แสงเทียนแห่งชีวิต และซี.เอส.ลูอิช กับหนังสือ ตู้พิศวง
ผมมักมีทัศนคติแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา
และแต่ละทัศนะของผมก็ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้น บ่อยๆที่เวลาผมจะเขียนหรือจะพูด ผมต้องหยุดชะงักไปก่อนเป็นเวลาช่วงนาทีหนึ่งเพื่อไต่ตรองว่าจะพูดดีหรือไม่ และหลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายความคิด ผมก็ไม่เคยนำออกมาเสนอให้ใครได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านเลย ...เคยทำกับงานเขียนเพียงชิ้นเดียว คือเรียงความส่งอาจารย์ แต่โชคดีที่อาจารย์คนนั้นเป็นอาจารย์ที่ดีมากๆ เป็นอาจารย์ที่ผมจะเรียกว่าครู เป็รคุรุ เป็นผู้ชี้นำความสว่างให้แก่นักเรียนโดยแท้ เพราะเรียงความชิ้นนั้น เป็นเรียงความที่ผมเขียนถึงครูค่อนข้างรุนแรง คือมีทั้งบวกและลบ แต่ครูท่านนี้ก็ไม่ได้โกรธเคืองเลย กลับเห็นว่า ดีด้วยซ้ำ
และด้วยเหตุที่ว่า (อ่านเรื่องของยาขอบที่คุณธาร่าส่งมามากเกินไป ชักติดภาษา) เดือนมิถุนายนนี้ จะมีวันไหว้ครู ดังนั้น ผมก็เลยจะเขียนถึงครูในวันนี้
ในชีวิตเรามีครูเยอะแยะมากมาย แต่ใครที่เป็นครูที่แท้จริง
ครูที่แท้จริงในความหมายของผมคืออะไร ครูที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เพียงผู้พร่ำสอนวิทยาความรู้อย่างเดียว แต่เป็นผู้แนะแนวทางชีวิต เป็นไม้บอกทางและเป็นแสงไฟในถ้ำมืด ในชีวิตเราจะได้เจอครูแบบนี้ไม่มากนักหรอกครับ ถ้ารุ่นเก่าๆผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ผมขอท้าเลยเอ้า ครูคนหนึ่งอาจเป็นครูที่แท้จริงของลูกศิษย์คนหนึ่งได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจเป็นครูที่แท้จริงให้ลูกศิษย์อีกคนได้ มันมีปัจจัยอะไรหลายๆอย่างครับ อย่างเช่นบุญเก่าในชาติที่แล้วที่ทำให้มาเกื้อหนุนกัน ลักษณะนิสัยที่ทำให้ท่านเอ็นดูหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น ข้อนี้ผมไม่ได้ดูหมิ่นวิชาชีพครูนะครับ ผมแค่จะบอกว่า คนๆหนึ่ง จะได้เจอครูที่แท้จริงของชีวิตเพียงไม่กี่คนเท่านั้น (ผมยังมีครูที่ผมเกลียดในดวงใจเลย เออ...ฮ่า ฮ่า)
ในชีวิตผม ผมมีครูที่แท้จริงแค่ 1 2 3 4 สี่คนครับ ผมบอกตามตรงเลยว่า ครูที่เข้าสโลแกน แสงเทียนแห่งชีวิตของผมมีแค่สี่คน ในขณะที่คณะครูผู้รุมยัดเยียดความรู้ให้ผมมีราวๆ...เกือบร้อยแล้วมั้ง ผมเปลี่ยนโรงเรียนบ่อย
ครูสี่คนนี้ ก็แบ่งไปตามภาคชีวิตวัยเรียนของผมแหละครับ ผมจะสาธยายให้ฟังต่อไป
ครูคนแรกของผม เป็นครูผู้หญิง เป็นครูสอนเด็กวัยประถม ผมเจอครูท่านนี้เมื่อตอนอยู่ป.1 และป.2 ครูคนนี้ใจดีมากๆ และก็เป็นคนที่จับมือให้ผมเขียนหนังสือ จนผมเขียนหนังสือเป็น ...แม้ลายมือจะไม่ค่อยสวยก็เหอะ ครูท่านนี้ เป็นผู้บุกเบิกสติปัญญาของเด็กประหลาด(ผม)ให้โลดแล่นก้าวหน้า วีรกรรมของครูท่านนี้ไม่มีอะไรที่ผมจะเก็บมาใส่ใจมากนัก แต่ผมฝังใจ และเทิดทูนครูท่านนี้เป็นที่สุด
ครูท่านที่สอง...ได้เจอเมื่อคราวที่ผมย้ายโรงเรียนขณะที่ผมกำลังขึ้นป.4 ครูท่านนี้เป็นครูที่มีความเมตตาอารีแก่นักเรียนอย่างมาก และใครๆต่างก็รักท่านด้วยความจริงใจ ท่านสอนวิชาภาษาไทยควบคู่ไปกับการสอนพุทธศาสนา และครูทานนี้แหละ ที่ได้ถ่ายทอดลักษณะนิสัยใจเย็นประดุจน้ำมาให้ผม
ครูท่านที่สาม ท่านนี้ก็ยังคงเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยอีกเหมือนกัน แต่ออกจะสอนในแนวโหด มันส์ ฮา สิ่งที่ผมชอบก็คือ ครูท่านนี้ชอบให้นักเรียนได้เสนอความคิดเห็น และทำให้จินตนาการของเราฟุ้งไปทั่วห้องเรียน ผมชอบครับ...อะไรที่ออกจะเพ้อเจ้อนี่ผมชอบนะ และผมก็ได้รับเอานิสัย ใจกล้ามาจากครูท่านนี้นี่เอง
ครูท่านที่สี่ และถือเป็นท่านสุดท้าย เป็นครูผู้ชายครับ แก่แล้วนะ แต่วิสัยทัศน์ท่านออกจะกว้างไกล ผมไม่ได้คุยกับอาจารย์คนนี้เท่าไหร่(อันที่จริงก็เกือบทุกคน เพราะผมไม่ชอบเข้าหาครู) แต่เวลาท่านมาแสดงแนวคิด ก็เหมือนกับว่า ท่านได้ตอกย้ำให้ผมเชื่อมั่นในเส้นทางที่ผมเลือกเดินมากขึ้น
"ทำในสิ่งที่เราชอบ เรารัก ต้องดูว่าอะไรคือตัวเรา แล้วก็เลือกตามนั้น แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร อะไรคือตัวเรา เราก็ต้องคนหากันต่อไป"
หมดแล้วครับ ครูของผม อาจไม่มีเรื่องราวให้ลึกซึ้งชวนประทับใจ แต่ครูทั้งสี่ท่านนี้ก็เป็นที่เคารพอย่างยิ่ง และเมื่อใดก็ตามที่ผมมีปัญหาหรือต้องการกำลังใจก็นึกถึงหน้าพวกท่าน ผมก็ได้กำลังใจกลับคืนมาแล้วครับ
ว่าแต่...แล้วครูของคนอื่นๆล่ะ เป็นยังไงกันบ้าง ได้เจอครูที่แท้จริงแล้วหรือยังครับ
วันนี้มาว่าด้วยเรื่องหนังสือกันดีกว่า หนังสือที่ผมจะเล่าสู่กันฟังในวันนี้คือหนังสือของซี.เอส. ลูอิส เรื่อง ตู้พิศวง แปลโดย คุณสุมนา บุณยะรัตเวช เป็นหนังสือเด็กที่ดีมากเล่มหนึ่ง และนักเขียนแถบตะวันตกเขาก็ยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นต้นแบบของนิยายหลายต่อหลายเรื่องในปัจจุบัน(แฮร์รี่ พอตเตอร์ก็ใช่นะ) ผมเองลองอ่านดูแล้ว ขอบอกตามตรงเลยครับว่า มันไม่ได้สนุกขนาดนั้น อาจเป็นเพราะวัฒนธรรม ประเพณี และการโตมาของผม ไม่ได้ช่วยทำให้ผมเห็นภาพในหนังสือเล่มนนี้ก็ได้ ผมเลยอ่านไปก็เบื่อไป แต่ถึงอย่างนั้น อาการเบื่อก็เป็นเพียงในระยะต้นๆ เพราะเมื่อได้อ่านต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ผมก็เริ่มติด และเริ่มเห็นตัวละครต่างๆออกมาโลดแล่นอยู่บนน้ากระดาษ และในขณะเดียวกัน ผมก็ได้เห็นกลวิธีการประพันธ์ที่สุดยอดชนิดที่ว่า ถ้าไม่ได้อ่านแล้วจะเสียดาย(สำหรับแนวแฟนตาซี)
หนึ่งในกลวิธีการประพันธ์ที่ซี.เอส. ลูอิชทำได้ดีมากๆอย่างหนึ่งคือการอุปมาอุปไมย เขาสามารถสร้างมโนภาพให้เกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายด้วยตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น ผมจะยกตัวอย่างให้ดู
"ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ผู้อ่านคงจะเคยเห็นคนจุดๆผด้วยวิธีจ่อไม้ขีดไฟกับกระดาษหนังสือพิม์ที่วางบนกองฟืนในเตาผิง ทีแรกก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็จะเห็นว่ามีเปลวไฟนิดเดียวลามอยู่ตามขอบกระดาษ ฉันใดก็ฉันนั้น หลังจากอัสลานหายใจรดสิงโตหินแล้ว ตอนแรกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วประกายสีทองเล็กๆก็เริ่มวิ่งไปตามหลังหินสีขาว จากนั้นค่อยๆลามกว้างจนทั่วตัว เช่นเดียวกับเปลวไฟที่ลามไหม้ไฟทั่วแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์ และแล้ว ทั้งๆที่หลังของมันยังเป็นหินขาว สิงโตนั้นก็สะบัดแผงคอ รอยย่นแข็งทื่อที่เป็นหินในตอนแรกก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นขนพลิ้ว มันอ้าปากใหญ่ สีแดงกว้างซึ่งบัดนี้อุ่น มีชีวิต ขึ้นหาวยืดยาว บัดนี้หลังของมันฟื้นคืนชีวิตแล้ว มันยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นเกา เมื่อเห็นอัสลาน สิงโตตัวนี้ก็กระโจนเข้าหา มันวิ่งวนรอบๆตัวเขาพลางส่งเสียงอย่างดีใจ แล้วกระโจนขึ้นเลียหน้าอัสลาน"
นี่คือตัวอย่าง ใครไม่ชอบผมชอบ ใครว่าไม่ดีผมว่าดี ดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้นักอยากเขียนทุกท่านโดยเฉพาะคนที่จะเขียนนิยายแฟนตาซี ให้ลองหาเรื่องนี้มาอ่าน และคุณจะได้อะไรมากมายอย่างที่คาดไม่ถึง(เพราะจะได้มาโดยไม่รู้ตัว แต่มันจะซึมอยู่ในใจ)
ปล. เรื่องของฮอว์กิ้ง รออีกนิดส์.....เพราะงว่าตอนนี้ให้เพื่อนยืมหนังสือไปอ่าน แล้วจะเอามาวิเคราะห์ไปทีละบทนะครับ
ปล. 2 คุณยุ้ย(เก่า...แปลกๆแหะ) ได้รับมอบหมายจากคุณะร่าแล้ว อย่าลืมนะครับ คุณพ่อขายาวน่ะ มาเล่าให้คนอื่นอ่านซะดีๆ
ปล. 3 นิยายบาดาล...ตอนนี้ผมเปิดเรียนแล้วนะ อาทิตยืหนึ่งว่างวันเดียวเอง คิดว่าอย่างน้อยอาทิตย์ละตอนน่าจะได้มั้ง
ไปละครับ
http://forwriter.com/mysite/forwriter.com/webboard/question.asp?QID=1111
:ไนติงเกล:
ก่อนหน้า ต่อไป
|
|