.เรื่องเล่าของการ แกว่ง กับหนังสือ บทเรียนชีวิตจาก คำพ่อคำแม่
เรื่องนี้ต้องหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อตอนผมอยู่ปีสอง
ตอนนั้นผมเรียนวิชา Organic Chemistry (ภาษาไทยว่าอะไรหว่า?) ซึ่งวิชานี้จะเรียนเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของอินทรีย์สาร และการเรียนเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีการทดลองจริง หรือที่เรียกว่า เรียนแลป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะต้องคอยลุ้นอยู่เสมอว่าแลปที่ทำไปแต่ละครั้งจะล่มหรือเปล่า (ซึ่งผมทำล่มบ่อยๆ) ใครจะโดนไฟเผาหัว(เพื่อนผม โดนมาแล้วแต่ยังไม่เข็ด) เครื่องแก้วชิ้นไหนจะแตก หรือระเบิด โอ้ มันส์จริงๆครับ
แต่เรื่องอันตรายพวกนั้นยังไม่เล่าครับ อุบไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวน้องๆที่จะเข้าเรียนสายวิทย์จะสยองแล้วล่มเลิกไปเสียก่อน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องเบาๆดีกว่า
เรื่องเบาๆเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเข้าคลาสใหม่ๆ
วันนั้นเป็นการทำแลปสกัดเอาน้ำมันออกจากดอกไม้ ซึ่งจะต้องใส่สารลงไปผสมกับสารที่เอามาจากดอกไม้ เพื่อคัดแยกเอาเฉพาะส่วนที่เราต้องการไปตรวจสอบหาความบริสุทธิ์ออกมาอีกที โดยสารทั้งสองนี้จะถูกนำไปใส่ในเครื่องแก้วชนิดหนึ่ง แล้วจากนั้นก็จะต้องทำการ "แกว่ง" โดย มือหนึ่งจะดันฝาที่มัลักษณะเหมือนจุกก๊อกไว้ และอีกมือก็ต้องคีบที่วาล์ว เพื่อปรับลดความดันในเครื่องแก้วลง เพราะระหว่างทำนั้น สารทั้งสองจะทำปฎิกิริยากันแล้วทำให้เกิดก๊าซ ทำให้แรงดันในเครื่องแก้วมีมาก จำเป็นต้องเปิดวาล์วระบายออก
พออาจารย์อธิบายแลปเสร็จ ก็เริ่มให้ทุกคนทำ เริ่มจาก ใส่สารทั้งสองลงในเครื่องแก้ว ...ทุกคนก็ทำตาม จากนั้น ก็ให้ทำการแกว่ง ...ทุกคนก็แกว่งอย่างระมัดระวัง เพราะยังไม่ชำนาญและการทำแลปกับเครื่องมือชนิดนี้ ทำกันเป็นครั้งแรกเสียด้วย บรรยายการในการทำแลปวันนั้นจึงเคร่งเครียดกันมาก
แต่สงสัยว่าความเคร่งเครียดคงจะมีมากเกินไป เพื่อนผมคนหนึ่งเลยทำการแกว่งวิธีใหม่คือ จากเดิมต้องเอามืออุดฝา อีกมือจับวาล์ว แล้วถือเครื่องแก้วในแนวขนานกับพื้น จากนั้นก็แกว่งวนเป็นวงกลมไปข้างหน้าข้างหลัง เพื่อนผมก็เปลี่ยนเป็นมือหนึ่งอุดจุก มือหนึ่งจับวาล์ว แล้วถือเครื่องแก้วไว้เฉยๆ จากนั้นก็แกว่งก้นไปมาอย่างเมามัน
ลองคิดเอาเองเถิดครับ นักศึกษาตัวใหญ่ๆใส่เสื้อแลปยาวๆสีขาว ในมือมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์จับไว้เฉยๆ แล้วแกว่งก้นไปมา พากันฮาแตกกันทั้งห้อง แม้แต่อาจารย์ที่คงโมโหสุดฤทธิ์ก็ยังหัวเราะเลย
พอโดนดุกันเป็นพิธี ก็พากันเลิกหัวเราะไปครั้งหนึ่ง แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องระบายแก๊ซออก ซึ่งแก๊ซนี้เป็นแก๊ซมีพิษ เพราะเป็นส่วนของไอน้ำมัน ต้องเอาไปปล่อยในเครื่องดูดแก๊ซ(Fume Hood) ทุกคนก็พากันไปออที่เครื่องดูดแก๊ซซึ่งมีอยู่สองเครื่อง เข้าไปปล่อยทำงานกันได้ครั้งละหกคน
แต่จำนวนนักศึกษากับโควต้าการใช้เครื่องสัดส่วนมันไม่เท่ากัน พวกที่รออยู่ข้างนอกจึงต้องรอไป และแก๊ซที่อยู่ภายในเครื่องแก้วก็มีแรงดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่มันไม่อาจทนอยู่ได้ มันจึงดันจุกก๊อกของเพื่อนผมคนใดคนหนึ่งออกมาดังปุ๊ก จุ๊กปิดก็ลอยละลิ่ว เหินข้ามศีรษะอาจารย์คุมแลปไป ก่อนจะตกลงพื้นอย่างช้าๆ แล้วกลิ้งหลุนๆกระทบกับขอบโต๊ะ ก่อนนอนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ได้แต่อึ้ง และได้เรียนรู้ในทันใดว่า ถ้ายังไม่ได้ปล่อยแก๊ซออกมาก็ให้กดจุกไว้ดีๆ มิฉะนั้น จุ๊กปิดจะกลายเป็นจรวดพุ่งใส่หน้าใครก็ได้สักคนหนึ่ง
กว่าวันนั้นจะทำแลปกันเสร็จก็เกือบไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน แลปอะไรก็ไม่รู้ครับ ย๊าก ยาก ยากชะมัดเลย
มาถึงหนังสือต่อดีกว่า...(โม้มาก เกือบไม่ได้เล่าแล้วไหมล่ะ) หนังสือเล่มนี้คือ บทเรียนชีวิตจากคำพ่อคำแม่ เขียนโดยพระธรรมกิตติวงศ์ สนพ.108 สุดยอดไอเดีย ราคา129 บาท ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมอ่านแล้วบอกได้เลยว่าดีมากๆ เพราะเป็นคำสอนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย (ส่วนปฏิบัตินั้นว่ากันอีกที) อ่านแล้วมีกำลังใจที่อยากจะทำดีต่อไป และคำสอนในแต่ละบทก็มีสั้นๆ ความยาวมีแค่สองหน้า ดังนั้น เมื่ออ่านแล้วจึงไม่น่าเบื่อ
ข้อคิดดีๆที่พระธรรมกิตติวงศ์เขียนนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับสังคมไทยเป็นอย่างดี เช่นบทที่ว่าด้วย วิชาเป็นทรัพทย์ บัวในตม เก็บหอมรอมริบ ความทะเยอทะยาย มารยาทสังคม ฟังหูไว้หู หรือบ่อเกิดกำลังใจ ล้วนแล้วแต่กล่าวเอาไว้อย่างเหมาะสม
หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะแก่คนทุกเพศทุกวัย และถ้าทุกคนปฏิบัติตามคำสอนนี้ได้ทั้งหมด สังคมก็จะเป็นสุขโดยแท้
บทเรียนชีวิตจาก คำพ่อคำแม่ จึงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นหนังสือที่ซื้อมาแล้ว คุ้มค่าเงินจริงๆ
มาเล่าเรื่องแบบเบลอๆ เหอ เหอ
วันนี้ไปอ่านข้อความมาครับว่า เฮมมิ่งเวย์ เวลาเขียนหนังสือไม่ได้ แต่ยืนเขียน ผมอยากรู้ว่าเป็นยังไงเลยยืนเขียนมั่ง โอ้โห..... เมื่อยสิครับ เปลี่ยนท่ายืนเป็นว่าเล่นเลย ส่วนเขียนได้ดีขึ้นรึเปล่า ไม่แน่ใจครับ แต่ที่แน่ๆ ละเอียดขึ้นนะ เหอ เหอ
ไปล่ะครับ ไปแว้วววววว