กอ เอ๋ย กอ ไก่ อ่านยังไงก็ วางไม่ลง: โรงงานชอคโกแลต
หุหุหุ
วันนี้ขึ้นต้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ เพราะวันนี้ผมยังไม่ได้หัวเราะเลยครับ ตื่นมาก็ตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์ๆๆ ทำงานๆๆ หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันยังไม่ได้แปรง ข้าว...กินแล้ว ผมเลยไม่กล้าหัวเราะปากกว้าง เดี๋ยวเหม็น
เอาเถอะครับ เดี๋ยวผมค่อยไปอาบน้ำอาบท่า แปรงฟัน หาอะไรกินก็แล้วกัน ตอนนี้มาโม้แหลกต่อก่อน
หลังจากที่เอาจินดาวาณีลง ก็ถึงทางแยกแล้วว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี ทางแยกมีสองทางครับ ทางที่หนึ่งไปตามความคิดเก่า (คือไม่ได้คิดนั่นแหละ เอิ้ก ๆ) ส่วนทางที่สอง ไปตามความคิดใหม่ (คิดแล้วโดยใช้หลักการจำแนกพล๊อตออกเป็นส่วนๆตามหนังสือเขียนบทหนังฯที่คุณธาร่าให้มา)
แล้วผมจะทำยังไงดี ....อืม...เก็บไว้ก่อนครับ คิดไม่ออก ก็ยังไม่ต้องคิดเนาะ
มาถึงเรื่องที่จะโม้ในวันนี้ก่อนนะครับ ผมหวังว่ายังมีคนจำเรื่องแม่ดอกกุหลาบได้นะครับ เพราะเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์ไล่เลี่ยกัน
ในช่วงเรียนชั้นประถม อย่างที่ผมบอกแล้วว่ามีวิชาเกษตร และผมก็ชอบวิชานี้มาก
จนกระทั่งมีอยู่เทอมหนึ่งที่ผมต้องเลี้ยงสัตว์ โดยคุณครูเอาลูกไก่(ก็ไม่ลูกแล้วนะ ไม่ได้น่ารักเหมือนลูกเจี๊ยบแล้ว)ให้นักเรียนไปคนละตัว เอาไปเลี้ยงหนึ่งเทอมแล้วเปรียบเทียบน้ำหนักดูว่า ไก่ของใครจะสมบูรณ์หรืออดอยาก
ผมก็ได้ไก่ตัวหนึ่งครับ ขนมันมีสีดำปนน้ำตาล เป็นไก่ตัวผู้ หงอนของมันเป็นหงอนเล็กๆดูน่าเกลียด ที่ขา ขนก็ขึ้นไม่เต็มดูเหมือนไก่ขี้เรือนยังไงก็ไม่รู้
แต่เมื่อได้รับมา ผมก็ต้องเอาและครับ เอามาเลี้ยงที่บ้านและตั้งชื่อให้มันว่าไอ้ดำ เพราะสีดำของมันมีมากกว่าสีอื่นนั่นเอง
วันแรกที่ผมเจอกับไอ้ดำก็เป็นเรื่องครับ
วันนั้นผมอุ้มไอ้ดำกลับบ้าน พ่อผมเป็นคนไปรับผมกลับจากโรงเรียนโดยขี่รถมอเตอร์ไซต์ ผมก็อุ้มไอ้ดำไว้แนบอก อ๋อ...เสื้อน่ะเหรอครับ เป็นเสื้อนักเรียนสีขาวจั๊วะที่คุณแม่เป็นคนซักน่ะครับ ดังนั้นเปื้อนไม่เปื้อนผมก็ไม่สนใจ เพราะผมไม่ได้ซักเอง (...ไอ้ลูกเลว!)
วันนั้น ไอ้ดำคงได้สัมผัสกับความท้าทายเป็นครั้งแรกในชีวิตของมันล่ะมั้งครับ มันจึงยื่นหน้ายื่นคอออกท้าสายลมเป็นการใหญ่ เวลาที่ลมแรงๆปะทะหน้า ผมก็รู้สึกเย็น และที่ตัวไอ้ดำก็เหมือนจะร้อนผิดปกติ เพราะความแตกต่างกันของอุณหภูมินั่นเอง
เรื่องมาเกิดเอาเมื่อตอนที่ผมกลับถึงบ้านแล้ว
พอผมลงจากมอเตอร์ไซต์แล้ว คุณแม่ก็มาต้อนรับผมตามแบบอย่างของกุลสตรีศรีสยามหน้างามแท้แลตะลึง ตะลึ่งตึ่งตึ้ง (พอแซวแม่มากเข้า ไฟตกเลย ฮ่า ฮ่า)
ผมเจอคุณแม่แล้วผมก็ต้องไหว้คุณแม่ตามแบบอย่างกุลบุตรสุดที่เลิฟ หน้าอิ่มเอิบ แสนเบิกบาน
แต่ผมจะไหว้ได้ ผมก็ต้องปล่อยไอ้ดำลงก่อน และพอผมปล่อยไอ้ดำเท่านั้นแหละครับ คุณแม่ของผมก็ร้องกรี๊ด พร้อมกับชี้มือมาที่ผม
"ไอ้...(ตามด้วยชื่อผม)...ขี้ไก่"
ครับ ขี้ไก่เต็มเสื้อผมเลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่สนใจหรอก แม่ผมต่างหากที่ต้องสนใจ เพราะแม่ผมเป็นคนซักเสื้อ ผมไม่ได้เป็นคนซักซะหน่อยนี่ครับ
วันนั้นก็จบลงด้วยดี หมายถึงผมน่ะครับที่ดี ส่วนคุณแม่กับไอ้ดำก็เขม่นกันตั้งแต่แรกเห็น
เหมือนละครเลยไหมครับ ผมเอาไปเขียนเป็นนิยายได้นะนี่
หลังจากนั้น ผมก็เลี้ยงไอ้ดำตามประสาเด็กใจดี อารีเลิศ ประเสริฐแสน แม้นพ่อพระ ตะตึ๊งโหน่ง คือ ให้อาหารมันมั่ง ไม่ให้มันมั่ง แล้วแต่ว่าวันนั้นจำได้รึเปล่า ถ้าจำได้ไอ้ดำก็ได้กิน แต่ถ้าวันไหนจำไม่ได้ไอ้ดำก็อด
เมื่อไอ้ดำอด มีหรือครับที่คุณแม่ผมจะยอม คุณแม่คงกลัวว่าเกรดผมไม่ถึงสี่ เลยจำใจต้องเอาอาหารไปให้ไอ้ดำกินทั้งที่ ...ชังน้ำหน้านัก(กรุณาอ่านออกเสียงให้เหมือนละครทีวีไทย)
และเมื่อเวลาผ่านไป ไอ้ดำก็หล่อโดยไม่ต้องเหลาขึ้นเป็นกอง ขนดำขลับ หงอนที่เหี่ยวๆเล็กๆตอนแรกก็ดูดีขึ้น เพิ่มสง่าราศีให้ไอ้ดำยิ่งนัก
พอมันดูดีขึ้นก็เป็นธรรมดาว่าผมจะต้องไปเที่ยวหามันบ่อยๆ ผมเลยชอบไปคลุกคลี โดยไม่คลุกขี้ กับมันประจำ
เวลาไม่กินผักก็จะแอบเอาผักให้มันกิน
วันไหนคุณแม่ซื้อข้าวสารมาใหม่ ผมก็จะจิ๊กเอาข้าวสารไปให้มันวิเคราห์ว่าข้าวสารชนิดนั้นอร่อยไหม
แปลกไหมครับ ว่ามันไม่เคยบอกผมเลย นอกจากทำเสียงจึ๊กๆ
ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ฟังก็ได้วะ
เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆล่ะครับ จนกระทั่งสิ้นเทอม ได้เวลาที่ต้องเอาไอ้ดำไปชั่งน้ำหนัก
วันนั้นไอ้ดำทำให้ผมดีใจมากเลย เพราะน้ำหนักมันขึ้นมาตั้งหลายกิโลกรัมและคุณครูก็ให้เงินผมเยอะด้วย
ผมอยากเก็บความดีใจนี้ไปบอกพ่อกับแม่ครับ แต่เอาไปเอามาวันนั้นก็บอกอะไรใครไม่ได้เลย เพราะคอมันตีบตันไปหมด
ไม่ใช่ว่าเพราะแค่ต้องจากไอ้ดำเท่านั้นนะครับ แต่เพราะเพื่อนผมมาบอกว่า ไก่พวกนี้จะถูกฆ่าแล้วเอาไปขาย
แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เรื่องเล็กน้อย
แต่เรื่องเล็กน้อยนี้ทำให้ผมรู้สึกผิด เหมือนกับว่าผมกำลังทรยศเพื่อน มีอย่างหรือ คบกันมาตั้งนาน กลับขายเพื่อนเพื่อแลกกับเกรดและเงินไม่กี่บาท
หากผมเป็นไอ้ดำ ผมคงด่าว่าสารพัด
แต่ผมรู้ว่าไอ้ดำตัวจริงมันไม่ด่าผมหรอกครับ มันคงพูดแค่ว่า
"ไม่เป็นไรหรอก เราเพื่อนกันอยู่แล้ว"
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เห็นไอ้ดำอีกเลย มันคงไปอยู่ในท้องใครสักคน แล้วกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว
ผมก็ได้แต่ภาวนาล่ะครับ ขอให้มันได้เกิดเป็นคนเสียที อย่าต้องไปเป็นไก่ให้ใครเขาฆ่าอีกเลย
สนุกไหมครับ เรื่องของผม ถ้าสนุกวันหน้าจะหาเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก
วันนี้มาพูดถึงเรื่องของหนังสือเสียที หนังสือที่ผมจะพูดถึงวันนี้เป็นหนังสือของโรอัลด์ ดาห์ล ผู้เขียนเรื่อง โรงงานช็อคโกแล็ต ผลงานของเขาชิ้นนี้มีชื่อว่า วางไม่ลง ผู้แปลคือ คุณสาลินี คำฉันท์
ทีแรกที่ผมหยิบอ่าน เพราะผมนึกว่าจะได้อ่านหนังสือเด็กดีๆอีก แต่พออ่านคำโปรยที่ว่า
...จินตนาการโหดบางเรื่องไม่เหมาะสำหรับเด็ก
แค่นั้นความคิดผมก็เริ่มเปลี่ยนไป และเริ่มเปิดอ่านดู โดยไม่คิดว่า ชื่อเรื่องวางไม่ลงจะเป็นจริงหรือไม่
ผลออกมาว่าเป็นจริงครับ
ผมไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้เลย ผ่านรวดเดียวจบ ไม่มีเถลไถลไปทำอย่างอื่น เพราะเรื่องนั้นทั้งสนุก และทำให้ผมตั้งคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ต้องคิด
ถ้าจะบอกว่า แบบอย่างของนิยายและเรื่องสั้นที่ผมเขียนในช่วงหลังๆมีต้นแบบมาจากไหน
หนังสือเล่มนี้คือคำตอบหนึ่งในนั้นครับ
เรื่องสั้นที่อยู่ข้างในหนังสือวางไม่ลงนี้ มีหกเรื่องครับ มีเรื่องโหดที่แบบโหดจนต้องอ้าปากค้างอยู่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องความกลิ้งกลอกของมนุษย์
หากใครมีโอกาสได้เจอหนังสือเล่มนี้ก็ลองอ่านดูนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ลองอ่านดูนะครับ สนุกปนสยองจริงๆเลย
หุหุหุ
วันนี้ขึ้นต้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ เพราะวันนี้ผมยังไม่ได้หัวเราะเลยครับ ตื่นมาก็ตั้งหน้าตั้งตา พิมพ์ๆๆ ทำงานๆๆ หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันยังไม่ได้แปรง ข้าว...กินแล้ว ผมเลยไม่กล้าหัวเราะปากกว้าง เดี๋ยวเหม็น
เอาเถอะครับ เดี๋ยวผมค่อยไปอาบน้ำอาบท่า แปรงฟัน หาอะไรกินก็แล้วกัน ตอนนี้มาโม้แหลกต่อก่อน
หลังจากที่เอาจินดาวาณีลง ก็ถึงทางแยกแล้วว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี ทางแยกมีสองทางครับ ทางที่หนึ่งไปตามความคิดเก่า (คือไม่ได้คิดนั่นแหละ เอิ้ก ๆ) ส่วนทางที่สอง ไปตามความคิดใหม่ (คิดแล้วโดยใช้หลักการจำแนกพล๊อตออกเป็นส่วนๆตามหนังสือเขียนบทหนังฯที่คุณธาร่าให้มา)
แล้วผมจะทำยังไงดี ....อืม...เก็บไว้ก่อนครับ คิดไม่ออก ก็ยังไม่ต้องคิดเนาะ
มาถึงเรื่องที่จะโม้ในวันนี้ก่อนนะครับ ผมหวังว่ายังมีคนจำเรื่องแม่ดอกกุหลาบได้นะครับ เพราะเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์ไล่เลี่ยกัน
ในช่วงเรียนชั้นประถม อย่างที่ผมบอกแล้วว่ามีวิชาเกษตร และผมก็ชอบวิชานี้มาก
จนกระทั่งมีอยู่เทอมหนึ่งที่ผมต้องเลี้ยงสัตว์ โดยคุณครูเอาลูกไก่(ก็ไม่ลูกแล้วนะ ไม่ได้น่ารักเหมือนลูกเจี๊ยบแล้ว)ให้นักเรียนไปคนละตัว เอาไปเลี้ยงหนึ่งเทอมแล้วเปรียบเทียบน้ำหนักดูว่า ไก่ของใครจะสมบูรณ์หรืออดอยาก
ผมก็ได้ไก่ตัวหนึ่งครับ ขนมันมีสีดำปนน้ำตาล เป็นไก่ตัวผู้ หงอนของมันเป็นหงอนเล็กๆดูน่าเกลียด ที่ขา ขนก็ขึ้นไม่เต็มดูเหมือนไก่ขี้เรือนยังไงก็ไม่รู้
แต่เมื่อได้รับมา ผมก็ต้องเอาและครับ เอามาเลี้ยงที่บ้านและตั้งชื่อให้มันว่าไอ้ดำ เพราะสีดำของมันมีมากกว่าสีอื่นนั่นเอง
วันแรกที่ผมเจอกับไอ้ดำก็เป็นเรื่องครับ
วันนั้นผมอุ้มไอ้ดำกลับบ้าน พ่อผมเป็นคนไปรับผมกลับจากโรงเรียนโดยขี่รถมอเตอร์ไซต์ ผมก็อุ้มไอ้ดำไว้แนบอก อ๋อ...เสื้อน่ะเหรอครับ เป็นเสื้อนักเรียนสีขาวจั๊วะที่คุณแม่เป็นคนซักน่ะครับ ดังนั้นเปื้อนไม่เปื้อนผมก็ไม่สนใจ เพราะผมไม่ได้ซักเอง (...ไอ้ลูกเลว!)
วันนั้น ไอ้ดำคงได้สัมผัสกับความท้าทายเป็นครั้งแรกในชีวิตของมันล่ะมั้งครับ มันจึงยื่นหน้ายื่นคอออกท้าสายลมเป็นการใหญ่ เวลาที่ลมแรงๆปะทะหน้า ผมก็รู้สึกเย็น และที่ตัวไอ้ดำก็เหมือนจะร้อนผิดปกติ เพราะความแตกต่างกันของอุณหภูมินั่นเอง
เรื่องมาเกิดเอาเมื่อตอนที่ผมกลับถึงบ้านแล้ว
พอผมลงจากมอเตอร์ไซต์แล้ว คุณแม่ก็มาต้อนรับผมตามแบบอย่างของกุลสตรีศรีสยามหน้างามแท้แลตะลึง ตะลึ่งตึ่งตึ้ง (พอแซวแม่มากเข้า ไฟตกเลย ฮ่า ฮ่า)
ผมเจอคุณแม่แล้วผมก็ต้องไหว้คุณแม่ตามแบบอย่างกุลบุตรสุดที่เลิฟ หน้าอิ่มเอิบ แสนเบิกบาน
แต่ผมจะไหว้ได้ ผมก็ต้องปล่อยไอ้ดำลงก่อน และพอผมปล่อยไอ้ดำเท่านั้นแหละครับ คุณแม่ของผมก็ร้องกรี๊ด พร้อมกับชี้มือมาที่ผม
"ไอ้...(ตามด้วยชื่อผม)...ขี้ไก่"
ครับ ขี้ไก่เต็มเสื้อผมเลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่สนใจหรอก แม่ผมต่างหากที่ต้องสนใจ เพราะแม่ผมเป็นคนซักเสื้อ ผมไม่ได้เป็นคนซักซะหน่อยนี่ครับ
วันนั้นก็จบลงด้วยดี หมายถึงผมน่ะครับที่ดี ส่วนคุณแม่กับไอ้ดำก็เขม่นกันตั้งแต่แรกเห็น
เหมือนละครเลยไหมครับ ผมเอาไปเขียนเป็นนิยายได้นะนี่
หลังจากนั้น ผมก็เลี้ยงไอ้ดำตามประสาเด็กใจดี อารีเลิศ ประเสริฐแสน แม้นพ่อพระ ตะตึ๊งโหน่ง คือ ให้อาหารมันมั่ง ไม่ให้มันมั่ง แล้วแต่ว่าวันนั้นจำได้รึเปล่า ถ้าจำได้ไอ้ดำก็ได้กิน แต่ถ้าวันไหนจำไม่ได้ไอ้ดำก็อด
เมื่อไอ้ดำอด มีหรือครับที่คุณแม่ผมจะยอม คุณแม่คงกลัวว่าเกรดผมไม่ถึงสี่ เลยจำใจต้องเอาอาหารไปให้ไอ้ดำกินทั้งที่ ...ชังน้ำหน้านัก(กรุณาอ่านออกเสียงให้เหมือนละครทีวีไทย)
และเมื่อเวลาผ่านไป ไอ้ดำก็หล่อโดยไม่ต้องเหลาขึ้นเป็นกอง ขนดำขลับ หงอนที่เหี่ยวๆเล็กๆตอนแรกก็ดูดีขึ้น เพิ่มสง่าราศีให้ไอ้ดำยิ่งนัก
พอมันดูดีขึ้นก็เป็นธรรมดาว่าผมจะต้องไปเที่ยวหามันบ่อยๆ ผมเลยชอบไปคลุกคลี โดยไม่คลุกขี้ กับมันประจำ
เวลาไม่กินผักก็จะแอบเอาผักให้มันกิน
วันไหนคุณแม่ซื้อข้าวสารมาใหม่ ผมก็จะจิ๊กเอาข้าวสารไปให้มันวิเคราห์ว่าข้าวสารชนิดนั้นอร่อยไหม
แปลกไหมครับ ว่ามันไม่เคยบอกผมเลย นอกจากทำเสียงจึ๊กๆ
ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ฟังก็ได้วะ
เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆล่ะครับ จนกระทั่งสิ้นเทอม ได้เวลาที่ต้องเอาไอ้ดำไปชั่งน้ำหนัก
วันนั้นไอ้ดำทำให้ผมดีใจมากเลย เพราะน้ำหนักมันขึ้นมาตั้งหลายกิโลกรัมและคุณครูก็ให้เงินผมเยอะด้วย
ผมอยากเก็บความดีใจนี้ไปบอกพ่อกับแม่ครับ แต่เอาไปเอามาวันนั้นก็บอกอะไรใครไม่ได้เลย เพราะคอมันตีบตันไปหมด
ไม่ใช่ว่าเพราะแค่ต้องจากไอ้ดำเท่านั้นนะครับ แต่เพราะเพื่อนผมมาบอกว่า ไก่พวกนี้จะถูกฆ่าแล้วเอาไปขาย
แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เรื่องเล็กน้อย
แต่เรื่องเล็กน้อยนี้ทำให้ผมรู้สึกผิด เหมือนกับว่าผมกำลังทรยศเพื่อน มีอย่างหรือ คบกันมาตั้งนาน กลับขายเพื่อนเพื่อแลกกับเกรดและเงินไม่กี่บาท
หากผมเป็นไอ้ดำ ผมคงด่าว่าสารพัด
แต่ผมรู้ว่าไอ้ดำตัวจริงมันไม่ด่าผมหรอกครับ มันคงพูดแค่ว่า
"ไม่เป็นไรหรอก เราเพื่อนกันอยู่แล้ว"
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เห็นไอ้ดำอีกเลย มันคงไปอยู่ในท้องใครสักคน แล้วกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว
ผมก็ได้แต่ภาวนาล่ะครับ ขอให้มันได้เกิดเป็นคนเสียที อย่าต้องไปเป็นไก่ให้ใครเขาฆ่าอีกเลย
สนุกไหมครับ เรื่องของผม ถ้าสนุกวันหน้าจะหาเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก
วันนี้มาพูดถึงเรื่องของหนังสือเสียที หนังสือที่ผมจะพูดถึงวันนี้เป็นหนังสือของโรอัลด์ ดาห์ล ผู้เขียนเรื่อง โรงงานช็อคโกแล็ต ผลงานของเขาชิ้นนี้มีชื่อว่า วางไม่ลง ผู้แปลคือ คุณสาลินี คำฉันท์
ทีแรกที่ผมหยิบอ่าน เพราะผมนึกว่าจะได้อ่านหนังสือเด็กดีๆอีก แต่พออ่านคำโปรยที่ว่า
...จินตนาการโหดบางเรื่องไม่เหมาะสำหรับเด็ก
แค่นั้นความคิดผมก็เริ่มเปลี่ยนไป และเริ่มเปิดอ่านดู โดยไม่คิดว่า ชื่อเรื่องวางไม่ลงจะเป็นจริงหรือไม่
ผลออกมาว่าเป็นจริงครับ
ผมไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้เลย ผ่านรวดเดียวจบ ไม่มีเถลไถลไปทำอย่างอื่น เพราะเรื่องนั้นทั้งสนุก และทำให้ผมตั้งคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ต้องคิด
ถ้าจะบอกว่า แบบอย่างของนิยายและเรื่องสั้นที่ผมเขียนในช่วงหลังๆมีต้นแบบมาจากไหน
หนังสือเล่มนี้คือคำตอบหนึ่งในนั้นครับ
เรื่องสั้นที่อยู่ข้างในหนังสือวางไม่ลงนี้ มีหกเรื่องครับ มีเรื่องโหดที่แบบโหดจนต้องอ้าปากค้างอยู่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องความกลิ้งกลอกของมนุษย์
หากใครมีโอกาสได้เจอหนังสือเล่มนี้ก็ลองอ่านดูนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ลองอ่านดูนะครับ สนุกปนสยองจริงๆเลย
http://forwriter.com/mysite/forwriter.com/webboard/question.asp?QID=886