. เหตุเกิดเมื่อตอนไม่ใส่หมวกกันน๊อค และเรื่องสุดช็อคในแผนอำพราง
พยายามจะหาคำที่มันเกี่ยวโยงกันให้เป็นหัวเรื่องมาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายชื่อมันก็ไปด้วยกันไม่ค่อยได้อยู่ดี เอ้าๆๆ ไม่เป็นไร เอาชื่ออย่างนี้ก็ได้สับสนดี งิงิ
วันนี้ตั้งใจจะเล่าหนังสือตั้งแต่ตอนบ่ายสามแล้วล่ะ แต่มีเหตุเผอิญให้กลับบ้านก่อน เลยว่า มานั่งเขียนที่บ้านก็ได้ และระหว่างที่ขี่แมงกะไซด์กลับนั้น ก็คิดไปพลางว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี ก็เหมือนสวรรค์ดลบันดาลให้เกิดเรื่อง เพื่อจะได้เอาเรื่องมาเขียนตามที่ต้องการ
เรื่องที่ว่าเกิดขึ้นตอนผมขี่รถ ปกติผมขี่รถจักรยานยนต์แล้วจะต้องใส่หมวกกันน๊อคเพราะเคยโดนรถชน และไถลครูดไปกับพื้น น่าหวาดเสียวมาก โชคดีที่ตอนนั้นใส่หมวกกันน๊อคไว้ หัวเลยไม่เป็นอะไร แต่ตอนลุกขึ้นมาก็ยังมึนๆ
งั้นเล่าเรื่องนี้ก่อนดีกว่า
วันที่เกิดเหตุนั้นเป็นสักวันในวันจันทร์ถึงศุกร์ เพราะจำได้ว่าไปเรียนหนังสือ และขี่รถกลับบ้าน เวลาที่ขี่รถกลับนั้นเป็นเวลาหัวค่ำ ซึ่งหัวค่ำในฤดูฝนที่เชียงรายนี้นับว่ามืดมาก เส้นทางที่ผมขี่รถนั้น แม้จะเป็นทางหลวง เป็นถนนสายเอเชีย แต่บางช่วงที่ไม่มีบ้านคน เขาก็ไม่ติดไฟกิ่ง ปล่อยให้มันมืดมัวอยู่อย่างนั้น
คืนนั้นผมขี่รถไปใกล้ถึงไฟแดง ที่ตะกร้าหน้ารถมีหนังสือสามก๊กวางอยู่ และด้วยอัตราเร็วที่อีแก่จะพาผมไปได้ ผมก็ค่อยๆคืบคลานไปตามท้องถนนนั้น พอถึงช่วงหนึ่งที่ผมต้องขี่รถข้ามเลน (รถจักรยานยนต์อยู่เลนซ้าย ถ้าจะข้ามยูเทิร์นข้ามเลนทางขวาก่อน) ผมก็มองกระจกหลัง และหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อความปลอดภัย ดูว่ามีรถตามมาหรือเปล่า น่าแปลก ที่ผมไม่เห็นแสงไฟของรถคันใดๆเลย ผมจึงขี่รถข้ามมา แต่จู่ๆ ก็เหมือนฟ้าผ่าเหนือหลังคาบ้าน มีเสียงโครมใหญ่ดังสนั่น แสงไฟสาดจ้าทั้งท้องถนน มือที่จับแฮนด์รถอยุ่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้พยายามเกร็งจนกล้ามเนื้อสั่นก็ไม่อาจควบคุมได้ ล้อหลังรถเริ่มเบี่ยง และทำให้ล้อหน้าเสียหลัก ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีนี้ รถที่ผมขี่อยู่ก็ไถลครูดไปกับท้องถนน เหมือนมีใครเอาเชือกเส้นโตมาลากมันไป ผมเองที่อยู่ติดกับรถก็เลื่อนตามมันไปด้วย เวลาแห่งวิกฤตนั้น หัวใจก็นึกไปถึงความชั่วร้ายเลวทรามที่ตัวเองเคยทำกับพ่อแม่เอาไว้ และคิดในใจว่า ใกล้บ้านแค่นี้แล้ว ใกล้บ้านแค่นี้ ถ้าเราตาย พ่อแม่จะรู้รึเปล่า และถ้าตาย พ่อกับแม่จะเสียใจไหม ความคิดไม่ได้หยุดแค่นั้น หากมันยังใคร่ครวญต่อไปว่า คงไม่เป็นไร เพราะยังมีน้องอยู่ ถึงไม่มีผม พ่อกับแม่ก็มีน้องดูแลยามแก่เฒ่า
จบความคิดภายในเสี้ยววินาทีลงตรงนั้น แล้วผมก็กลิ้งโคล้งๆไปบนพื้นและตกอยู่ข้างทาง และด้วยสันชาติญาณล่ะมั้ง ที่ทำให้ผมรีบลุกขึ้น บอกตัวงเองว่าต้องยืน ไม่อยากนั้น เขาอาจขี่รถทับเราได้ บอกตรงๆเลยครับว่าตอนนั้นกลัวมาก ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่รู้สึกเลย รู้แต่ว่ามันมึนๆชาๆไปหมด และรอบกายนั้นก็มีแต่ความมืดหม่น มีแต่แสงไฟมัวๆของรถคันนั้นที่จอด ผมไม่แน่ใจหรอกครับว่าถ้าผมไม่ลุกขึ้นมา เข้าจะลงมาจอดดูไหม หรือว่าจะเหยียบทับเหมือนในข่าว แต่ผมก็ดีใจที่ว่าอย่างน้อยผมก็รอดชีวิตมาได้
ปาฏิหาริย์ไม่มีจริงหรอกครับ เชื่อผมเถอะ ผ่านวันนั้นมาได้ ผมก็ยังไม่เชื่อปาฏิหาริย์อยู่ดี เพราะถ้าวันนั้นผมไม่เลือกที่จะใส่หมวกกันน๊อคแล้ว ผมว่า วันนี้ผมคงไม่ได้มานั่งโม้อยู่ตรงนี้หรอกครับ
อ่ะ กลับมาเรื่องที่ตั้งใจจะเล่ากันจริงๆดีกว่า เรื่องที่เจอวันนี้เป็นเรื่องเบาๆไม่เครียดครับ และก็เป็นเรื่องการไม่ใส่หมวกกันน๊อคนั่นแหละ
วันนี้ผมรีบไป เลยไม่ทันคว้าหมวกมาใส่ ก็ไปทำงานจนเย็นแหละครับ พอบ่ายสามก็ขี่รถกลับบ้าน ด้วยความที่คุ้นทางดีก็เลยเหลียวซ้ายแลขวาชื่นชมธรรมชาติรอบตัวอย่างที่เคยทำทุกวัน ที่ริมถนน ผมเห็นผีเสื้อตัวใหญ่ ปีกสีเหลืองล้วน มันเหมือนดอกไม้บินได้ ผีเสื้อตัวนั้นบินมาทางผมเรื่อยๆราวกับต้องการมาทักทาย
แต่การทักทายของมันรุนแรงไปหน่อย เพราะทันทีที่มันเฉียดมาใกล้ ร่างหนาของมันก็กระแทกปากผมเข้าเต็มแรง จนผมเจ็บปากไปหมด และคำรามร้องไปอย่างหงุดหงิด
"เดี๋ยวจับกินซะหรอก"
แล้วผีเสื้อน้อยผู้น่าสงสารก็บินโซเซจากไป มันคงไปหาที่รักษาแผลที่ไหนสักแห่งล่ะมั้งครับ
นี่คือคติของเรื่องวันนี้ครับ เวลาขี่รถมอเตอร์ไซด์ โปรดใส่หมวกกันน๊อค เพราะจะได้ไม่โดนผีเสื้อตบปาก
ผมว่า เรามาเข้าเรื่องหนังสือกันเลยดีกว่า
หนังสือที่ผมจะเล่าถึงในวันนี้คือหนังสือเรื่อง แผนอำพราง ... เออ หนังสืออยุ่บนห้องน่ะครับ ขี้เกียจไปเอา และก็จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนแต่ง จำได้แต่ว่า นพ.นพดล เป็นคนแปล ของสำนัหพิมพ์ JJ book ครับ ถ้าจำไม่ผิดนะ
นิยายเรื่องนี้อยู่ในแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน มีเรื่องให้น่าลุ้นอยู่เรื่อยๆ และมีการเผยข้อมูลหลอกให้เราหลงทางได้ตลอด ภาษาที่ผู้แปลใช้ก็งาน แต่แปลกใหม่ และให้ความรู้สึกว่า เป็นญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ใช่ญี่ปุ่นแค่ปก
ส่วนเนื้อหานั้น จะเป็นยังไง ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่งั้นจะหมดสนุกเปล่าๆ ต้องลองไปหามาอ่านเอาเอง แล้วจะรู้ว่า มันสนุกแค่ไหน
แต่มีข้อดีแล้วก็ขอยกข้อเสียให้ด้วย
ข้อเสียคือ ผมรู้ตัวคนร้ายตั้งแต่ครึ่งเรื่องแล้วอ่ะ เฮ้อ...เผอิญเกิดมาฉลาดก็งี้แหละครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
วันนี้เล่าแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวไปดูคุณฟีโยนไม้ก่อนดีกว่า
เอิ้กๆๆ