forwriter.com
Book in My life By Nightingale
 

                                                          

 

แม่กุหลาบโบยบินไป เขียนบทหนังฯเล่มใหม่ก็บินมา

 


วันนี้หนังสือเขียนบบทหนังซัดคนดูให้อยู่หมัดเล่มสองมาถึงในตอนบ่ายต้นๆ ส่งมาที่บ้านช่วงผมไม่อยู่ มีแต่คุณแม่เฝ้าบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเปิดกล่องดู เพราะกลัวว่าข้างในจะเป็นระเบิด พอผมกลับมาผมเลยต้องเปิดออกดูเอง

สำรวจแล้วก็เห็นว่ามีของกิน ของกิน ของกิน และก็หนังสือสามเล่ม ดีวีดีแผ่นหนึ่ง หนังสือมี กว่าจะถึงวันนี้ของทมยันตี แกะลายไม้หอม กฤษณา อโศกสิน และ เขียนบทหนัง ซัดคนดูให้อยู่หมัด เล่มสอง

พอแกะกล่องออกดูปุ๊บก็หนักใจ ...จะอ่านจบวันไหนวะนี่ (ขออภัย วะเป็นคำสบถในใจ ไม่ควรอ่านออกเสียง) เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะครับ

และก่อนที่ผมจะพูดถึงเรื่องราวในเขียนบทหนังฯเล่มหนึ่งต่อนั้น ผมก็ต้องหาเรื่องมาเล่าเพื่อคลายเครียด หรือเพิ่มความเครียดให้ทุกๆท่านก่อน จะได้เป็นการ อ่านทีเดียวแต่ได้สองต่อ

ต่อแรกคือเรื่องมั่วๆที่ผมสรรหามาเล่า

ต่อที่สองคือเรื่องของหนังสือ

มาดูต่อแรกกันก่อนครับ

ทีแรกผมว่าจะเขียนเรื่องการรับน้อง เพราะเริ่มใกล้เทศกาลนี้เข้าไปทุกที แต่คิดว่าไม่เขียนดีกว่า เพราะดูท่าว่า เขียนไปแล้วคงเครียดเปล่าๆ ผมยิ่งมีทัศนะแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านเขาอยู่ ไอ้ผมโดนด่าน่ะไม่กลัวครับ แต่ไม่อยากสร้างกระทู้สงครามขึ้นในเว็บอันสงบสุขแห่งนี้ ดังนั้น ผมเลยต้องหาเรื่องเล่าเรื่องอื่น ซึ่งสมองผมก็ทำการสั่งการอย่างรวดเร็ว

เรื่องเบาๆวันนี้เห็นจะเป็นเรื่องการปลูกต้นไม้ล่ะมั้งครับ เพราะช่วงนี้ผมต้องปลูกต้นไม้เยอะ แต่ต้นไม้ที่ว่ามันเป็นงานครับ อย่าให้ต้องเอามาพูดเลย ขี้เกียจจะนึกถึงมัน คิดถึงอะไรที่น่าอภิรมย์ดีกว่า

อย่างเช่นต้นกุหลาบ

กับต้นกุหลาบนี่สร้างแรงบันดาลใจต่องานเขียนของผมถึงสองชิ้นแล้วนะครับ ชิ้นแรก คือบทกลอน"กุหลาบหน้าบ้าน" และงานชิ้นที่สองคือนิทานที่ลงไว้ในเว็บนี้ ผมจึงรักกุหลาบมาก แต่ถึงจะรักยังไงผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงกฏของธรรมชาติหรอกครับ

ไม่มีอะไรที่เป็นของเราตลอดกาล

นี่ผมโม้มาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อยากฟังผมโม้ต่อไหม ผมจะโม้ถึงเรื่องราวของกุหลาบต้นหนึ่งให้คุณๆฟัง

กุหลาบต้นนี้เกิดด้วยความบังเอิญ ถ้าเป็นเด็กในปัจจุบันก็เกิดเพราะพ่อแม่ไม่พร้อมนั่นแหละครับ ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นประถม นอกจากวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทยแล้ว ผมก็มีวิชาเกษตรอีกวิชาหนึ่ง เป็นวิชาที่ให้เด็กถือจอบไปขุดดินปลูกผักปลูกต้นไม้ และเลี้ยงไก่ แบ่งเป็นเทอมๆไป

และผมก็ทำท่าว่าจะไปได้ดีกับวิชานี้ด้วย เพราะผมชอบต้นไม้และสัตว์เลี้ยง อย่างไก่นี่ก็มีเรื่องเล่า แต่ผมยังไม่เล่าวันนี้หรอก ขอเล่าเรื่องกุหลาบก่อน

เนื่องจากติดวิชาเกษตรมาก และถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นกำลังเรียนเรื่องการทำกิ่งตอน

ผมเลยคลั่ง จับต้นไม้ทุกต้นมาตอนกิ่งหมด อย่างมะม่วงก็เคยตอนกิ่งมาแล้ว แต่ปรากฏว่า แทนที่จะได้ราก กลับได้เปลือกไม้หนาเตอะมาแทน

จะมีก็แต่แม่กุหลาบเท่านั้นที่งอกราก

พอแม่กุหลาบมีรากงอกออกมา ผมก็จัดการตัดเอาไปลงดิน และรดน้ำเช้าเย็น เช้าเย็น (ผมทำสองวัน นอกนั้นแม่ทำหมด)
ก็เห็นว่าแม่กุหลาบงอกงามดี และนับวันก็ยิ่งสูงเอา สูงเอา ถ้าเทียบไม่ผิด มันสูงราวๆ 150 เซนติเมตรเป็นอย่างต่ำ สูงระดับนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงไหมครับ

และแม่กุหลาบนี้ก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับบ้านผมนานเกือบเจ็ดปี ใครผ่านไปผ่านมาเห็นดอกสีชมพูบานเย็นมโหฬารของแม่กุหลาบก็ทักสวยดีสวยจังตลอด แม่ผมภูมิใจ ผมเองยิ่งภูมิใจกว่า เพราะผมเป็นคนเอามันลงดินกับมือ

...แต่สัจธรรมก็คือสัจธรรม

วันหนึ่ง ผมต้องย้ายบ้าน บ้านใหม่ที่มาอยู่นี่ไม่มีที่ให้แม่กุหลาบอยู่ ความใหญ่หนาของแม่กุหลาบทำให้เราต้องพลัดพรากจากกัน

นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมรู้สึกว่า รูปร่างคืออุปสรรค

แม้จะอาลัยรัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ครั้นจะปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีคนดูแลก็กลัวว่าแม่กุหลาบจะเหงาและเฉาตาย กุหลาบพันธุ์ดีอย่างนั้น ตายเพราะคนไม่สนใจ ผมไม่ใจร้ายใจดำขนาดนั้นหรอกครับ

ในที่สุด คุณแม่ก็ยกแม่กุหลาบให้คนอื่นไป ซึ่งมีคุณสมบัติพอจะดูแลแม่กุหลาบได้

นั่นแหละครับ คือการพลัดพรากระหว่างผมกับแม่กุหลาบ แม้ทุกวันนี้จะมีกุหลาบอื่นมาเลี้ยง แต่ก็ไม่เคยมีต้นไหนเหมือนแม่กุหลาบเลย

ไม่มีอะไรบนโลกที่เหมือนกันหรอกครับ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรมาทดแทนกันได้

เอาล่ะครับ จบเรื่องแม่กุหลาบไปสักที เดี๋ยวเน็ตหลุดจะไม่ได้โพสเรื่องภายในคืนนี้

มาพูดถึงเรื่องหนังสือกันบ้างดีกว่านะครับ

หลังจากอ่านจนจบเล่ม ทำให้ผมสะกิดใจขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่อง value ของซีน value คืออะไร ผมให้คำจำกัดความไม่ได้หรอกครับแต่ผมเข้าใจ และจะพยายามอธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจด้วย

ในซีนหนึ่งๆนั้น จะเป็นซีนที่มีความหมายได้ ซีนนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลง value เช่น จากบวกเป็นลบ หรือลบเป็นบวก หรือ ลบเป็นโคตรลบ บวกเป็นโครตบวก อะไรทำนองนั้น อย่างนี้จึงจะถือได้ว่าซีนนั้นเป็นซีนที่มีค่า มีความหมายต่อเรื่อง

แต่ถ้าปล่อยปละเรื่อง value ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ซีนนั้นก็จะถือว่าเป็นซีนที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง

ตัวอยางเช่น เปิดฉากให้นางเอกรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เดินมาตามถนน(value เป็นลบ) จากนั้น นากเอกก็เจอกับเด็กคนหนึ่งกำลังจะข้ามทางม้าลาย แต่รถเยอะทำให้ไม่กล้า นางเอกเลยเข้าไปช่วย เด็กจึงหันมากล่าวขอบคุณ นางเอกเริ่มรู้สึกดีว่าตัวเองก็มีค่าอยู่บ้าง (value เป็นบวกแล้ว)

อย่างนี้ถือว่าเป็นซีนที่ใช้ได้เหมือนกัน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของ value

ผมเลยคิดว่าจะเอามาใส่นิยาย ทำนิยายให้มีคุณค่าด้วยหลักการเหล่านี้ เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้ร่วมกันได้ และผมว่า ควรที่จะนำไปใช้กันให้มากๆด้วย เพราะเรื่องจะได้น่าสนใจ น่าติดตาม

ถ้ารู้สึกว่าเรื่องใครอืด ลองเอาหลักการเรื่อง value ไปตรวจสอบดู อาจจะพบว่า ซีนที่อืดนั้น คือซีนที่ value ไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็ได้

ลองดูนะครับ วันนี้ผมมีมาเสนอแค่นี้แหละ นอกนั้นสงสัยอะไรไปถามคุณธาร่าเอา

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 

:ไนติงเกล:

ก่อนหน้า                  ต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                             

อ่านหนังสือต่างประเทศ
Free E-book
โดยฟีลิปดา
หนังสือของฟีลิปดา

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 
ดั่งไฟรัก
 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก