลิงไม่ใช่โรมรัน แต่เป็นชายวัยห้าสิบขึ้น ผิวสีทองแดงรูปร่างบึกบึน สิ่งที่เด่นบนใบหน้าคร้ามคางเหลี่ยมก็คือหนวดเฟิ้ม เหนือริมฝีปากหนา

“นี่พันเอกกิอัน  เอนโดซา”พันเพลิงแนะนำอย่างไม่มีพิธีรีตอง

พายุยื่นมือให้อีกฝ่ายแนะนำตัวเองว่า

“พายุครับ”

สายตาของนายพันเอกกิอัน กวาดมองพายุอย่างพิจารณา ก่อนจะถามเสียงห้าวใหญ่เป็นภาษาไทยไม่ชัดเจนนักว่า

“อาการบาดเจ็บ เป็นอย่างไรบ้าง”

“หายแล้ว” พายุตอบ แล้วหันไปทางพันเพลิง

”จะบ้าตาย ยังกับถูกกักตัวเอาไว้เลย นี่ถ้า ...”

“ผู้พันกิอัน อยากคุยด้วย”

พันเพลิงขัดด้วยน้ำเสียงลึกๆ สบตาน้องชายนิ่ง ความคุ้นเคยกับสัญญาณนี้ทำให้พายุรู้ว่ามีบางอย่างค่อนข้างสำคัญ เขาจึงหันไปทางผู้พันกิอัน  แล้วพูดสั้นๆว่า

“เชิญครับ”

พันเอกกิอัน พินิจชายหนุ่มอย่างตรวจตรา  แล้วก็ผงกหัวอย่างพึงพอใจ มีบางอย่างที่เขาเองก็เห็นด้วยกับ เจ้าชายราเมซว่า หนุ่มตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา

“พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?”ประโยคนี้ถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่ พายุตอบกลับเป็นภาษาไทยรวนๆว่า

“ครับ”

“ฉันต้องขอบใจเธอมาก ที่...”

“ไม่เป็นไรครับ” พายุพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน เพราะเบื่อที่จะฟังคำพูดขอบอกขอบใจซ้ำๆซากๆ เพราะเขาเองก็ทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  แต่ผู้พันกิอันนั้นก็จ้องเขาเขม็ง ถามอย่างที่พายุไม่คิดว่าควรจะถาม

“แต่งงานแล้วยัง?”

พายุไม่ตอบในทันที แต่หันไปมองหน้าพันเพลิงส่งสายตาถามประมาณว่า ผมชกหน้าไอ้้พันเอกนี่ได้ไหม? แต่เมื่อพี่ชายจ้องกลับนิ่งๆ เขาเลยถอนหายใจยาวตอบอย่างเซ็งๆว่า

“ยัง”

“ขับรถเป็นไหม?”

“เป็น”

“สนใจจะทำงานด้วยกันไหม?”

“มะ ...”

พายุยังปฏิเสธไม่เต็มเสียง พันเพลิงก็สอดเสียงเข้มขึ้นมาว่า

“งานส่วนตัวไม่ใช่ทางการ ไม่กี่วัน หากไม่ชอบก็ออกได้ทุกเมื่อ”

“ใช่ หากไม่พอใจก็ลาออกได้ทุกเมื่อ” พันเอกกิดันยืนยัน มองหน้าพายุเขม็ง เหมือนจดจ่อกับคำตอบ

“จะให้ไปทำงานกับใคร?”

คำถามนี้เหมือนพายุจะถามพันเพลิงเสียมากกว่า แต่ผู้พันกิอันก็ตอบตามตรงโดยไม่ปิดบังว่า

“เจ้าชายราเมซ แห่งซานตาบลังกา”

คิ้วของพายุขมวดเข้าหากันทันที อีกครั้งที่เขาต้องมองไปยังพี่ชาย ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาพันเพลิงก็พยักหน้าชิงสรุปเอาเลยว่า

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้นะ”

เมื่อพี่ชายพูดออกมาอย่างนั้น พายุก็ไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้าเท่านั้น และก็ต้องแปลกใจที่พันเอกกิดันถึงกับดึงเขาเข้าไปกอด ตบบ่าสองสามปึ้ก ก่อนจะปล่อย จับมือเขาเขย่า 

“ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ รายละเอียดของงาน ผู้พันคงจะอธิบายให้คุณฟัง ผมต้องขอตัวไปทูลให้ทรงทราบ”

แค่นี้? พายุถามในใจงงๆ เมื่อมองร่างทะมึนนั่นเดินไปที่ประตู พันเพลิงตบบ่าเขาบอกว่า

“เดี๋ยวฉันมา”

“มีอยู่อย่าง” เสียงพายุดังเหมือนนึกขึ้นได้ เมื่อทั้งคู่หันมาเขาก็บอกหน้าเฉยว่า 

“ไม่พูดราชาศัพท์นะ พูดไม่เป็น”

พันเอกกิดันเพียงแต่ยิ้มพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่พันเพลิงอดไม่ได้ที่จะแดกดันน้องชายเบาๆว่า

“บ้านนอกอย่างแก พูดเป็นก็แปลกละวะ”

พายุหัวเราะยักไหล่กับคำพูดของพี่ชาย ได้กวนถึงจะถูกด่ากลับมาบ้างก็ช่างเถอะ  เขาหมุนตัวกลับไปนอนบนเตียง พร้อมๆกับที่เสียงประตูปิดลง

ชายหนุ่มนอนเบิกตาจ้องเพดานแล้วนึกอย่างสงสัย  งานอะไรที่ต้องทำ และทำไมพันเพลิงอยากให้เขาทำ เกิดเรื่องอย่างนี้ ทำไมยังไม่กลับบ้านกลับเมืองไปเลยนะ หรือที่โน่นจะยิ่งน่ากลัวกว่าที่นี่ 

พายุถอนหายใจเฮือกเมื่อคิดว่าท่าทางเขาจะไม่ได้ทำงานธรรมดาๆเสียละมัง พี่เพลิงไม่น่าหาเรื่องให้เลย ก็แค่อยากจะกินข้าวผัดกระเพราไก่ไข่ดาวเฉยๆ ทำไมมันถึงได้ยุ่ง ยาวมาถึงอย่างนี้นะ ผ่าสิ!

 


ร่างเพียวระหง สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มยาวกรอมเท้า ยืนนิ่งสงบอยู่ที่หน้าต่าง ทอดสายตาออกไปยังทะเลดาวบนท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย แต่เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ก็หันมาเล็กน้อย ก่อนจะเบนกลับไปยังที่เดิม


เอลยาสตรีวัยสี่สิบห้าร่างท้วมอวบแต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ในมือถือถาดบรรจุแก้วนมไปย่อตัวถวาย เจ้าหญิงราดิยัน หยิบแก้วขึ้นมาดื่มหมดในอึดใจ แล้วก็ผินพักตร์ออกไปยังท้องฟ้าเช่นเดิม

เอลยาเอาถาดวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะไปเลิกผ้าคลุมเตียงออก

“ดึกแล้วน่าจะบรรทมเสียนะเพคะ พรุ่งนี้จะได้ส่งเสด็จแต่เช้า”

เจ้าหญิงราดิยันถอนพระทัยยาว แต่ยังไม่ขยับพระวรกาย

“ตอนเสด็จมาด้วย ก็ไม่อยากให้มาหรอก แต่ตอนจะกลับ หญิงก็ไม่อยากให้กลับ ไม่รู้ว่ากิดันมีเรื่องอะไรมาทูล ถึงได้ตัดสินใจปุบปับเสียอย่างนั้น หากจะเป็นเพราะกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสั่งให้หญิงอยู่ต่อ ทั้งๆ ที่ขอกลับด้วย เอลยารู้ไหม?” ตอนท้ายวกถามพระพี่เลี้ยงเสียดื้อๆ

เอลยาก้มหน้าต่ำ เมื่อตอบอู้อี้ไม่เต็มคำว่า

“ไม่ทราบเพคะ”

“ก็ที่คุยกับกิดันตอนเย็นที่ชายหาดไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอ  รู้อะไรต้องบอกหญิงนะ ไม่งั้นหญิงทำตัวไม่ถูกอาจจะทำให้เสียงานก็ได้”ตอนท้ายทรงขู่เล็กน้อย

เอลยาเผลอค้อนให้ จะกี่ครั้งกี่หนแล้วล่ะ ที่เจ้าหญิงพระองค์นี้ ทรงเจ้าเล่ห์ ทำเรื่องแผลงๆขึ้นมาด้วยสาเหตุเพียงเพราะ  ไม่ได้รับคำตอบในเรื่องที่ทรงสงสัย ซ้ำร้ายอาจจะหาทางรู้เรื่องเอาเองนั้นยิ่งน่ากังวลเข้าไปใหญ่ แต่จะให้มีใครคอยปรามนะเหรอ ยากยิ่งนักเพราะไม่ทรงเกรงกลัวผู้ใด นอกจากพระบิดาเท่านั้น แม้แต่เจ้าชายราเมซเอง เมื่อถูกซักถามอะไร ยังต้องบอก แต่ที่ดีก็คือ เจ้าหญิงเก็บความลับได้เก่ง ไม่ยอมแพร่งพรายเหมือนกันหากทรงสัญญาเอาไว้ ดังนั้นเมื่อถูกถามหากไม่ทูลอะไรเสียบ้างเป็นเรื่องแน่

“กิดันเล่าให้ฟังเรื่อง กองทัพที่กำลังผลัดเปลี่ยนอำนาจและไม่ค่อยจะลงรอยกัน ที่ลึกๆ กว่านี้เกรงว่า เขาจะไม่ได้เล่าให้หม่อมฉันฟังเพคะ”

“ไม่ได้คุยเรื่องนายตำรวจไทยคนนั้นให้ฟังหรือ?”

“ไม่เพคะ”

“ดูเหมือนกิดันจะสนิทสนมกับเขานะ ถึงกับนำเข้าเฝ้าเจ้าพี่เป็นพิเศษสองสามครั้งได้แล้วมัง นายตำรวจคนอื่นๆหายไปเลย คนที่มาอารักขาด้านนอก ก็ดูจะเปลี่ยนคนไปหมดตั้งแต่กิดันมา”

พระพี่เลี้ยงถึงกับเหลือบตาขึ้นมองพักตร์งามนั้น ด้วยไม่นึกว่าเจ้าหญิงจะทรงสังเกตในเรื่องนี้

“คงนำเข้าทูลถวายรายงานความคืบหน้าเรื่องที่เกิดขึ้นเสียมากกว่าเพคะ”

เจ้าหญิงทรงนิ่ง พระพักตร์มีแววครุ่นคิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่วงมาเกือบสองสัปดาห์  ข่าวมิได้แพร่ออกไป ทรงรู้ว่าทางการไทยสืบสวนอยู่ และทางซานตาบังกาก็ส่งคนเข้ามาประสาน ในตอนแรกมีการถวายคำแนะนำให้เสด็จกลับทันที แต่เจ้าพี่ทรงปฏิเสธ และทรงงานเหมือนดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เป็นที่ผิดสังเกตก็ตั้งแต่ผู้พันกิอัน เดินทางมา เจ้าพี่ก็ทรงเครียดขรึม  และมีการพูดคุยกับกิดันวันหนึ่งเป็นเวลานาน ยิ่งวันไหนที่ นายตำรวจไทยที่ชื่อพันเพลิง มาด้วย เหมือนจะมีเรื่องสำคัญคุยกันเป็นเวลานาน แต่ที่แปลกไปมากก็คือ มักจะเป็นวันที่พระองค์เองต้องเสด็จออกข้างนอก โดยมีราชองครักษ์ตามไปหมด จะเหลือก็แต่ เรย์คนสนิทของเจ้าพี่ และตำรวจนอกเครื่องแบบที่ทางการไทยจัดถวายการอารักขาบริเวณที่ประทับเท่านั้น ความจริงเรื่องนี้เจ้าหญิงมิได้รู้เอง แต่เป็นเอลยาเล่าให้ฟัง

“เรย์จะรู้เรื่องเขาไหม?”

ทรงถามอย่างคาดหวัง แต่พระพี่เลี้ยงก็ตอบว่า

“หม่อมฉันไม่ทราบ แต่ดูเหมือนเรย์จะต้องตามเสด็จกลับนะเพคะ”

“อย่างนั้นเหรอ? แล้วใครจะเลื่อนขึ้นมาขับรถให้หญิงล่ะ เปอตักหรือว่าเรอติน”

“กิดันบอกว่า จ้างคนขับรถใหม่ให้เป็นคนไทย จะได้รู้เส้นทาง เพราะเมื่อเจ้าชายเสด็จกลับ เจ้าหญิงจะได้ทรงงานของพระองค์เองอย่างเต็มที่เสียทีเพคะ”

“อย่างนั้นเหรอ” ตรัสแล้วก็ผินพระพักตร์ ออกไปด้านนอกดุจหมดความสนใจในเรื่องเหล่านั้นแล้ว

“จะไม่บรรทมเลยหรือเพคะ” พระพี่เลี้ยงอดที่จะเตือนอีกไม่ได้

“ท้องฟ้าสวย เสียจนนอนไม่หลับ มีดาวของหญิงด้วย เอลยามาดูสิ”

“จะเป็นดวงเดิมหรือเพคะ” พระพี่เลี้ยงแย้งอย่างขำๆ ไม่ว่าร่างตรงหน้าจะเป็นสาวสวยเพียงใด แต่ในความคิดของนาง แล้ว ก็ยังทรงเป็นเจ้าหญิงน้อยๆที่ช่างฝันอยู่เช่นเดิม

“ใช่สิเอลยา อยู่โน่น แล้วก็โน่น” ทรงใช้ดรรชนีชี้บอกอย่างมั่นพระทัย

นางเอลยา ไม่ได้สนใจมองไปยังท้องฟ้า และขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อถามว่า

“ยังไม่ได้คืนแหวนพ่อหนุ่มคนนั้นหรือเพคะ?”

พักตร์นวลเหมือนจะร้อนขึ้นเมื่อสบสายตาสงสัยของเอลยา แต่แล้วก็แย้มสรวล ยกหัตถ์ขึ้นมามอง

“จะคืนทีไรเป็นลืมทุกที ใส่เสียจนชิน ป่านนี้ไม่นึกว่าหญิงขโมยของเขาเสียแล้วหรือ ”

“ราคาไม่กี่อัฐสพ คงไม่กล้าคิดหรอกเพคะ ”

เจ้าหญิงยักอังสะ แววตาท้าทายจากสายตาคู่นั้น ยังติดตาอยู่ถึงทุกวันนี้ คงรู้แล้วล่ะว่าพระองค์เป็นใคร แต่ท่าทางหยิ่งๆกวนๆ นั่นก็ไม่ได้ลดลง เขาไม่ได้แสดงท่าทางออกมาให้เห็น แต่แสดงออกทางสายตา เหมือนจะบอกให้รู้ว่า ก็แค่ผู้หญิงสวยเท่านั้น

“ก็ไม่แน่นะเอลยา อาจจะมีคุณค่าทางใจก็ได้ ” ทรงยกหัตถ์ยื่นออกในแนวสายตา ริมโอษฐ์เม้มนิดๆ ก่อนจะแย้มเยาะๆ

“แหวนล้อมหัวใจ มีอักษรสลักไว้ด้วย พีแอนด์พี อาจจะเป็นแหวนแต่งงาน หรือเป็นแหวนที่แฟนเขาให้มาก็ได้”

“ถ้างั้น จะประทานให้หม่อมฉัน ไปส่งคืนเขาพรุ่งนี้ตอนไปเยี่ยมเลยไหมเพคะ”

“ก็ดีเหมือนกัน” ตรัสแล้วก็ปิดโอษฐ์ เหมือนจะหาว เพยิดหน้าให้ “เอลยาไปนอนเถอะ ฉันก็จะนอนแล้วล่ะ”

พระพี่เลี้ยงตีหน้างงเล็กน้อย เพราะนึกว่า จะถอดแหวนให้ กลับไล่ให้ไปนอนเสียนี่

ต่เมื่อเห็นเจ้าหญิงดำเนินไปที่พระแท่นบรรทมจึงออกมาโดยไม่ทักท้วงอะไร

 



พายุในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสะอาดตาและกางเกงยีนส์สีเข้ม ยืนอยู่ข้างรถเมอซีเดสสีดำปลาบ ที่จอดอยู่ลานถนนคอนกรีต ใต้ต้นสัตบรรณใหญ่ อากาศยามเช้าวันนี้นับว่าแจ่มใส แสงแดดอ่อนๆ ลมพัดรวยริน เสียงคลื่นทะเลดังซัดซ่า แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจกับสิ่งรอบตัวเพราะเพ่งมองแสงแดดที่พยายามส่องผ่านใบของต้นสัตบรรณใหญ่จนเห็นเป็นเส้นฝุ่นเหลือง มันหักเหได้มุมที่ลงตัวเมื่อไปสิ้นสุดที่กระจกหน้าข้างรถ มีแสงสะท้อนวูบวาบออกมาเล็กน้อยไม่จ้าจนไม่สามารถมองได้

  เมื่อเดินไปบังลำแสงและบิดกระจกเพียงเล็กน้อย พายุก็เห็นภาพสะท้อนโต๊ะเสวยตั้งกลางเทอเรซที่ยื่นเข้าไปในสวนหย่อมเล็กๆ รายล้อมด้วยกระถางต้นไม้ออกดอกสีสด อยู่สองสามชนิด ที่เขารู้จักแน่ก็เห็นจะเป็นเฟื่องฟ้า และกุหลาบนั่นแหละ  เจ้าชายราเมซและเจ้าหญิงราดิยันประทับนั่งอยู่ตรงข้าม ห่างออกไปก็เป็นพันเอกกิดัน มีสตรีวัยกลางคนยืนค้อมตัวคอยถวายการรับใช้ ไม่ห่าง  แล้วพายุก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะระบายมันออกมาอย่างช้าๆ


คนขับรถ คนขับรถ และก็คนขับรถ เอาน่า  เขาพร่ำบอกกับตัวเองเพื่อสร้างอารมณ์ขัน จากที่ขำไม่ออกตอนที่พันเพลิงย้อนกลับมาบอกว่า งานในหน้าที่นี้ของเขาคืออะไรในวันที่เจอกับผู้พันกิอัน เอนโดซาว่า

“เป็นบอดี้การ์ด”

“โอ๊ย ไม่เอาไม่คิดอยากตายแทนคนอื่น”เขาค้านเสียงหลง

“ขับรถให้เจ้าหญิงราดิยัน”

เขาชะงัก แล้วตอบเฉยเลยว่า

“อันนี้ได้ ตกลง ไม่หนักเท่าไหร่ เจริญหูเจริญตาดีด้วย”

“ไอ้เวร” พี่ชายด่าเบาๆ ก่อนจะควักกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“มาฟังแผน”

“ไม่รอพี่รบก่อนเหรอ?” เขาถามอย่างมีความหวัง ที่จะชะลอการฟังเรื่องหนักๆ ออกไปอีกหน่อย

“หุบปากแล้วฟัง” พันเพลิงพูดเสียงเย็น

เมื่อเจอน้ำเสียงนี้ เขาก็เลยต้องตั้งอกตั้งใจฟัง ไม่งั้นอาจจะถูกโน้มน้าวด้วยหมัดหนักๆ สักหมัดสองหมัด ในเมื่อรู้ว่าพี่ชายอยากให้เขาทำ เขาก็ต้องทำแบบไม่ต้องเจ็บตัวจะดีกว่า และเมื่อพูดจบ พายุก็สรุปงานของตัวเองออกมาได้ว่า เป็นงานทรีอินวัน ขับรถ อารักขา ค้นหาไส้ศึก ระยะเวลาก็เท่ากับที่เจ้าหญิงราดิยันประทับอยู่ที่เมืองไทยเท่านั้น แต่เขากับพี่ชายก็เกิดอาการขัดกันขึ้นเล็กน้อยเมื่อพันเพลิงกำชับว่า

“จะทำอะไรให้นึกถึงประเทศชาติด้วยนะไอ้ยุ อย่าห่ามนัก”

“อ้าว! ถ้าเป็นเรื่องงานราชการรผมไม่ทำนะ พี่เพลิงไม่ใช่เจ้านายมาสั่งผมไม่ได้” เขาพูดขึงขัง แต่พี่ชายเลิกคิ้วมอง

“งั้นเรอะ?”

“ใช่ พี่เพลิงสั่งผมได้เฉพาะมันเป็นเรื่องส่วนตัวเท่านั้น เพราะพี่เป็นพี่ผม ผมยอมให้”

คราวนี้พี่ชายจ้องหน้าเขานิ่งยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดช้าๆ ว่า

“ถ้าต้องการอย่างนั้น ก็ทำมันเรื่องส่วนตัวก็ได้ นายพายุ เบ็ญจรงค์ ”

พันเพลิง เน้นชื่อเขาเสียหนัก แล้วตอนนี้ เขาจึงสำนึกได้ว่า รอยยิ้มของพี่ชายตอนนั้น เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะเตือนว่า แกรนหาที่เองนะ

พายุชำเลืองมองนาฬิกาที่ข้อมือ และคิดว่าอีกสิบห้านาทีคงเสด็จลงมา แล้วเขาก็เบนสายตา ไปยังด้านชายหาด ชายที่ชื่อ เปอตัก และ เรอติน ยืนอยู่ในเส้นแนวเดียวกัน แต่ห่างกันประมาณสิบเมตร ทั้งคู่หันหลังให้กับบ้าน ส่วนชายที่ชื่อว่ากาอูล ยืนอยู่ที่รถอีกคันที่จอดไม่ห่างไปจากเขา แต่มันก็อยู่เกือบกึ่งกลางของสองคนแรก ทั้งสามคน ผู้พันกิดันได้พาเขาไปทำความรู้จักแล้ว และหนึ่งในสามคนนี้ คือคนที่ใช้ปืนยิงสวนเข้ามา ความจริงยังมีชายอีกคนที่ชือเรย์ ปกติเป็นคนขับรถ แต่ในวันที่เกิดเรื่อง เขาไม่ได้ติดตามไปด้วย เพราะเจ้าชายราเมซมีพระประสงค์จะขับเองในวันนั้น เรย์จึงไม่ได้อยู่ในข่ายสงสัย และจะตามเสด็จกลับ ซานตาบังกา พายุสอดส่ายสายตาหาชายหนุ่มที่ชือว่า เรย์ แปลกมากที่จนป่านนี้เขายังไม่เห็นหน้า แต่สักครู่ เขาก็เห็นคนที่กำลังมองหา โผล่มาตรงทางเดินที่ออกมาจากบ้านพักอีกหลัง อันเป็นหลังที่พวกองครักษ์พักอยู่  เรย์สวมสูทสีเทาถือกระเป๋าเดินทางใบหย่อม เขาเดินตัวตรงอย่างสง่า ตรงไปยังรถที่จอดอยู่ข้างกาอูล
แล้วเปอตักและเรอติน ก็หันกลับเดินมาที่รถ พายุชำเลืองไปที่กระจกก็เห็นว่ากำลังเสด็จลงมา แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับหรือขยับเป็นเชิงรู้ตัวในทันที เพราะคิดว่าไม่ควรจะทำตนเป็นคนที่ ไว ต่อสิ่งแวดล้อมหรือเหตุการณ์ใดๆเด็ดขาด  ดังนั้นเมื่อเขาหันกลับมาอีกครั้ง เจ้าชายราเมซก็มาประทับยืนต่อหน้าเลยทีเดียว

“หายดีแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

เจ้าชายหันพักตร์ไปยังเจ้าหญิงราดิยัน ที่เยื้องย่างตามมา

“พายุ จะมาเป็นคนขับรถให้น้องหญิงแทนเรย์”

“คะ?”

เจ้าหญิงราดิยัน ขมวดขนงอย่างแปลกพระทัยเพราะไม่คิดว่า จะเห็นเขายืนอยู่ที่นี่ แล้วปรางนวลก็ร้อนรุมขึ้นเมื่อเห็นสายตาคมที่กวาดมองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเปิดประตูรถถวาย อย่างรู้หน้าที่
เจ้าชายราเมซเลื่อนองค์เข้าไปขณะที่เจ้าหญิงราดิยันเม้มพระโอษฐ์ประทับยืนนิ่ง เนตรสีม่วงล้อมด้วยแพขนตาดำมีแววขัดเคือง แต่สีหน้าอีกฝ่ายสงบเฉยเมยพูดสั้นๆว่า

“เชิญ”

 

- - - - - -

เรื่องนี้ยังเขียนไม่จบนะคะ ^--^

 

ไปคุยกับฟีลิปดาเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ ที่นี่ค่ะ คลิก

 

 

 


โดย หนึ่งลิปดา


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย ฟีลิปดา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 

ดั่งไฟรัก
 

 

2009 free writing

 



๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก

 

 

 

  http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.