พิธีกรรมแกว่งข้าว และเรื่องเล่าของอีสป
วันนี้ฝนตกครับ ตกลงมาได้ทั้งที่เมื่อครู่แดดยังเปรี้ยงๆอยู่เลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ โลกนี้จะหาอะไรที่แน่นนอนนั้นย่อมไม่มี เหมือนฟ้าฝน ที่บทจะตกก็ตก บทจะหยุดก็หยุด คนธรรมดาอย่างเราๆจะไปกำหนดกะเกณฑ์ อย่างไรถูก
พอฝนตกผมก็เริ่มหนาวอีกแล้ว อย่างที่บอกแหละครับว่าผมเป็นคนขี้หนาว และเมื่อหนาวแล้วสมองก็มึนๆ คิดอะไรไม่ค่อยจะออก วันนี้ก็เลยคิดไม่ออกว่จะเล่าอะไรให้ฟังดี งั้นวันนี้มาฟังเรือ่งแปลกๆกันดีกว่าไหมครับ
เมื่อคือดูเรื่องจริงผ่านจอ ที่เป็นการแสดงของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสามารถบังคับคลื่นสมองและกล้ามเนื้อของตัวเองได้ เขาบอกว่าเขาศึกษาทางด้านจิตวิทยามา และเมื่อได้ศึกษาแล้สก็มีการทดลองต่างๆนานา แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ หรือศาสตร์ลี้ลับอย่างแน่นอน
พอเขาไม่เชื่อ ผมก็เลยหาเรื่องไม่นาเชื่มาคิดต่อเล่นๆ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ จะเรียกว่าเป็นพิธีกรรมแกว่งข้าวก็ได้ เป็นพิธีกรรมโบราณที่นับวันจะหาได้ยากยิ่งแล้วครับ ดังนั้น เมื่อผมเป็นลูกหลานของคนบ้านนี้ ผมก็ต้องเก็บมาเล่าสู่ให้ฟังกันต่อไป ก่อนที่ประเพณีทั้งหลายจะหายสูญ
คุณยายผมมีชื่อเสียงด้านการแกว่างข้าวมากครับ การแกว่งข้าวคือพิธีกรรมโบราณของชนเผ่าตามเขตชายแดนของภาคเหนือ เชื่อกันว่าจะติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษได้โดยผ่านพิธีกรรมนี้ การแกว่งข้าวมีจุดประสงค์เพื่อถามไถ่ถึงข้อข้องใจบางอย่าง เช่น ของหาย เจ็บไข้ได้ป่วย(เรียกว่าผีทัก) หรือเรื่องไม่สบายใจอื่นๆ
เริ่มแรกเลย ผู้มาถามผีบรรพบุรุษจะต้องนำเครื่องเซ่นเช่นเหล้ายา ดอกไม้ อาหารคาวหวาน ขนม แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของคนๆนั้น
เมื่อของเซ่นมาถึงแล้ว ไม่ต้องกำหนดวันล่ะครับ จะอัญเชิญมาเมื่อไหร่ก็ได้ โดยคนเชิญ หรือผู้ติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษ จะหาด้ายฝ้ายสีขาวเส้นยาว แล้วตัดมาให้ได้ประมาณสองคืบ จากนั้นก็มัดข้าวเหนียวเข้ากับปลายด้านหนึ่งของด้าย หลังจากนั้นก็ม้วนรัดอีกด้านหนึ่งของด้ายเข้ากับนิ้ว แล้วก็ให้คนที่มาถามถามว่าอยากรู้เรื่องอะไร คนทำพิธีก็จะถามซ้ำไปอีกรอบว่าจะเป็นอย่างโน้นไหม อย่างนี้ไหม เดาสุ่มกันไปนั่นแหละครับ จนคลำเจอทาง ข้าวเหนียวก็จะแกว่งเป็นลูกตุ้ม เป็นอันว่า ที่เดามานั้นถูกต้อง(ถ้าเดากันนานก็จะเหนื่อย คอแหบคอแห้งไปตามๆกันครับ ออ..แล้วที่น่าตลกคือ ผีบรรพบุรุษก็มีเหนื่อยเหมือนกันนะ พอถามๆไปก็ไม่ตอบเอาเสียดื้อๆอย่างนั้น คุณยายบอกว่า ผีเหนื่อยครับ เหอ เหอ)
และเมื่อเสร็จสิ้นความสงสัยแล้ว คนมาถามก็จะกลับไปทำตามที่ผีบรรพบุรุษบอก เช่น ถ้าของหายก็ไปหาตามตำแหน่งที่ผีบอก หรือโดนผีทัก ก็ต้องเอากระทงไปวางตามจุดที่โดนทักนั่นเอง
ส่วนพิธีกรรมนี้ น้อยนักที่จะได้ยินครับ ถ้าผมไม่เกิดเป็นลูกหลานบ้านนี้ผมก็คงไม่ได้ยิน ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่เผอิญโชคชะตาฟ้าลิขิตให้มาเกิด ผมก็เลยได้เจออะไรดีๆแบบนี้ และยิ่งใกล้ตัวมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องของความเขื่อ ผมจึงไม่กล้าฟันธงลงไปว่า พิธีกรรมนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ผีบรรพบุรุษนั้นลงมาติดต่อกับเราจริงไหม(พูดมากไม่ได้ครับ เดี๋ยวมาหาจริง ผมจะช็อคเอา) แต่ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่ากี่รายต่อกี่รายที่มาหา ล้วนได้รับคำตอบที่ถูกต้องทั้งสิ้น เช่น ของหาย ก็เจอของชิ้นนั้นในตำแหน่งที่ผีบรรพบุรุษบอกเลยทีเดียว หรืออยากเช่นผีทัก พอเอาของไปเซ่น อาการนั้นก็หายไปเลยในทีเดียว ถ้าไม่เรียกว่าน่าสนใจ ผมก็คงเป็นนักเขียนที่ดีไม่ได้แล้วใช่ไหมครับคุณๆ
นี่แหละครับ เรื่องพิธีการแกว่งข้าว ที่ผมตั้งใจเล่าให้ฟังในวันนี้
มาถึงเรื่องหนังสือกันมั่งดีกว่า หนังสือที่ผมจะแนะนำให้ลองหาอ่านในวันนี้เหมาะสมกับคนที่ต้องการจะเป็นนักเขียนมากๆครับ เพราะเป็นหนังสือที่ให้แนงวคิด แค่ผมอ่านเมื่อครู่ ผมก็ได้แนวคิดของนิยายที่เป็นทั้งธีมและพล๊อตไปหลายเรื่องแล้ว หนังสือเล่มนั้นคือ นิทานอีสป 1ตอน มองต่างมุม เรียบเรียงโดยคีรีบูน สนพ.คีรีบูนครับ
นิทานอิสปนั้นเป็นนิทานสั้นๆ แค่หน้าเดียวหรือครึ่งหน้าที่อ่านปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าคนเล่าต้องการสื่ออะไร มีหลายเรื่องในมองต่างมุมนี้สอนในแง่ดีๆของชีวิต แต่เนื่องจากอีสปเป็นนักเล่านิทานเพื่อชีวิตจริงๆ นิทานบางเรื่องจึงค่อนข้างโหดร้าย และขัดแย้งกับคุณธรรมในอุดมคติ ทว่า ความสนุกอยู่ที่ไหน ผมก็ต้องตามไปอ่านที่นั่นอยู่แล้วครับ แน่ล่ะ ผมมีปัญญาคิดเองได้น่าว่าเรื่องไหนดีไม่ดี ไม่ได้เชื่อไปหมดหรอกครับ คนเราอ่านอะไรก็ต้องใช้วิจารณญาณกันหน่อย จริงไหม
ครับ ผมจะลองยกตัวอย่างนิทานสักเรื่องหนึ่งให้ได้ลองอ่านและใช้ความคิดวิเคราะห์กัน เพื่อฝึกปรือสมองให้โลดแล่นอยู่เสมอ นิทานที่จะยกตัวอย่างนี้มีชื่อว่า คำตอบของพระจันทร์ หน้า 57 ขออนุญาตินะคร้าบ
...
พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสุกใสอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงจันทร์สว่างไสวทำให้ทิวเขายาวเหยียดสุดสายตาแลดูสว่างราวกับกลางวัน
นักเดินทางคนหนึ่งกล่าวชื่นชมพระจันทร์ว่า "เจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน! เจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระอาทิตย์เสียอีก พระอาทิตย์ส่องแสงเพียงในเวลากลางวันขณะที่เจ้าต้องส่องแสงในเวลากลางคืน เจ้าทำให้ความมืดกลายเป็นความสว่างท เจ้าเป็นเทพธิดาใจบุญ เป็นความหวังของมนุษยชาติ หากไม่มีเจ้า โลกนี้จะมีแต่ความมืดมน"
ขณะนั้นเอง ขโมยคนหนึ่งซึ่งซุ่มอยู่ที่ลานบ้านหลังหนึ่งก็พูดด้วยท่าทางถมึงทึงกับพระจันทร์ว่า "จงไปให้พ้น เจ้าผีร้าย! หากข้ามีอำนาจสามารถเรียกเมฆดำมาได้ละก็ ข้าจะใช้เมฆดำนั้นห่อเจ้าไว้ให้มิดทีเดียว และจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้ามีโอกาสอวดใบหน้าซีดเซียวของเจ้าที่คอยขัดขวางการทำงานของข้า ข้าขอสาปแช่งเจ้าร้อยครั้งพันครั้ง!"
หลังจากได้ยินความคิดเห็นทั้งสองอย่างซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พระจันทร์ก็พูดค่อยๆว่า "ข้าไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระอาทิตย์ เพราะข้าขอยืมแสงสว่างจากเขา และข้าไม่ใช่ผีร้าย เพราะข้าไม่กีดขวางคนดี ข้าเป็นตัวข้าเอง ข้าเป็นพระจันทร์"
......
ตกลงว่า พระจันทร์ก็คือกระจันทร์ครับ เหมือนผมที่เป็นผม เหมือนคุณๆที่ยังคงเป็นคุณๆ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวตนที่แท้จริงได้เลย
จริงไหมครับ
http://forwriter.com/mysite/forwriter.com/webboard/question.asp?QID=925
:ไนติงเกล:
ก่อนหน้า ต่อไป
|
|