ต่างๆ นานา
 
เรื่องสั้น

 

 

"เจ้าหนูแฮมสเตอร์ท่องโลก"
( กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย)
20/02/48

 

21-26 ก.พ 48

พรุ่งนี้แล้วที่เนสต้องเดินทางไปประเทศออสเตรีย (ไปกับ NOKIA) ข อบคุณที่นายกรุณาส่งเราไปเป็นตัวแทน (เพราะต้องไป trip สเปนของ M-link เอง) ทุกคนตื่นเต้นกับเนสกันใหญ่ แต่ก็ไม่อยากทำตัวตื่นเต้นให้มากนัก (เพราะเคยวืดทำ passport เก้อทีละตอนไปฮาวายและญี่ปุ่น) เพราะยังไม่อยากปักใจเชื่อจนกว่าเอกสารต่างๆ และกำหนดการเดินทางจะเรียบร้อย พูดแล้วก็โชคดีที่สุด ไปพักร้อนต่างประเทศ (7 วันเต็มๆที่ไม่ต้องทำงาน )ทิ้งปัญหาทุกอย่างที่กำลังคิดไม่ตกอยู่ตอนนี้ (ไม่รู้จะถึงเป้าหรือเปล่า) แล้วก็ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายเที่ยวให้สนุกไปเลย (สะใจมากที่ไม่ต้องรับสายลูกค้า ฮ่าๆๆๆๆๆ) กลับมาก็เงินเดือนออกพอดี อิๆๆ ! ให้ senia ช่วยขายแทนไปก่อน แต่ก็นะ ! กระเป๋าเบาไปเยอะเตรียมของเดินทางพร้อม Pocket money ก็เป็นหมื่นเลยนะ เงินเก็บก็ร่อยหรอ เอาน่า ! ประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ตามห้างสรรพสินค้า แล้วจะถ่ายรูปมาฝากนะ

ขั้นตอนการเตรียมการ

เนสต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของพี่บอลมาจัดเตรียมของต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ และที่ขาดไม่ได้คือ Adapter เพราะ voltage ที่โน่นกับบ้านเราไม่เท่ากัน เอาไปเผื่อก่อนไง รวมทั้งเช็คสภาพอากาศด้วย เพราะเนสจะค่อนข้าง sensitive กับอากาศเย็นเดี๋ยวไม่สบายแล้วเนสก็ไม่ลืมที่จะพกยาไปด้วย

ตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อนอ้าว (เพราะเป็นช่วงปลายเดือน ก.พ แล้ว) แต่พรุ่งนี้ต้องเดินทางข้ามไปอีกซีกโลกเพื่อพบกับอากาศติดลบ หิมะตก ว้าว ! อะไรจะน่าตื่นเต้นปานนั้น แต่เราก็พยายามทำเฉย ๆ ไว้ก่อน ทำให้เป็นเรื่องปกติจะได้ไม่พลาด เอาล่ะ ตอนนี้ เตรียมตัวเข้านอน แล้วจะเล่าให้ฟังต่อนะ

.

21/2/48 (Novotel hotel in Viena ,Wein) (ตอนที่บันทึก)

วันนี้ต้องไปทำงานตามปกติ เพราะทางทัวว์นัดไว้ 21.30 แต่ดิชั้นก็ยังใจเย็นค่ะ จนถึง 5 โมงครึ่งพี่ติ๊กไล่ให้กลับนั่นแหละ ถึงได้แจ้นออกมา กว่าจะซื้อข้าว ไปรับพี่บอลกลับห้องก็ทุ่มนึงพอดี ดิชั้นก็ร๊กมากเลย เพราะต้องอาบน้ำ สระผม กินข้าวก่อน ด้วยกลัวจะไม่ทัน จนทำให้ลืมความตื่นเต้นไปเลย แต่พี่บอลก็มาส่งก่อนเวลาเสียอีก เพราะขึ้นโทว์เวย์มา เดินเหรอ ๆ หราๆ กันอยู่ 2 คนพี่น้อง และก็มาเจอพี่ติ๋วพอดี เลยได้เพื่อน พี่ติ๋วเลยพาไป

โหลดกระเป๋ารับตั๋วจากเจ้าหน้าที่ Nokia แ ละ Passport แ ละเดินไปรอที่ประตู 53 เที่ยวบิน OS 026 เนสนั่งรอตั้งแต่ 21.00 ถึง 23.30 แต่รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วมาก ๆ ตื่นเต้นที่กำลังจะได้ขึ้นเครื่องบิน และภูมิใจในตัวเองที่สุดที่โชคดีได้มีวันนี้จนได้ พอได้เรียกชื่อเที่ยวบินนี้ ก็เดินตามพี่ติ๋ว ต้อยๆ แต่ก็พลัดกันจนได้ เจอเจ้าหน้าที่

ออสเตรียตรวจ Passport แ ละ Visa ก็หายใจไม่ทั่วท้องกลัวเค้าไม่ให้ผ่าน แล้วก็เดินตามทางยาวมาเรื่อย ก็มองไม่เห็นพี่ติ๋วซักที (ทำไมเดินเร็วอย่างนี้นะ) จนกระทั่งสุดทางเดิน อ้าว มันขึ้นเครื่องแล้วนี่หว่า ทำไมมีแต่ฝรั่ง คนไทยหายไปไหนหมด (โถ ! นังน้อย มึงจะบินไปเวียนนาไมใช่หรือ จะให้เจ้าหน้าที่คนไทยรอมึงทำป๊ะอะไร) กะจะเดินหันหลังซะแล้ว ว่ามาผิดทางแน่ๆ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เพราะมีฝรั่งเดินตามหลังมาเพียบเลยจนกระทั่งถึงหน้าประตูเครื่อง สจ๊วตก็พูดเป็นภาษาอังกฤษมา ชั้นก็ทำมาดดีเฉยๆนิ่งๆ (เพราะฟังไม่ทัน) จนเค้าถามซ้ำอีกครั้ง พร้อมทั้งแอร์โฮสเตสทำท่าประกอบด้วย Bording part please ! อ้อ ดิชั้นไปยื่น passport กับ Visa ใ ห้เค้าไปทำไมกันนะ ด้วยมาดดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ชั้นก็ทำท่า Sorry! ทำลืมหยิบให้เค้าแต่สว๊วตกับแอร์ก็น่ารักมาก เข้าใจความเอ๋อ ของชั้น แล้วบอกว่า It's not a problems. แล้วก็เดินไปนั่งประจำที่ หัวใจก็พองโตขึ้นมาทันที ชั้นจะได้ขึ้นเครื่องไปต่างประเทศแล้ว

ชั้นประหยัดนี่ค่อนข้างแออัด และคับแคบพอสมควร พนักพิงก็เอนไปข้างหลังได้นิดเดียว เมื่อยคอมาก คนส่วนใหญ่ที่ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นชาวออสเตรียเกินครึ่ง และมารยาทไม่ค่อยสุภาพมากนัก (คนผิวดำ) ตอนแรกที่เครื่องเริ่มออก กะว่าต้องหาทัวว์ให้พ่อกับแม่บินไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้เลย แต่เอาเข้าจริงอย่าเลย เพราะเมื่อยสุดๆ พ่อกะแม่ต้องขอบายแน่นอน พอเครื่องเริ่มเชิดขึ้นจากพื้นดิน โอ้โห ! สนุกมาก อยากให้มันขึ้นอย่างนี้หลาย ๆ รอบจังเลย เสียวท้องดี ไม่น่ามีอะไรเมาได้เลย นิ่มกว่ารถบัสหลายเท่า(แต่รถบัสสบายกว่าเยอะ) พอเครื่องขึ้นสักพักแอร์กับสจ๊วตก็มาเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม(ตามตำราที่อ่านมาเป๊ะ)ดิชั้นก็ Speak English สบายเลย เพราะคอยตอบแต่ Yes or No,No;thanks เท่านั้น ฮิๆ

27/2/48 (วันที่บันทึก)

พอเสิร์ฟอาหารเสร็จก็ประมาณเกือบตีหนึ่งครึ่ง แล้วก็ง่วงมาก และตอนนี้หน้าจอตรงเบาะหน้าขึ้นว่ากำลังอยู่แถบๆคาบสมุทรอินเดีย ฝนตกหนัก ทรรศนะวิสัยค่อนข้างแย่ ทางกัปตันได้ประกาศให้รัดเข็มขัด(ฟังไม่ออกเลย เพราะพูดภาษาท้องถิ่น อังกฤษก็เป็นสำเนียงเค้าด้วย สังเกตจากสัญญาณไฟเอา) และเครื่องก็ตกหลุมอากาศโคลงเคลงจนเสียวท้อง แต่เราก็รู้สึกสนุก และคิดว่ามันเป็นธรรมดาของการขึ้นเครื่องบิน แต่รู้มั๊ยว่าลูกทัวว์เค้าฮือฮากันมาก หลังจากเครื่องลงก็รู้ว่า ที่เค้านั่งๆกันมาไม่เคยตกหลุมอากาศและเครื่องโคลงเคลงมากขนาดนี้ และที่สำคัญ มันคือเลาด้าแอร์ที่เคยตกที่สุพรรณ เนื่องจากฝนตกหนักและทรรศนะวิสัยแย่อย่างนี้แหละ คนอื่นเค้ากลัวกันมาก แต่ด้วยความไม่รู้น่ะค่ะ ก็เลยสนุกสนานอยู่คนเดียว และอดที่จะหุบยิ้มไม่ได้เลย เวลาเครื่องขึ้น รู้สึกว่ากัปตันเก่งมากๆ ประทับใจจริงๆ หลังจากนั้นก็หลับแบบเมื่อยสุดๆ จนกระทั่งมาถึงกรุงเวียนนา ใช้เวลาประมาณ 11 ช.มได้ เนสก็พร้อมรบอยู่แล้ว เตรียมหมวก ถุงมือ และเสื้อโค้ชเรียบร้อย ตอนนี้เนสไม่รู้จักใครในทัวว์เลย เห็นหน้าผ่านๆ บ้างแต่ไม่กล้าทัก ส่วนพี่ติ๋วทุกคนคงนึกภาพอาจารย์แม่ออกนะ เป็นผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นโสดจริง ๆ แห้งแล้ง ไร้เสน่ห์ และชีวิตอะไรจะเป็นทางตรงอย่างนั้น เอาไว้ค่อยเม้าท์หลังจากได้ใช้ชีวิตในออสเตรียด้วยกัน 7 วัน แล้วกันนะ หลังจากลงเครื่องก็ผ่าน Immigration และขึ้นรถทัวว์ที่สนามบิน หัวหน้าทัวว์คือพี่เปี๊ยก แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ Nokia คือคุณดานินทร์และคุณแจ๊ส ซึ่งเราจะได้มารู้จักลูกทัวว์คนอื่นๆด้วยใน Trip นี้

1/3/48 (วันที่บันทึก)

เมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบิน ณ กรุงเวียนนา เวลาประมาณ 5.15 am และเดินลงมาจากเครื่องก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของอุณหภูมิติดลบ ช่างน่าประทับใจจริงๆ เนสอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพที่หิมะตกเก็บไว้ ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้เลย ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสเห็นหิมะตกในวัยเพียงเท่านี้(คิดว่าคงทำงานจนแก่กว่าจะเก็บเงินมาเที่ยวได้) ง่วงก็ง่วง เกร็งก็เกร็ง เพราะไม่รู้จักใครเลย แถมมากับลูกค้าที่ตัวเองดูแลอีกต่างหาก ทำตัวไม่ถูกจะสนุกมั๊ยเนี่ย ยิ่งมากับพี่ติ๋วก็หนาว ๆ ร้อนๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นคู่หูกันรอดมั๊ย Trip นี้ แต่ก็เป็นเพื่อนติ๋วที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียวนะ ขอบอก

แว๊บแรกตอนถึงที่เวียนนา ก็เห็นคนเค้าเรียกคุณอนุชา เอ ! จัสมินนี่หว่า เพิ่งสั่งของเราเมื่อเช้า มากับเค้าด้วยเหรอ จะเข้าไปทักดีมั๊ย แถมอยู่แก๊งค์เดียวกับคุณปุ๊กขาวีนอันเลื่องชื่อจากท็อปโซนิคอีกต่างหาก ไหนจะพี่อ้อย(เมียตาขจรศึกอันไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับเราเท่าไหร่ หมายถึงเฮียจอนนะ) โอย ตายแน่ชั้น เที่ยวไม่สนุกแหง ๆ เอาวะ !! เป็นไงเป็นกัน เดินเข้าไปทักหน่อยแล้วกัน ถือโอกาสแนะนำตัวไปเลย พี่อนุชาเค้าก็ดูเรียบร้อยดี ได้ข่าวว่าน่ารัก คงไม่ดุ พี่เค้าก็งงๆ เวลาเข้าไปสวัสดี แต่ก็ OK รู้กันหมดแล้วนะว่าใครเป็นใคร

พอหลังจากนั้นเค้าก็พาไปที่พระราชวังเชินบรุน(คล้ายแวซายที่ฝรั่งเศสนั่นแหละ) มีทั้งหมด1,141 ห้องและมีห้องครัวถึง 40 หรือ 41 ห้องนี่แหละ จำไม่ได้ และหญิงในหน้าประวัติศาสตร์ของที่นี่ก็คือ พระนางมาเรีย เทเรซ่าร์ผู้เรืองอำนาจสูงสุด ในสมัยโรมัน(มั้ง) มีลูกถึง 16 คนแล้วขยายอาณาเขตไปไกลถึง เชคฯ โรมาเนีย และบางส่วนของบัลกาเรีย ฯลฯ โดยมีสามีเป็นเจ้าชายชาวฝรั่งเศส รูปงาม แต่ No power และไม่ค่อยมีทรัพย์สมบัติติดตัวสักเท่าไหร่ ก็คนมันรักอะนะ เค้าก็แต่งงานกัน โดยพระนางมาเรีย เทเรซ่าร์ ทรงเป็นผู้นำครอบครัว จะว่าไปแล้วเค้าก็อยู่กัน Happy จนตายจากกันไปเลยทีเดียว และที่นี่ก็มีไกด์ท้องถิ่น เธอเป็นชาวออสเตรียชื่อ

“ ไซบีน่า ” แต่พูดอังกฤษชัดจัง ฟังรู้เรื่องทุกคำเลยล่ะ หลังจากนั้นก็พาไปทานข้าวกลางวัน เป็นอาหารจีน ไอ้เราก็คิดว่าเป็นเป็ดย่าง กระเพาะปลา ติ่มซำ ที่ไหนได้ ซุปจืดๆ กับผัดเปรี้ยวหวาน (ที่เราเกลียดสุดๆ) หมูทอด ผัดผัก และส้ม (และเป็นเยี่ยงนี้ตลอด Trip พ ะยะค่ะ) หลังจากนั้นเค้าก็พาไป Shopping พี่ติ๋วเลยซื้อเสื้อโค้ชมาได้ 1 ตัวระหว่างเดินหนาวจะตาย ต้องเดินแวะร้านนั้น ออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลานัด อาศัย Heater ช่วยคลายหนาว อ้อ ! เกือบลืมไป ก่อนพาไปช็อป พี่เปี๊ยกพาไปชมโบสถ์ คาร์ปูซินส์ แต่เจอพวกคนไม่ดีจะมาสั่งไม่ให้พวกเราพูดในโบสถ์ แถมสั่งให้ถอดหมวกอีกต่างหาก คนอื่นยังใส่กันได้เลย พวกเหยียดผิว เกลียดจริงๆ เลย หลังจากนั้นก็ได้ออกมา ช็อปกัน ตอนเย็นก็กินอาหารจีนอย่างที่บอก แล้วก็กลับที่พัก( ที่โรงแรม NOVOTEL ) โ รงแรมที่นี่ไม่ใหญ่มาก ประมาณ 3ดาวบ้านเรา อากาศข้างนอกหนาวมาก แต่ข้างในมีเครื่องทำน้ำอุ่นและ Heater ห ายหนาวไปเยอะ เราต่างคนต่างอาบน้ำและแบ่งอาณาเขตเรียบร้อย คุยกับพี่ติ๋วไว้แล้วว่า ไม่กรนนะ และขอตัวไปนั่งเบ่งพลัง (Got a poo poo ) ส ำเร็จโทษไป 1 ดอก

และแล้วฝันร้ายก็มาถึง เมื่อพี่ติ๋วเริ่มคำราม ( to snore ) ตอนแรกชั้นก็ไม่เอะใจอะไร เพราะแยกตัวออกมานอนเตียงเสริม ไม่ได้นอนคู่กับแก พยายามอดทนนอนต่อไป มันไม่ไหวแฮะ อดนอนมาทั้งคืนบนเครื่องแล้วยังมาเที่ยวต่อ Shopping อีก ง่วงและเพลียมาก ก็เลยตัดสินใจ บีบจมูกแก เพื่อกำจัดเสียงที่แกคำรามออกมาอย่างสะใจ โอ้ !!!! เห็นแก่พระเจ้า พี่แกก็กรนแข่งกับจมูกที่บู้บี้อู้อี้ เพราะมือที่ชั้นบีบอยู่ ขืนบีบต่อต้องเกิดการฆาตกรรมขึ้นในห้องนี้แน่ ๆ เลยเขย่าแกแรงๆและเรียกชื่อแกดังๆ

“ พี่ติ๋ว !!!!!!”

ได้ผลแฮะ !!

แกตกใจลุกขึ้นนั่งและอุทานเป็นภาษาใต้ออกมา (คงเป็นเพราะมันมืดและผมดิชั้นยาวสยายในลักษณะที่ก้มลง )

“ ใครนิ !!”

“ หนูเองพี่ติ๋ว เนสไง คือพี่ติ๋วกรนดังมากเลยอะ “

พี่แกเกรงใจค่ะ ก็สงบกำลังลง พอหลับได้สักพักแกก็คำรามออกมาเป็นคำรบที่ 2 ชั้นก็ลุกขึ้นไปปลุกแกอีก สักพักแกก็เอาอีก และก็เดินกันอย่างนี้ทั้งคืนค่ะ จนชั้นต้องเดินไปนอนด้วยข้างๆ เพื่อจะได้ปลุกแกถนัด ๆ หลับๆตื่นๆ จนท้ายที่สุด พจมานก็ระเห็จออกจากบ้านทรายทอง หอบผ้าห่มหมอนออกมานอนข้างล่างด้านนอก พอดีแกรู้สึกตัวแล้วร้องเรียก

“ เนสไปไหนน่ะ ” เท่านั้นแหละแกก็บอกไม่นอนแล้ว เนสไม่ได้นอนเพราะพี่กรน ชั้นก็ใจคอไม่ดี บอกว่าไม่เป็นไรพี่ติ๋ว เนสเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วพี่ติ๋วแกว่า6 โมงเช้าแล้วต่างหาก โอ้ !!! จอร์จ ชั้นแทบไม่ได้นอนทั้งคืนเลย

ชั้นจะรอดมั๊ยเนี่ย แค่วันแรกก็อยากกลับบ้านแล้ว อยากโทรฯหาตาแจ็ค ก็โทรฯไม่ได้ ระบบมันเป็นอะไรนะ ปุ๊กก็ส่ง SMS ม า ตาแจ็คก็ส่งมาด้วย พอแก้เหงาได้บ้าง เช้ามาก็ต้องเก็บของย้ายโรงแรมอีก เพื่อเดินทางไปดูงานที่โรงงานโนเกียร์ พอไปถึงประมาณยังไม่ 10 โมงดี เค้ายังไม่ทำงานกันเลยนะ ที่นี่เค้าทำงานสาย 4 โมงเย็นก็เลิกงานกันหมดแล้ว ดีจังเลยทำงานสบาย เจ้าหน้าที่ที่นี่เค้าต้อนรับดีมาก โดยมีเมดาลีน(ชาวสิงคโปร์) ตามมาสมทบด้วยอีกคน เธอทำงานในโนเกียน์ค่ะ เธอเป็นสาวที่มีความเชื่อมั่นสูงมาก Working woman ตัวจริง และอัธยาศัยดีมากเลย แม้ภาษาอังกฤษเธอจะติดสำเนียงจีนอยู่บ้างก็ตาม คนที่นี่เค้าตื่นเต้นนะ ที่พวกเรามาดูงานกับเค้า เตรียมผลไม้ เค้ก น้ำผลไม้ เตรียมรับรองพวกเราอย่างดี แม้การ Present ข องพวกเค้าจะดูเป็นทางการและน่าเบื่อก็ตาม แต่พวกเค้าก็ทำการบ้านมาอย่างดี เตรียม Power point ม า Present แ ถมให้ของขวัญเป็นช็อคโกแลตเค้กผูกโบว์ให้ทุกคนด้วย น่ารักมากเลยค่ะ หลังจากนั้นพี่เปี๊ยกก็พาไปทานอาหารไทยแล้วล่ะ ดีใจจังหิวที่สุดเลย........

21/3/48 (วันที่บันทึก)

ร้านอาหารไทยที่นี่มีเจ้าของเป็นผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวออสเตรียที่นี่ มีลูกชาย 1 คน ยังเล็กอยู่เลย คงเหงาน่าดู พูดไทยเป็นภาษาอีสานเป็นซะด้วยนะ วันนี้เป็นวันมาฆบูชาค่ะ(23 ก.พ) จึงเป็นวันหยุดสำหรับคนไทยที่นี่ ก็เลยไม่มีคนช่วย ครัวเพิ่งเปิดเมื่อตอนพวกเราไปนั่งรอนั่นแหละ ก็รอกันจนบ่าย 2 เลยค่ะ กว่าจะหุงข้าว ทอดไข่ ผัดกะเพรา แกงเขียวหวานไก่ ซึ่งเครื่องเคราก็ไม่ได้ครบเหมือนบ้านเราเลย และเมนูเด็ดก็คือส้มตำค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย ได้ทานอิ่มจริงเป็นมื้อแรกค่ะ

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองชาล์บวร์ก ซึ่งระหว่างทางต้องผ่านเมืองเมลค์( Melk) คงเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ข้างทางนั่นแหละ น่าจะอยู่ในกล้องที่เนสถ่ายมาด้วย ซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางนานพอสมควรเลยระหว่างทางขอเม้าท์ผู้ร่วมทริปหน่อยแล้วกันนะ ตอนกินข้าวเนี่ย ส่วนใหญ่ ก็นั่งกับคุณป๊าและน้องพุฒิ (API) พี่ตู่ พี่ต้อ (TG+IEC) ค ุณป๊าน่าจะเป็นคนจีน เป็นผู้ใหญ่อบอุ่น ทำให้นึกถึงพ่อดอนของเรา อายุไล่เลี่ยกันนั่นแหละ คุณป๊าชอบทำกับข้าวและคอยบริการคนอื่นๆในทริปเสมอ และมักเล่าประสบการณ์ต่างๆทั้งเรื่องรอบตัวและเคล็ดลับการทำอาหารให้อร่อย เนสก็อายุไล่เลี่ยกับน้องพุฒิอายุห่างกับปีเดียวแต่น้องเค้าดูเด็กกว่ามาก นี่ชั้นแก่แดดเกินไปหรือเปล่า(แต่ 25 นี่ก็ไม่น้อยนะ) เวลาเดินซื้อของหรือทานข้าวก็มักนั่งโต๊ะเดียวกันเสมอ

ระหว่างทาง...บรรยากาศก็เริ่มเงียบเหงาแต่โลกก็ได้ส่งกระทิงที่แสนเปลี่ยวมาพบม้าป่าที่แสนพยศสองนางจำแลงจาก TG ( เจ๊ตู่) และจาก IEC(เ จ๊ต้อ) ม าเจอกัน โอ๊ย !! พวกเราชาวสีม่วงก็เริ่มปฏิบัติภารกิจ ฮาทะลึ่งตามฉบับกระเทยไทย(อุ้ย ! ใ ช้คำแรงไปหรือเปล่าฮ้า) เนสก็พลอยฮาไปด้วย และแอบปล่อยมุขบ้างเล็กน้อย ทำให้ชาวแก๊งค์**เริ่มให้ความสนใจและพี่ปุ๊ก(ท็อปโซนิค) ก็เริ่มชอบใจมุขเนสและหันมาคุยด้วยบ่อยๆ แต่เนสน่ะ ระวังตัวแจ เพราะภาพที่ได้ยินและพี่ที่ Office ป ลูกฝังมานั้นน่าสยองพองขน ไม่กล้าคุย ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ที่เห็นที่นี่พี่เค้าก็ฮาดีออก เลยไม่ได้คิดอะไร แต่เขินมากเวลาเล่าเรื่องแล้วไม่ขำ มุขฝืด อายเค้าจังเลย แต่พี่ๆเค้าก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้ผ่านไปได้ จนมาถึงที่หมาย และทานอาหารจีนอีกครั้ง คืนนี้เค้าดวลไวน์กันด้วย แต่เนสไม่ถูกกับไวน์ เห็นคนเมาไวน์ก็ตลกดี โดยเฉพาะเห็นลูกค้าที่น่าเชื่อถือที่เพิ่งได้มาดูแผลงฤทธิ์ซะหมดมาดเลย ก็ตลกมากและน่ารักดี แต่ไม่มีผลเรื่องงานหรอก เพราะร้านนี้สั่งไม่เยอะ (ก็พี่อนุชา เจ้าเก่านั่นแหละ คนอาร๊าย สงสัยจะดูตลกมาก แล้วก็ชอบอ่อยกระเทยด้วย /เจ๊ตู่กะเจ๊ต้อ)

พอทานเสร็จก็ออกมารอรถบัสด้านหน้าร้าน โห ! ที่ฝรั่งเค้าบอกว่า “ My legs are go to dead” or “I'm freezing” มันเป็นเช่นนี้แล (แหล่งข้อมูล จาก ฟุต ฟิต ฟอ ไฟ ของคุณสรชัย ค่ะ) โอ! ทรมานมาก พอขึ้นรถแล้วก็ค่อยยังชั่ว จนเข้าพักที่โรงแรม Dorint ซึ่งที่นี่ดีกว่าที่เก่าเพราะอากาศถ่ายเท ห้องก็ดีกว่า หวังว่าคืนนี้พี่ติ๋วจะรักษาสัญญา ว่าถ้าอากาศถ่ายเทพี่ติ๋วจะไม่กรน และแล้วการเดินทางของวันที่ 3 ก็จบลง พร้อมกับการคำรามเล็กน้อยของพี่ติ๋วกลางดึก 3-4 ทีก็หยุดและเนสก็ไม่รู้สึกตัวจนเช้า ( หมายเหตุ = เ ด็กยกกระเป๋าหน้าตาดีมาก เลยแซวเค้าไปว่า You ห ล่อจัง เล่นเอาฝรั่งอายม้วนเลย อ๊ะ !! ไม่ใช่แค่เนสนะคะคุณแจ๊สหนึ่งในแก๊งค์สาวซ่าก็แอบปลื้มด้วยเหมือนกัน แอบเม้าท์กันเรื่องหนุ่มออสเตรียเรื่อยเลย แต่ใครจะหาญกล้าอย่างเรา เรียกเสียงกรี๊ดตรึม (แรดจริงชั้นเนี่ย)

วันที่ 4 ของการเดินทาง

เช้าวันใหม่อันสดใส ตื่นแต่เช้าลงมาทานอาหาร สังเกตว่าคนที่นี่มองเราจังเลย(คงสวยมั้ง) บริกรที่นี่ดูจะเกร็งๆ แต่คงความสุภาพไว้ ทานอาหารเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองวัทเท่นส์ เพื่อไปดูเมืองแห่งคริสตัล Swarovski เ ป็นคริสตัลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก สองข้างทางก็สวยดีเป็นหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ สูงมาก สูงแบบเสียดเมฆเลย ทำให้เรารู้สึกว่า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น สิ่งเดียวที่สัตว์อัจฉริยะอย่างมนุษย์ยังเอาชนะไม่ได้ และไม่มีทางเอาชนะได้ นั่นคือ พลังแห่งธรรมชาติ เพราะมนุษย์ยังคงต้องแก่ตายและไม่สามารถจะยับยั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆได้เลย

หมู่บ้านทั้งสองข้างทางเป็นเหมือนเมืองเล็กๆในนิยายกรีกโบราณเลย ได้อยู่ในเมืองหิมะ 7 วันเต็มๆ ดินแดนอันแสนห่างไกลจากสยามประเทศ ที่ที่เด็กธรรมดาๆอย่างชั้นไม่มีสิทธิ์จะฝันถึง แต่มันก็เกิดขึ้นจริง เนสพยายามจดจำภาพเหตุการณ์ต่างๆไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ชาตินี้ทั้งชาติอาจไม่มีโอกาสได้มาอีกแล้วก็ได้ น่าเสียดายที่เนสสามารถแบ่งปันประสบการณ์และความสุขเหล่านี้ผ่านมาได้แค่ภาพถ่ายและบันทึกการเดินทางฉบับนี้เท่านั้น

นั่งมาอึดใจใหญ่ก็มาถึงเมืองวัทเท่นส์ และได้แวะทานอาหารพื้นเมืองที่นี่ จะบอกให้ก็ไอ้ผัดเปรี้ยวหวานที่กินร้านอาหารจีนนั่นแหละ ก็พอกินได้ ตบด้วยขนมหวานที่หวานจนเลี่ยน คนที่ชอบทานเค้ก ก็คงชอบแต่เนสไม่ และได้คริสตัลที่เป็นพวงกุญแจ และเศษคริสตัลเก็บใส่ซองเล็ก ๆมาด้วยหลังจากนั้นก็เริ่มเดินชมศิลปะจากคริสตัลข้างในพิพิธภัณฑ์ และถ่ายรูปมาให้ดูด้วย เนสชอบคริสตัลมาก ก่อนกลับเค้าก็ให้แวะซื้อสินค้า อ้อ ! ลืมบอกว่า น่าปลื้มใจที่มีหญิงไทยทำงานที่นี่ด้วยเค้าเป็นคนบรรยายนิทรรศการที่นี่ ที่โรงแรม Novotel ก็มีแรงงานหญิงไทยเป็นคนอีสานมีสามีเป็นชาวออสเตรีย เงินเดือนเทียบเท่าเมืองไทยก็ 50,000-60,000 บาท นี่แค่พนักงานทำความสะอาดนะ ก็แหม ! เ งินยูโรนี่คะ ค่าครองชีพสูงมาก ค่าเช่าบ้านก็เท่าไหร่แล้วจริงมั๊ย

2/5/48 (วันที่บันทึก)

ตอนที่ Shopping ก็มีทั้งแ หวน สร้อย นาฬิกาต่างหู ราคาไม่แพงมาก แต่สำหรับเราแล้วถือว่าฟุ่มเฟือย แต่ถ้าไม่มีอะไรติดมือมาเลยก็กระไรอยู่ ก็เลยซื้อแหวน 2 วงที่เหมือนกัน แม้จะเป็นวงเล็กๆ แต่ก็ดูดีมากเลย พอกลับมาเมืองไทยเสียดายมาก ทำไมไม่ซื้อมามากกว่านี้ เพราะไม่มีคริสตัลที่ไหนสวยเท่านี้อีกแล้ว และอีกกี่ชาติล่ะกว่าจะได้กลับมาอีก เฮ้อ นึกแล้วท้อ

เมื่อกลับเข้าที่พักและทานอาหารจีนอันน่าเบื่อแล้วก็นอนเอาแรงต่อ โรงแรมที่นี่ค่อนข้างเก่า เพราะอยู่แถบชานเมือง แต่อยู่ได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา สังเกตว่าทุกโรงแรมที่เข้าพัก หมอนที่นอนนุ่มมาก โดยเฉพาะหมอน ไส้ในเหมือนเป็นขนนกหรือขนอะไรซักอย่าง และไม่สูง นอนเนี่ยหัวแทบราบกับพื้น แต่หลับสนิทสบายมาก ไม่ฝันเลย ชักโครกไม่ว่าห้องน้ำสาธารณะหรือโรงแรมจะเป็นแบบแถบใหญ่ๆ แล้วใช้กดเอาเหมือนกดปุ่มนั่นแหละ กดง่ายดี

เอาละเตรียมเสื้อผ้ายกใหญ่เพราะพรุ่งนี้ต้องขึ้นเทือกเขาสตูไบ -15 C ซึ่งเสื้อผ้าที่

เนสเตรียมมาก็ไม่รู้ว่าไอ้อุณหภูมิติดลบนี่ต้องใส่เสื้อยังไงถึงหายหนาว ตอนแรกมาก็แค่ -5 ก็รู้ว่า -15 นี่นรกแน่ๆ ดีนะที่ตอนไปอินบรูกส์ ซื้อถุงมือหนามาใหม่9.5 ยูโร แน่ะ แต่ก็ต้องซื้อไม่งั้นเที่ยวไม่สนุกแน่ เนสเห็นพี่ติ๋วมีโค้ดหลายตัวแล่ละตัวก็เหมือนเอสกีโม เลยเอ่ยถามด้วยความซื่อว่า จะขอยืมใส่เพิ่ม แต่พี่ติ๋วแกเป็นคนไม่ใส่เสื้อร่วมกับคนอื่น ชั้นเลยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว

วันรุ่งขึ้นทานอาหารเช้า พี่ติ๋วจึงเอาโค้ดอีกตัวให้เนสและยกให้เนสเลย ทั้งเสื้อและผ้าพันคอ แกยกให้เลยจริงๆก็อย่างที่บอกว่าแกไม่ใส่ร่วมกับใคร ดิชั้นก็10นิ้วประนม ขอบคุณค่า !!!! พ อไปถึง โอ้โห สองข้างทางมีแต่หมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา ปีนไปอยู่บนเนินเขาโน่น เหมือนในนิยายกริม หรือพวก The lord of the ring เ ลยนะ เพราะเทือกเขานี้ติดกับเทือกเขาแอลป์ที่ยาวไปหลายประเทศ เคยเห็นภูเขาที่สูงเสียดฟ้ามั๊ย รู้สึกเราตัวเป็นมดเลย มองไปสุดยอดเขาก็มีแต่เมฆและหิมะ ไม่รู้ว่ายอดเขาหน้าตาเป็นยังไง จนรถจอด เชื่อมั๊ยว่าเนสแทบวิ่ง เพราะเท้าไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ถุงเท้าต้องเป็นอย่างหนา แต่ดิชั้นใส่ถุงเท้านักเรียน โอ๊ย !!!! เอสกีโมเค้าใส่ยังไงก็ต้องใส่แบบนั้นน่ะ ก็ดูคนที่มาเล่นสกีซะก่อน โห ! ยังกับเรามาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิงั้นแหละ หนาวจะตาย ทุกคนจึงต้องลี้ภัยเข้าไปในร้านกาแฟแถวนั้น แล้วก็สั่งชาร้อนมาทาน และแอบจิบเบียร์กับพี่แดงทีจี แต่ไม่ได้ช่วยเลย เพราะเบียร์เค้าจืดมากขอบอก หลังจากนั้นก็ขึ้นกระเช้าขึ้นไปข้างบนตามสถานีต่างๆ ชาวแก็งค์ของเราตอนนี้ประกอบด้วย เนส แจ๊ส เหมียว พี่ตื๋อ ( พี่ชายพี่ปุ๊กท็อปโซนิค) สาเหตุที่พี่ตื๋อแปรพักจากแก็งค์พี่ปุ๊กกับพี่อนุชา เพราะเค้าแอบปิ๊งค์เหมียวเลยตามประกบ อิๆ

เนสตื่นตาตื่นใจมากกับภาพที่เห็นตรงหน้า พวกเราก็ชอบชวนฝรั่งถ่ายรูป (เหมียวน่ะตัวดีเลย) ฝรั่งเองก็ชอบ คงแปลกตา ไม่เคยเห็นคนสวย มองกันใหญ่ แอบยิ้มก็มี ชมว่า Beautiful ก็มี ส่วนใหญ่คนที่มาเล่นสกีที่นี่เป็นชาวเยอรมัน เพราะชายแดนเค้าติดกันเหมือนเชียงรายที่ติดกับพม่านั่นแหละ ข้ามไปข้ามมาไม่ต้องใช้ passport

คิดถึงพ่อกับแม่อยากให้เค้ามาเที่ยวบ้าง แต่ไม่รู้จะไหวมั๊ย เพราะที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,500 ฟุต อากาศน้อย เนสเวียนหัวตลอดเลย เลือดคงข้นเลี้ยงสมองไม่พอ เพราะหนาวจัด แม้จะมีแดดออก อ้อ ! ถ้าใครได้มีโอกาสได้มา ที่ขาดไม่ได้คือแว่นดำนะคะเพราะแสงแดดจะสะท้อนหิมะเข้าตาเรา แสบตามาก ถ้าเนสไม่เอาแว่นไปด้วยนะ มีหวังมองไม่เห็นอะไรแน่ๆ (เพราะคงหลับตาเดิน)

ที่เที่ยวมาทั้งหมด วันนี้เป็นวันที่สนุกที่สุดเลย อยากอยู่นานๆ สนุกมากจริงๆ ยิ่งได้อยู่กับชาวแก๊งค์ของเรายิ่งสนุก หลังจากนั้นก็ทานอาหารกลางวัน เป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่ มันก็คือไก่ทอดบ้านเราเป็นแบบสเต็กน่ะ กับ เฟรนฟรายอันเขื่อง เครื่องดื่มก็เป็น โค้กค่ะ เนสทานไม่ได้เลย เวียนหัวจัง ทุกคนก็บอกให้เนสพยายามกิน เพราะเดี๋ยวหิวเนสก็ทานได้นิดหน่อยเท่านั้น ของหวานก็คล้ายๆ พายมะพร้าวอะไรเทือกนั้น ก็ทานได้นิดเดียว เช่นเคย เพราะไม่ถูกปากเลย อยากทานข้าวน้ำพริก ปลาทูบ้านเรามากกว่า หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นไปนั่งกระเช้าไฟฟ้าเพื่อไปสถานีโน้น ลงสถานนีนี้สนุกสนานกันใหญ่

ขากลับพวกเราก็ต้องเดินทางต่อเพื่อกลับที่พักแห่งใหม่น่าจะเป็น โรงแรม courtyard by Marriott linz ที่โรงแรมนี้น่าจะเป็นโรงแรมที่ดีที่สุด เกือบๆ 5 ดาว และแล้วก็นอนหลับพักผ่อนไปด้วยความอ่อนเพลีย เพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับไปเวียนนาอีกรอบ เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านเรา ลาก่อน สตูไบ.....

เช้าวันสุดท้ายที่ออสเตรีย เนสตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น พร้อมหิมะที่โปรยปรายลงมา เหมือนเมื่อวันแรกที่เนสได้เดินทางมาถึง แต่แปลกนะ อากาสดีมากๆ ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ หิมะที่ตกลงมาก็เหมือนปอยสำลีเล็กๆ ที่ค่อยๆร่วงลงมาจากฟ้า สวยมาก เนสถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสโนว์ไวท์เลย (เสียดายไม่มีเจ้าชาย)

หลังจากทานอาหารเช้า พวกเราก็เดินทางต่อไกลแสนไกล ลองนึกภาพนะ เหมือนเราเป็นเจ้าหญิงที่นั่งรถม้า ชมทิวทัศน์ข้างทางตอนหิมะตก เลียบไปตามแม่น้ำดานูปที่มีต้นไม้ใหญ่ที่เหลือแต่ก้านกับเกล็ดหิมะที่ปกคลุมยืนเรียงรายอย่างสงบเหมือน กำลังทำความเคารพขบวนรถม้าของเนสที่กำลังผ่านไป (คิดไปได้ )

กว่าจะถึงเวียนนาก็หมดไปครึ่งวันแล้วล่ะ ช่วงนี้ตอนนั่งบนรถ เนสก็ไปนั่งกับเหมียวเต็มตัว ทิ้งพี่ติ๋วแกโดดเดี่ยวต่อไป นั่งไป แซวกันไปสนุกดี พอมาถึงเวียนนา เค้าก็ให้แยกย้ายเพื่อ shopping คิดเหรอว่าจะได้กินเงินเรา ไม่มีทาง เรามาเที่ยวนะ ไม่ได้มา shopping ซักหน่อย และแล้วพวกเราแก๊งค์เดิม ก็ลุยเพื่อ shopping ทุกคนสนุกสนานกันมาก และในที่สุดพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่ MNG (MANGO )

แจ๊สซื้อรองเท้าบูทและกระเป๋า โดยมีเนสเป็นผู้ช่วยเดินไปจ่ายเงินให้และช่วยเลือกว่าคู่ไหนสวย ส่วนเหมียวก็ถอยกระเป๋าแบบเดียวกับแจ๊สเลย พี่ตื๋อก็ทักว่าเนสไม่เลือกซื้ออะไรบ้างเหรอ

เนสบอกเนสไม่ซื้อหรอกกระเป๋าเนสก็มีแล้ว รองเท้าบูทก็ไม่รู้จะเอาไปใส่ที่ไหน แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่า เนสไม่ได้มีโอกาสมาต่างประเทศบ่อย น่าจะซื้อติดมือไป ของที่นี่ถูกกว่าเมืองไทยนะ ด้วยคำคำนี้ ถูกกว่าเหรอ เอ้า !! ซื้อก็ซื้อ ก็เลยช่วยกันเลือกใหญ่ ก็ได้กระเป๋าถือ กับกระเป๋าสตางค์มาอย่างละใบ พี่ตื๋อผู้ชำนาญการ shop ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยให้ และแล้ว ความเป็นข้าวนอกนาก็บังเกิดโดยไม่เลือกเวลา และสถานที่ แม้กระทั่งมาถึงออสเตรียก็ไม่เว้น (ที่ office มักเรียกเนสว่า นังน้อย เพราะเธอซื่อเหลือเกิน และมักไม่ค่อนอินกะเค้า ดูจากภายนอกไม่เชื่ออะดิ อ๊า !! แน่นอน คนเราต้องทำตัวมั่นเพื่อปกปิดบางอย่างที่ซ่อนอยู่) ดิชั้นก็โพล่งออกมากลางวงเลย

“ นี่ยี่ห้ออะไรเนี่ย MNG ดังมั๊ย ” ( ตอนนั้น คิดในใจว่า มะม่วงบ้านเราคงมีชื่อมาถึงนี่ เลยมีคนมาเปิดร้านขายกระเป๋าเสื้อผ้า ดู๊ !! ดูมันคิด)

“ หนู !! ไม่เคยเดินสยามเหรอ ออกดัง ” โอ้ ! เสียงสวรรค์ดังมา เหมือนเสียงแจ๊สเลย

. ” อ้อ ! เหรอ ” แหม !! ก็น้อยไม่รู้..........

(ฉากนี้ พอกลับมาเมืองไทย เล่าให้เพื่อนฟัง โดนรุมประนามค่ะ ด้วยความที่เป็นข้าวนอกนาไม่รู้จักพัฒนาซะที )

หลังจาก shop กันจนเหนื่อยอ่อน เค้าก็พาไปทานอาหารไทยอีกเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้อร่อยที่สุดเลยมีแกงเขียวหวานไก่ที่เราชอบ ยำโน่น ยำนี่ ผัดอะไรซักอย่าง เอาเป็นว่า อร่อย แล้วก็ได้คุยกับ เมดาลีน (ที่เป็นชาวสิงคโปร์ไง) เกี่ยวกับเรื่องผู้ชาย เรื่องแฟนอะไรเทือกเนี่ยแหละ ความที่เป็นเด็กอินเตอร์เก่าก็จุดประกายฉายแววขึ้นมาในทันที ภาษาฝรั่งที่เป็นภาษาของดิชั้นเมื่อชาติที่แล้วก็พรั่งพรูออกมาแบบน้ำไหลไฟดับ มีแต่คนทักว่าพูดเก่งจัง (ก็แหงล่ะ ฝรั่งนี่คะ อิๆๆ)

เมดาลีนบอกว่า ไม่ชอบผู้ชายสิงคโปรื เพราะผู้ชายสิงคโปร์ไม่ค่อยพูดชอบอะไร ไม่ชอบอะไรก็ไม่บอก น่าอึดอัด พอวันนึงทนไม่ไหวก็เลิกกัน และมักเอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งจริงๆแล้วผู้หญิงผู้ชายควรเท่ากัน นี่ !! ดิชั้นจับใจความได้นะคุณ ส่วนเนสก็บอกว่าเนสเองมีแฟนอยู่คนเดียว คบกันมาตั้งแต่ อายุ 15 ไม่เคยคิดจะมีใครอีกเลย และคิดว่า เค้าคงจะเป็นผู้ชายที่เนสจะแต่งงานด้วย เมดาลีนตาโตเลย ประมาณว่า amazing เราก็ภูมิใจซะ......

เมื่ออิ่มกันแล้ว ก็เดินทางกลับ air port( ยังไม่อยากกลับเลย) เตรียมตัวทดสอบความอึดอีก 10 ช.มบนเครื่องบิน ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เนสพยายามแลกที่นั่งริมหน้าต่าง เพราะขามานั่งตรงกลาง ตอนนี้แลกได้แล้ว เพราะรู้จักกันหมด แล้วเนสก็ได้แลกกับพี่อ้อย (แซทเทิลไลท์) ได้นั่งริมหน้าต่างสมใจซึ่งก็เลยเป็นว่าได้นั่งข้างพี่ต้อ แต่พี่เค้า take care ดีมากและเป็นคนตลก ทำให้เราไม่เก้อเลยเวลาแสดงความข้าวนอกนาออกมาตลอดการเดินทาง ( ก็มันมี remote เยอะไปหมดเลยนี่นา) ขากลับนี่โทรมสุดๆ เลย หัวก็เหนียว หน้าก็มัน ปากก็เหม็น ใครที่จีบกันใหม่ๆ ลองไป trip ออสเตรียดู ขากลับถ้ารับกันได้ก็แต่งกันเลย และท้ายสุดก็หลับอย่างทรมานจนถึงประเทศไทย

เครื่องลงประมาณ บ่าย 3ครึ่ง กว่าจะ load กระเป๋า และร่ำลาทุกคนก็ประมาณ 4 โมง โทร ให้พี่บอลมารับกลับบ้าน

วันรุ่งขึ้นก็ต้องต่อสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงต่อไป รถม้ากลายเป็นฟักทองเหมือนเดิม เวลาแห่งโลกนิยายได้จบลงแล้ว 7 วันแห่งความฝันในเมืองหิมะ ความทรงจำในต่างแดนที่แสนมหัศจรรย์และประทับใจ ที่เงิน 10,000 เดียว (แต่เหลือกลับบ้านมา 2,000) ไม่สามารถจะแลกได้ขนาดนี้เลย

ท้ายนี้เนสขอถ่ายทอดความทรงจำที่ดี และประสบการณ์ในการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตครั้งนี้ ให้ผู้ที่ได้มีโอกาสได้อ่าน และถ้าใครมีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ไปซะเถอะ คุ้มสุดคุ้มเลยล่ะ

Skill,knowledge,abilities and experiences are only useful if you are at the right place !

Nest……

 


เขี้ยวแก้ว
๑๕ มีนาคม ๒๕๔๙
©ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย เขี้ยวแก้ว

แนะนำแสดงความคิดเห็นต่อผู้เขียนโดยตรงที่ kyo-kaew@forwriter.com

 


๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์

  2009
free writing

โดยฟีลิปดา

2009 free writing
 


๕๐๕ แคนโต้แห่งความรัก
 

 

 

    http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.