ตุ๊กแกพูดมากกับประวัติย่อของกาลเวลา บทที่ 1
เดินวนหน้าคอมพ์อยู่สามรอบ เพื่อนึกว่าวันนี้จะเล่าเรื่องอะไรดี พอดีเห็นจิ้งจกเลยนึกถึงตุ๊กแกที่บ้าน ตุ๊กแก สัตว์ที่ผมทั้งเกลียดทั้งกลัวนั่นแหละครับ แต่วันนี้ผมจะเล่าถึงมัน
ชีวิตผมคลุกคลีกับตุ๊กแกมาตั้งแต่สมัยที่ผมยังจำความไม่ได้เลยด้วยซ้ำครับ พูดอย่างนี้หลายคนอาจจะไม่เชื่อ
แต่ผมเชื่อครับ เพราะเรื่องนี้แม่ผมเป็นคนเล่า แล้วถ้าไม่เชื่อแม่จะไปเชื่อใครใช่ไหมครับ
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นผมยังเด็กมาก มีอยู่วันหนึ่ง ตุ๊กแกเกิดไปท่องสุภาษิต - คำพังเพย ที่ว่า สี่ตีนยังรู้พลาด
นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เข้า เจ้าตุ๊กแกเลยอยากพิสูจน์ว่าเป็นจริงไหมและด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวตุ๊กแก
เจ้าตุ๊กแกตัวนั้น จึงกระโดดออกจากฝาผนังมาเกาะผมเข้า คุณๆลองนึกภาพตามผมดูสิครับ เจ้าตุ๊กแกที่มีลำตัวที่จุดแต้มลายหลากสีที่มักยืนพื้นด้วยสีเขียวโรยแป้งเด็กทับซึ่งเกาะอยู่บนฝาบ้านนั้น
ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดไปไว้ที่ขา จากนั้นมันก็ย่อขาลง เอาตัวและท้องแนบชิดกับฝาบ้านปูนเย็นๆ
แล้วถีบตัวเองออกมา ร่างป้อมๆ หัวแหลมๆ และหางที่มีปุ่มแหลมๆเหมือนหนาม กำลังร่วงละลิ่วลงมาตาม
แรงโน้มถ่วงของโลก แล้วก็โปะ เกาะเข้ากับเด็กตัวเล็กๆ
ตัวอ้วนๆ หน้าตาใส บ๊องแบ๊วเป็นที่สุด
โอ้...ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายอะไรขนาดนี้ ผมว่าวันนั้นผมคงแหกปากร้องสุดพลังเสียงโซปราโน
ขนาดแก้วไวน์แตกได้เลยล่ะมั้งครับ
นี่จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า เวลาเดินไปไหน อย่าอยู่ใกล้ตุ๊กแก และอย่าเอาแก้วที่ไหนไปไว้
ใกล้นักร้องโอเปร่า
ตุ๊กแกตัวนั้นจะมีชะตากรรมอย่างไรผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่คิดว่าคงมีแค่สองทางคือหนึ่ง แค่โดย
ไล่ออกจากบ้าน และสอง ถูกวิสามัญฆาตกรรมไปเรียบร้อย
แต่ถึงมันไม่ตายวันนั้น จนถึงวันนี้ มันก็คงตายไปแล้วล่ะครับ
มาเล่าถึงตุ๊กแกตัวล่าสุดดีกว่า หลังจากผมพบเจอตุ๊กแกมาหลายต่อหลายตัว ผมยังไม่เคยเห็นตุ๊กแกตัวไหนใหญ่เท่าตุ๊กแกตัวที่เฝ้าหน้าบ้านผมนี่เลยครับ ผมล่ะอยากจะเชื่อจริงๆเลยว่า
มันเป็นตุ๊กแกร้อยปี
เจ้าตุ๊กแกตัวนี้มีสีเหมือนตุ๊กแกทั่วๆไปแหละครับ คือยืนพื้นสีตัวด้วยสีเขียวโรยแป้งเด็กทับ
(อยากรู้ว่าเป็นยังไงลองไปทดลองทำดูเอาเอง) และค่อนข้างจะคล้ำหน่อยๆ เนื่องด้วยไม่เคยใช้ไวทเทนนิ่งมาก่อน
เจ้าตุ๊กแกตัวนี้จะมีที่ประจำอยู่ตรงเหนือประตูบ้านซึ่งเป็นประตูเหล็กแบบลากขึ้นลากลง มันก็ซุกตัวอยู่ตรงนั้นและคอยออกมาเป็นบางวันที่มีแมลงเยอะๆ และในบางคืนที่มันหิวจัด
ผมก็ได้ยินเสียงหวีดๆแหลมๆ เลยเดาว่ามันอาจกินจิ้งจกทั้งเป็นเข้าไป และนั่นก็ทำให้ผมเสียงสันหลังวาบว่ามันจะมาเยี่ยมผมถึงในห้องนอนรึเปล่า
แต่เจ้าตุ๊กแกนี้ได้รับฉายาจากทางบ้านอย่างหนึ่งว่า เจ้าตุ๊กแกพูดมากครับ เหตุผลที่ได้ฉายาว่าตุ๊กแกพูดมากนี้เป็นเพราะว่าเวลาใดก็ตามที่มีคนสนทนากันในบ้าน
เจ้าตุ๊กแกก็จะร้องโตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โต๊ะแก โต๊ะแก โต๊ะแก โต๊ะแก.....
ถือเป้นการร่วมสนทนาด้วย (อ้าว! ตอนนี้ก็ร่วมร้องด้วยอีกเนี่ยะ เออๆๆ ขอเอาเรื่องมาเขียนหน่อยไม่ได้เหรอไง)
แล้วพอทุกคนหันไปบอกว่า เออรู้ว่าเหงา เลยอยากพูดด้วยใช่ไหมล่ะ เจ้าตุ๊กแก้เงียบไปเลย เพราะอายที่ถูกแซว
และเมื่อใดก็ตามที่คนในบ้านออกไปทำธุระกันหมด พอกลับมาถึงบ้าน เจ้าตุ๊กแกก็จะร้องทักด้วยเสียง
อันเป็นเอกลักษณ์ว่า
โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โต๊ะแก โต๊ะแก โต๊ะแก โต๊ะแก.....
ทุกคนก็จะหันไปบอกเจ้าตุ๊กแกว่า เออ... กลับมาแล้ว ขอบใจที่เฝ้าบ้านให้
สรุปว่าบ้านผมไม่ให้หมาเฝ้าครับ ให้คุณตุ๊กเขาเฝ้าให้แทน
นอกจากความพยายามที่พูดกับคนแล้ว เจ้าตุ๊กแกตัวนี้ยังเป็นโรคหวัดบ่อยๆด้วย เพราะเวลาที่มันร้อง
ในบางครั้ง มันก็จะสำลัก เกิดเป็นเสียง
โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โต๊ะแอะ แอะ แอะ
หรือ
โตะๆๆๆๆๆๆๆ โอะๆๆๆ
นี่ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ตุ๊กแกสำลัก
และด้วยความเหนื่อยล้าในบางครั้ง มันก็จะร้องแค่ท่อนแรก คือ
โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ โตะๆๆๆๆๆๆๆ...
แล้วก็เงียบไป ไม่มีอะไรอีก ซึ่งก็นับว่าเป็นตุ๊กแกอารมณ์ศิลปินจริงๆ
จบเรื่องตุ๊กแกดีกว่านะครับ น่ากลัวออก มาต่อเรื่องหนังสือดีกว่า
หนังสือที่ผมจะเขียนถึงวันนี้คือหนังสือเรื่อง ประวัติย่อของกาลเวลา โดย สตีเว่น ฮอวกิ้ง
แปลโดย คุณรอฮีม ปรามาท
ของสำนักพิมพ์ มติชน ราคา158 บาท
หนังสือเล่มนี้จะอธิบายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกำเนิดจักรวาล การทำนายจุดจบ
การขยายตัวของจักรวาล และเรื่องเกี่ยวกับกาลเวลา
หนังสือเล่มนนี้แบ่งออกเป็นสิบสองบท สิบสองส่วน ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายไปเป็นบทๆก็แล้วกันนะครับ
เพื่อจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น
แต่หากอธิบายผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย
บทที่หนึ่งของหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง เอกภพตามความคิดของเรา ก็เล่าถึงรูปแบบจำลองของโลก
ที่มีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในยุคเริ่มแรกนั้น ผู้คนโดยส่วนมากเชื่อว่าโลกแบน
โลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และจักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นจากพระเจ้า ทั้งนี้เป็นเพราะ
มีเรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเหล่านักบวชต้องการให้คนนับถือพระเจ้ามากๆ
เพราะมเอคนนับถือมาก ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าก็จะมีอำนาจในการปกครองมนุษย์
แต่ก็ใช่ว่าบุคคลทั้งหมดจะเห็นด้วย ยังมีกลุ่มคนอีกพวกที่เชื่อว่า จักรวาลและโลกดำรงอยู่มานานแล้ว
และจะคงอยู่ตลอดไปนับนิรันดร์ สองแกนความคิดนี้ถือเป็นสองแกนที่สำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อมีผู้เสนอแนวคิดใหม่ว่า โลกนั้นกลม โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล และจักรวาลมีจุดกำเนิด ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นหรือดำรงมานานแล้วอย่างที่ทุกๆคนคิดกัน หลายต่อหลายคนจึงต่อต้าน จนกระทั่งเมื่อกาลิเลโอได้คิดทฤษฎีและรวบรวมหลักฐานมาเพียงพอ ความเชื่อเกี่ยวกับโลก
และจักรวาลก็เปลี่ยนไป และมีผู้คนหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น ทฤษฎีที่ใช้ทำนายจักรวาล
ในขณะนี้มีอยู่สองทฤษฎีหลักคือ ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของ ไอน์สไตน์ กับทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตั้มของ นิวตั้น และยังงมีความเพียรพยายามที่จะเอาทฤษฎีสองบทนี้มารวมเป็นทฤษฎีเดียว เพื่อที่จะใช้ทนายจักรวาลทั้งหมด
แต่การจะเอาทฤษฎีทั้งสองบทมารวมกันเป็นเรื่องยาก เพราะมีข้อจำกัดและปัจจัยหลายๆอย่าง
ซึ่ง ผมจะได้กล่าวถึงในบทต่อๆไป วันนี้ผมจบบทที่หนึ่งก่อนแล้วกัน หวังว่าคงจะไม่งงกันนะครับ
http://forwriter.com/mysite/forwriter.com/webboard/question.asp?QID=1390
ก่อนหน้า ต่อไป