จากซองบะหมี่ ถึงหนังสือ เขียนบทหนัง ซัดคนดูให้อยู่หมัด 1 ....ได้ไงเนี่ยะ
ชื่อหัวเรื่องงงๆไหมครับ ถ้าใครงงก็งงไปก่อนเถอะครับ ผมไม่ว่าหรอก เพราะตอนที่ผมตั้งชื่อกระทู้นี้ผมเองก็งงเหมือนกัน
วันนี้ก็มาว่าด้วยหนังสือกันอีกเช่นเคยแหละครับ ก็แหม ในชีวิตผมมีเรื่องให้ทำอยู่ไม่กี่อย่างนี่นา หนึ่งนอน สองกิน สามทำวิจัย สี่อ่านหนังสือ ห้าเขียนนิยาย หกดูหนัง จบแล้วครับ มีแค่นี้แหละ ว่าแล้วก็ชักหิวขึ้นมาแล้วด้วย
พอหิวขึ้นมาผมก็อยากกิน ขออนุญาตกินไปเขียนไปก็แล้วกันนะครับ ไม่ว่ากันล่ะ
วันนี้ผมไม่มีอะไรจะกินครับ เพราะคุณแม่ไม่หุงข้าวให้ แต่ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อคุณแม่ไม่ทำผมก็เลยต้องหันหน้าเข้าหาอาหารญี่ปุ่นเพื่อความอยู่รอดของชีวิต อาหารญี่ปุ่นที่ว่านั้นคือ
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!
เป็นของยี่ห้อไวไวครับ รสสาหร่ายญี่ปุ่น ตรงซองด้านขวาเขียนไว้ว่า มีเนื้อสาหร่ายแท้ พอเปิดซองดูก็เห็นว่ามีจริงๆ ติดนิดเดียวว่ามีน้อยไปหน่อยไม่จุใจ น่าจะมีเยอะกว่านี้
ด้านล่างของข้อความเมื่อกี้ เขียนไว้ภายในแถบสีแดงว่า ไม่ใส่ MSG. ซึ่งข้อนี้สารภาพตามตรงว่าไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็ช่างเถอะครับ เดาเอาว่าคงเป็นสารกันบูดมั้ง
และถัดลงมาอีกก็มีการรับประกันความอร่อยจากหมึกแดง เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า McDang Guide นั่นเอง
แล้วพอผมลองเอาไปต้ม และกินดูก็ได้ความดังนี้ครับ
เส้นเหนียวยืดสีเหลืองซีด ผสมผสานกับควันขาวจางลอยอ้อยส้อย กรุ่นกลิ่นหอมของแป้งสาลีสุกอวลขึ้นมาพร้อมอายนั้น พอกินดูก็ได้ความหนึ่บหนับของสาหร่ายแผ่นเล็กกระจิ๋ว พร้อมๆกับรสจืดบวกเค็มของซุป แม้จะไม่มีรสชาติจัดจ้านมากนัก แต่ผมก็กินได้ ก็หิวแล้วนี่ครับ
กินไปได้อีกคำหนึ่ง ก็มาคิดว่า เอ...เรากำลังเขียนเรื่องอะไรอยู่เนี่ยะ แล้วไอ้ที่เขียนอยุ่ตอนนี้ก็ไม่เห็นจะเข้ากับเรื่องที่ต้องการจะเขียนเลยสักนิด
ถ้าตีเป็นภาษานิยายหรือภาษาคนเขียนบท ก็จะกล่าวหาผมได้ว่า พล๊อตรองไม่เกี่ยวข้องกับพล๊อตหลัก เป็นเรื่องแย่ๆที่ร้ายแรงพอดู
เมื่อเช้านี้ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง เขียนบทหนัง ซัดคนดูให้อยู่หมัดเล่มหนึ่ง อ่านยังไม่ถึงครึ่งเล่มเลยครับ แต่ผมก็ตั้งใจไว้แล้วล่ะว่า ผมจะไม่อ่านทีเดียวจบ จะค่อยๆอ่านไปเหมือนจิบน้ำชา เพื่อที่ว่าจะได้ซึมซับความรู้ไว้เยอะๆ ถ้าผมอ่านทีเดียวจบ ผมจะมึนจนเอาอะไรมาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้
เรื่องที่อ่านและทำความเข้าใจเมื่อคืน จึงเป็นเรื่องของประเภทพล๊อตหนังเรื่องเดียว
ประเภทของพล๊อตนั้นจัดออกเป็นสามประเภท
1. classical design
2. minimalism
3. anti-structure
พล๊อตในข้อที่หนึ่งนั้น เขาให้คำจำกัดความและลักษณะเอาไว้ว่า เป็นพล๊อตประเภท ข้ามาเดี่ยว - ลักษณะความขัดแย้งคือขัดแย้งกับภายนอก - เวลาจบจบแบบมีบทสรุปอันแน่ชัด คือ ให้คำตอบแก่ทุกคำถามหมด
ส่วนพล๊อตในข้อที่สอง ไม่เหมือนแบบแรกตรงที่ว่า มีตัวละครนำหลายตัว - มีความขัดแย้งภายใน และการจบเรื่องจะจบโดยไม่ให้คำตอบแก่ทุกคำถามในเรื่อง คือ ให้คนอ่าน+คนดูกลับไปคิดต่อ
ส่วนพล๊อตแบบสุดท้าย เป็นพล๊อตที่ใช้ต่อต้านกับจำพวกแรก ไม่มีโครงสร้างที่แน่ชัด (เหมือนตัวอะมีบาเลย) - ไม่เรียงลำดับเวลา - อยากจะให้เกิดอะไรในเรื่องก็จัดให้เกิด โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริง
ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้ว ผมว่า พล๊อตในแนวสุดท้ายนี้ ค่อนข้างจะเก่าแก่กว่าแนวพล๊อตด้านบนนะครับ ที่ผมพูดนี่คือกรณีของการเขียนนิยายนะ ไม่ได้หมายถึงการเขียนบทหนัง
การเขียนนิยายเมื่อสมัยก่อนโน้นนั้น ผมสันนิษฐานได้ว่า แรกเริ่มเดิมที คนแต่งนิยาย/นิทาน ไม่มีการคิดเรื่องให้สมเหตุสมผลกันเลย คิดอยากจะให้อะไรเกิดก็ทำให้เกิดเสียโดยไม่มีฐานรองรับ
เปรียบเหมือนฝนที่จู่ๆก็ตกโดยไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน
ต่อมา เมื่อคนเรามีการพัฒนาทางด้านความคิดมากขึ้น กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์เริ่มเป็นที่ยอมรับแล้ว นักเขียนทั้งหลายจึงหาเหตุหาผลมาใช้กับนิยายเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ขนบเก่าก็ใช่ว่าจะหายไปได้ง่ายๆ จึงยังมีกลิ่นอายความเหนือจริงเล็กๆน้อยๆ
จนเมื่อมีผู้กล้าบุกเบิก ฝ่าฟันขนบเดิมนี้มาเขียนนิยายในแนวสมจริงสมจัง มีตัวละครคิดที่มีเหตุมีผล ผู้คนก็เริ่มแตกตื่นกันมาก เพราะว่าการเขียนอย่างสมจริงสมจังนั้นช่างตรงกับชีวิตของคนอ่านอย่างเหลือเกิน
ตัวอย่างนิยายช่วงต้นของแนวนี้ได้แก่เรื่อง มาดาม โบวารี เป็นต้น ...อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นว่า เรื่องนี้ผสมผสานพล๊อตแบบที่สองเข้าไปค่อนข้างมาก
และหลังจากนักเขียนและคนอ่านเห็นตรงกันว่า พล๊อตนิยายในแนวนี้ดีที่สุด ผู้คนก็เลยยึดพล๊อตแนวนี้เป็นแนวหลัก และใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
นี่ผมแค่เล่าเรื่องราวที่ผมคาดเดาเอาเองนะครับ ไม่ต้องเชื่อเป็นจริงเป็นจังหรอก และวันนี้ก็ดูว่าเรื่องที่ผมเขียนมานี้จะไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่
เพราะผมยังไม่ได้เขียนสาระสำคัญอะไรลงไปในข้อเขียนนี้แม้แต่น้อย
และเมื่อมาถึงตอนท้ายนี้ ผมว่า ผมก็ไม่ควรจะเขียนสาระสำคัญนั้นลงไปแล้ว เพราะจะกระทบกับใครหลายคน และผมก็ไม่อยากจะหาเรื่องใครในวันที่สดชื่นสดใส และเป็นวันอันเป็นมงคลเช่นนี้
สาระที่ว่าจึงเก็บไปก่อน วันไหนมาแนวเครียดก็จะเล่าให้ฟังกันอีก
วันนี้เห็นทีจะพอเท่านี้ก่อน เพราะจะไปเขียนบทสรุปของ ในบ้าน เสียที
ไปล่ะครับ