เบี่ยงหัวใจ ... ให้เจอรัก
กลิ่นทินเน่อร์อบอวลอยู่ในห้องทำงานทำให้สารินแทบจะอาเจียน เธอเป็นคนจมูกไว
รับกลิ่นได้ง่ายถ้าอยู่ในห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท โดยเฉพาะในห้องแอร์ บางคนอาจจะชอบกับอากาศเย็นฉ่ำและกลิ่นหอมของสเปรย์ปรับอากาศ แต่สารินไม่ชอบ และมีแนวโน้มว่าจะเหม็นมากกว่า เธอไม่เคยใส่น้ำหอม และมักจะฉุนเมื่อเดินผ่านคนที่ใส่จนทิ้งกลิ่นโชยเอาไว้ เธอยังทนไม่ได้กับกลิ่นของบุหรี่หรือซิการ์หรืออะไรก็ตามที่เกิดจากควัน เพื่อนๆ คิดว่าเธอคงเป็นโรคภูมิแพ้กลิ่น สารินไม่รู้ว่าโรคนี้จะมีหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้มีอะไรฝังใจเป็นพิเศษกับกลิ่นต่างๆ เพียงแต่เธอไม่ชอบในที่ๆ มีกลิ่นเท่านั้นไม่ว่าจะเหม็นหรือหอม
ความจริงห้องทำงานของเธอก็เป็นห้องโล่งกว้างติดแอร์เย็นฉ่ำ มันเป็นการจัดห้องทำงานใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ เพราะหลายแผนกได้ย้ายเข้ามารวมกันที่นี่ เนื่องจากมีการปรับปรุงที่ทำงานใหม่ เพราะประธานบริษัทจะมาใช้ที่นี่เป็นสำนักงานชั่วคราว พนักงานแต่ละคนมีโต๊ะทำงานที่เป็นสัดส่วน สารินก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่มีโต๊ะอยู่เกือบหลังสุดของห้องไม่เป็นที่สะดุดตาใคร มันอยู่ติดกับหน้าต่างพอดี นั่นทำให้เธอสามารถที่จะแง้มหน้าต่างรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้ามาได้บ้าง และบางครั้งยังได้ปล่อยอารมณ์มองออกนอกหน้าต่าง เห็นต้นหูกวางที่ปลูกเป็นแถวริมกำแพงรั้วอีกต่างหาก เธอทำงานทีนี่นานพอที่จะเห็นต้นหูกวางร่วงผลัดใบไปแล้วครั้งหนึ่ง
สารินเลื่อนเม้าท์ชี้ไปที่คำสั่งพิมพ์ก่อนที่จะเลื่อนเก้าอี้ไปชิดหน้าต่างโดยไม่ต้องยืนให้เป็นที่สังเกต ค่อยๆ แง้มหน้าต่างออกกว้างไม่ถึงคืบ อุณหภูมิที่ร้อนกว่าพุ่งเข้ามา แต่เธอไม่สน และยังพอใจที่จะยื่นหน้าเข้าไปชิดสูดเอาอากาศข้างนอกมากกว่า
ไงทนกลิ่นไม่ไหวแล้วสิ
ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นนิจของสารินคลี่ยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนถาม
ค่ะ เธอตอบสั้นๆ นึกเสียดายความเป็นส่วนตัวที่ถูกทำลายลง
วันนี้ข้างบนคงเร่งทาสีให้เสร็จ ทิ้งเอาไว้วันจันทร์คงย้ายมาละ คอยดูนะสาวๆ ที่คงกรีดน่าดู เจ้านายสุดหล่อมาทำงานที่นี่
สารินยิ้มนิดๆ แต่แววตาที่ซ่อนไว้ภายใต้แว่นตากรอบกระอันโตฉายแววขันขึ้นมา ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาหัวข้อสนทนาในบริษัทก็คือการมาใช้ตึกนี้เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของนายภูมิไท วงศ์อิสระ นักธุรกิจหนุ่มที่ประสพความสำเร็จในการนำพาบริษัทที่มีทีท่าว่าจะล้มครืนกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ให้กลับมายืนผงาดได้อีกครั้ง แต่ความสำเร็จในแง่นี้ของเขาไม่ได้เป็นหัวข้อในการสนทนาของพนักงาน กลับกลายเป็นเรื่องความหล่อเหลา มาดเข้ม แบบตี๋ๆ และบรรดาแฟนสาวของเขาทั้งหลายต่างหากที่พากันคุยสนุกปาก แน่ละมันย่อมมีการเอ่ยถึงความร่ำรวยของเขาควบคู่ไปด้วยเช่นกัน
ความจริงไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลย คนเขาเคยเห็นทะเลมาตลอดอย่างคุณภูมิไท เขาไม่มาสนใจกับแม่น้ำลำคลองแถวนี้หรอกจริงไหม ? ไกรวิทย์ พูดด้วยเสียงสนุกๆ
สารินเข้าใจความนัยที่เขาพูด แม้มันจะสอดคล้องกับความคิดของเธอ แต่เธอก็ไม่พอใจเมื่อรู้สึกว่า คำพูดนั้นเป็นการดูถูกเพื่อนร่วมงาน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ค่อยได้สนิทสนมหรือสุงสิงกับใครในที่ทำงานนัก แต่ความรู้สึกเป็นทีมงานและเป็นผู้หญิงเหมือนกันทำให้อดไม่ได้ที่จะย้อนว่า
คนเรามีสิทธิ์ที่จะตื่นเต้นยินดี เมื่อมีสิ่งที่ตนเองชื่นชอบผ่านเข้ามาในชีวิต อีกอย่าง ... ไม่แน่นะเขาอาจจะเป็นคนที่ชอบน้ำจืดบริสุทธิ์ก็ได้
เฮ้! ... อย่าบอกผมนะว่าคุณก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย ไกรวิทย์แกล้งอุทานล้อเลียน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งของสารินก็รีบเบนเรื่องไปว่า
ความจริงผมจะบอกอะไรให้ ผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนนะที่จะมีคนหล่อๆ มาอยู่ในที่เดียวกับเรา ต่อไปหัวกะไดบริษัทคงไม่แห้งแน่ๆ เพราะจะมีสาวๆ ตามเขามาเป็นพรวนเชียวละ ถ้ายังไงคุณช่วยเลือกให้ผมคนสิ ผมวางใจในรสนิยมของคุณ
สารินยิ้มเย็นกับคำพูดกะล่อนของเขา ถามว่า
จะมาเอาจดหมายใช่ไหม ? สักครู่นะ เธอหยิบแฟ้มเอกสารที่หน้าปกเขียนว่า ส่งออก ขึ้นมาเปิดแล้วหยิบแผ่นกระดาษที่พิมพ์อยู่ในแฟ้มออกมาให้ แผ่นแรกเป็นจดหมายที่มีตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นเต็มไปหมด ส่วนแผ่นที่สองเป็นกระดาษร่างลายมือหวัดๆ ส่วนแผ่นที่สามเป็นจดหมายภาษาอังกฤษที่พิมพ์อย่างเรียบร้อย กระดาษทั้งสามแผ่นถูกเธอเอาลวดหนีบกระดาษรวมกันยื่นส่งให้เขา
ไกรวิทย์รับมาถือในมือพลิกไปมาเหมือนตรวจดู แต่คำพูดที่กล่าวออกมานั้นคนละเรื่องกับงานเลย
สาริน ผมว่าผู้หญิงในบริษัทนี่ คุณหยิ่งเป็นที่หนึ่งเลยนะ
*****
นี่ริน ขึ้นไปดูมาแล้วยัง
ดูอะไร ?
ก็ห้องทำงานท่านประธานนะสิ น้ำเสียงของวิไลเรขาออกจะหงุดหงิดเล็กน้อย บางครั้งเธอก็ออกจะเบื่อหน่ายเพื่อนร่วมงานคนนี้เหมือนกัน เพราะสารินดูเฉยๆ เฉื่อยๆ ไม่ค่อยจะสนอกสนใจอะไร นอกจากงานในหน้าที่ของตนเองเท่านั้น เธอรู้จักกับสารินเพราะมาสมัครงานที่นี่พร้อมกัน ดังนั้นเธอจึงถือว่าสารินเป็นเพื่อนสนิท และการคบกับสารินก็ทำให้เธอเด่นขึ้น เพราะเวลาไปไหนด้วยกัน มันจะเกิดการเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ในขณะที่เธอใส่เสื้อผ้าทันสมัย แต่งหน้าเข้ากับแฟชั่น สารินมันจะอยู่ในชุดกระโปรงดำยาว เสื้อเชิ้ตสีขาว แม้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นชุดฟอร์มของบริษัทแล้ว สารินก็ยังไม่เปลี่ยนไปเท่าใด ผมยาวก็ยังถูกรวบเป็นหางม้าเหมือนเดิม แม้เธอจะสังเกตุเห็นอยู่เหมือนกันว่าใบหน้าของสารินนั้นผุดผ่องทั้งๆ ที่ทาเพียงแป้งฝุ่น และริมฝีปากที่เคลือบลิปมันธรรมดาก็ดูมีสีระเรื่อตามธรรมชาติ แต่การที่สารินเอาแว่นอันโตมาใส่ แถมยังมีโซ่ห้อยด้วยนี่สิ มันทำให้ดูเชยขึ้นมาทันที แม้ว่านัยน์ตาของสารินจะดูกลมโตก็เถอะ
ทั้งชั้นปูพรมแดงเลยนะ ยังกับโรงแรมแน่ะ เฟอร์นิเจอร์ก็หรูชะมัด แค่โต๊ะเลขานุการก็โอ่อ่าซะไม่มี อยากเป็นเลขาท่านประธานจังนะ ท่าจะโก้ วิไลเรขาทำท่าฝัน
สารินยิ้มนิดๆ กับจอคอมพิวเตอร์ที่เธอกำลังอ่านทบทวนจดหมายที่พิมพ์อยู่ แล้วก็เลื่อนเม้าท์ไปกดเซฟงานเมื่ออ่านทวนทุกอย่างถูกต้องแล้ว
หล่อมากเลยนะท่านประธานคนนี้ แถมยังเก่งอีกต่างหาก ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ ทีมงานของเขานี่ก็เก่งๆ รวยๆ จบจากนอกทั้งนั้น คนรวยอยู่กับคนรวยนี่เงินมันช่างงอกเงยเหลือเกิน
สารินยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แม้วิไลเรขาจะเป็นคนพูดมากไปนิด แต่ก็ตรงไปตรงมา ดูง่าย คิดอย่างไรทำอย่างนั้น เป็นพนักงานหญิงคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด
นี่ก็วันศุกร์แล้ว ไม่รู้ว่าในห้องทำงานเรียบร้อยแล้วยัง ได้ยินช่างเขาบ่นอุบเลยที่มาเปลี่ยนแบบกะทันหันอย่างนี้ ต้องรื้อมาทำใหม่หมด คุณภูมิไทเขาส่งทีมงานมาคุมเองเชียวละ สงสัยกลัวไม่ถูกใจ เออ ..เย็นนี้ไปเดินห้างกันไหม ? ตอนท้ายวิไลเรขาเปลี่ยนเรื่องปุบปับ
ไปทำไม
ไปดูชุดนะสิ รู้ไหมแผนกอื่นๆ เขากรีดกราดกันใหญ่เรื่องคุณภูมิไทนี่ ฉันจะยอมแพ้ได้ยังไง
สารินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ บริษัทอนุญาตให้พนักงานใส่ชุดตามสบายได้แค่วันศุกร์วันเดียวเท่านั้น แต่วิไลเรขาถึงกับอยากจะเข้าร่วมแข่งแต่งตัวด้วย แต่จะว่าก็ไม่ได้เพราะวิไลเรขาก็เป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว ถ้าจะสังเกตก็จะเห็นว่าในทุกวันศุกร์เจ้าตัวก็แทบจะไม่เคยใส่ซ้ำชุดกันเลย
หัวเราะทำไม ว่าได้เรอะ ฉันอาจจะกลายเป็นนางซิน ขึ้นมาก็ได้ คุณภูมิไทนี่เขายังโสดอยู่นะ ถึงจะไม่สดก็เถอะ
แล้วไง ?
แหมเธอนี่ อย่ามาถามมากได้ไหม คนอะไรไม่รู้จักคิดเอาเองบ้าง จะต้องให้พูดออกมาโต้งๆ ด้วยเหรอว่าฉันก็เผื่อฟลุคเหมือนกัน วิไลเรขาพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด แล้วก็เดินฉับๆ กลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเฉย แต่ก็ด้วยสาเหตุที่สารินรู้อยู่แก่ใจเมื่อร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะของเธอ
ป๋าสมุทรให้ผมมาเอารายงานการประชุม พิมพ์เสร็จแล้วยัง
เสร็จแล้วค่ะ สารินตอบ เปิดแฟ้มหาเอกสารอยู่ชั่วครู่แล้วยื่นส่งให้เขา
ขอบคุณ เขาพูดเรียบๆ รับเอกสารแล้วก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจอะไร
หมั่นไส้ เสียงวิไลเรขาดังขึ้น เธอเดินกลับมาที่โต๊ะสารินอีกครั้ง สมน้ำหน้า คราวนี้ตกกระป๋องแล้ว
เกริกพล เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย เขาเข้ามาทำงานก่อนสารินและวิไลเรขาไม่นานนัก ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี วิไลเรขาปิ๊งเขาเหมือนกันในตอนแรก แต่เกริกพลดูจะเฉยๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะกับวิไลเรขาหรอกที่สนใจเขา พนักงานหญิงหลายคน ที่ยังโสดก็ชื่นชมเขาไม่น้อย และมีหลายคนยังไม่ละความพยายาม แต่วิไลเรขาถอยฉากออกมาเมื่อเจอลูกเฉยของเขา
ยังกะตัวเองหล่อนักนี่ ท่านประธานมาก็จ๋อย ทำหยิ่งนัก สมน้ำหน้า วิไลเรขาว่าเขาลับหลัง แล้วก็ถามเอาดื้อๆ ว่า ตกลงไปไหม ?
ไม่
งั้นก็ยืมสักพันซิ สิ้นเดือนคืนให้ วิไลเรขา ขอยืมเงินง่าย ๆ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่มีสารินเป็นเพื่อนซี้ เพราะมีประโยชน์ เป็นถุงเงินให้ยามที่เธอขาดแคลน
สารินหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา แล้วเอาแบงค์ห้าร้อยสองใบส่งให้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะวิไลเรขา ก็เคยยืมเงินเธอบ่อยๆ แต่ก็ใช้คืนตามกำหนดตามที่บอกทุกครั้ง สารินยังพอจะให้ได้ตราบใดอีกฝ่ายไม่เบี้ยว เพราะเธอเองก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร และเงินเดือนของที่นี่ก็ไม่กี่พัน แต่เพราะเธอไม่ได้ ไปใช้จ่ายทางไหน นอกจากเรื่องส่วนตัวเธอเอง มันจึงพอจะให้คนอื่นหยิบยืมได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
อยากได้อะไรไหม จะซื้อมาให้
ทิชชู่สองม้วนแล้วกัน สารินตอบหน้าเฉย เล่นเอาอีกฝ่ายตวัดค้อนให้ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
เมื่อวิไลเรขาเดินไปแล้ว สารินก็จัดเรียงเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ วันนี้งานพิมพ์ของเธอค่อนข้างมาก สาเหตุก็เพราะการย้ายมาทำงานที่นี่ของท่านประธานนั่นแหละ
เพราะเจ้านายใหญ่มาอยู่ใกล้ ลูกน้องที่เคยทำงานแบบสบายๆ เรื่อยๆ เฉื่อยๆ จึงต้องกระวีกระวาดสะสางงานที่คั่งค้างไว้
เดี๋ยวเรียกดูรายงานละเป็นยุ่งเลย นายอำพล มฤธร ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโสเปรยๆ ออกมา เพราะเรื่องสถิติแล้วเขาไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเป็นราวนัก
ยิ่งได้ข่าวว่าจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ เผลอๆ ยุบที่นี่ละก็ เป็นเรื่อง
ข่าวเรื่องการยุบที่นี่ มีมาตั้งแต่เธอเข้าทำงานใหม่ๆ จะว่าไปแล้ว ยอดขายของบริษัทนี้ขี้ปะะติ๋วมาก ถ้าจะเทียบกับที่อื่นๆ ที่เป็นบริษัทในเครือของ เดอะซันคอร์ป แต่ที่ยังรีรอไม่ยุบเสียที ก็คงจะเป็นเพราะบริษัทนี้ตั้งขึ้นสมัยนาย กรรชิต วงศ์อิสระ เป็นผู้บุกเบิก คงคิดจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกกระมัง
ที่อื่นก็มีตั้งเยอะแยะมากมาย ทำไมถึงได้เลือกมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ นายอำพลบ่นต่อ เมื่อยื่นเอกสารให้เธอ แม่เลขา ของฉันก็ดันมาลาพักร้อนเสียนี่ ช่วยสงเคราะห์พิมพ์งานให้คนแก่หน่อยแล้วกัน อันไหนพอจัดเข้าพวก รวบรวมเข้าแฟ้มได้ ก็ช่วยจัดให้ที
และเมื่อสารินทำให้นายอำพลได้ คนอื่นๆ ก็พลอยทยอยตามมาเรื่อยๆ งานในตำแหน่งของเธอซึ่งจริงๆ แล้วคือพนักงานธุรการ ซึ่งไม่มีรายละเอียดของหน้าที่งานอย่างชัดเจน เพียงแต่รับคำสั่งจากคุณบุษกร ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเป็นวันๆ ไป แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ย้ายมาทำงานที่นี่ชั่วคราวของประธานบริษัท งานส่วนใหญ่ของสารินจึงกลายเป็นงานพิมพ์เอกสารเสียเป็นส่วนมาก
สารินอยู่พิมพ์งานจนเลยเวลาเลิกงานไปเกือบชั่วโมง เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ทุกคนในบริษัทจึงออกไปกันเร็ว แต่เธออยากจะเคลียร์งานทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อว่าวันจันทร์จะได้ทำงานใหม่ไม่ต้องคั่งค้าง คุณสมบัติข้อนี้ของเธอจึงเป็นที่พอใจของคุณบุษกรผู้จัดการฝ่ายบุคคลไม่น้อย
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย เมื่อคิดถึงท่าทางเจ้าระเบียบใบหน้าเคร่งของคุณบุษกรเมื่อแรกเห็น สตรีวัยสี่สิบผู้นี้ ตัดสินใจรับเธอเข้ามาทำงานทั้งๆที่เธอไม่ได้แสดงวุฒิการศึกษาใดๆเลยในตอนแรก วันนั้นเธอเพียงแต่นั่งรถเมลผ่านและเห็นป้ายประกาศรับพนักงานจึงลงรถตั้งใจจะมาถามดูเท่านั้น แต่มันเป็นความบังเอิญที่ได้งานอย่างไม่คาดฝัน เพราะมันตรงกับวันที่วิไลเรขา ผู้ซึ่งไม่มีหลักฐานอะไรมาแสดงเลย นอกจากนามบัตรของใครคนหนึ่งเข้ามาพร้อมๆ กับเธอ และคุณบุษกรผู้ซึ่งเจ้าระเบียบและคงไม่ชอบลักษณะเด็กเส้นเด็กฝาก เลยประชดโดยการรับเธอ เข้ามาเหมือนกัน
ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ขัน และจริงจังในการทำงานมาก บริษัทนี้ไม่ต้องการคนที่ดีแต่แต่งตัว หยิบโหย่ง พูดซุบซิบนินทา หรือพูดเล่นทั้งวัน มาอยู่ที่นี่มีกฎระเบียบที่ต้องรู้จักเคารพรักษา เรื่องการตรงต่อเวลาสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ควรจะมาทำงานสาย หรือเบียดบังเวลาของบริษัทไปเข้าห้องน้ำ แต่งหน้าทาคิ้วบ่อยๆ ในเวลาทำงาน และหากพวกเธอไม่สามารถทำงานได้ภายในสามเดือนจะถูกให้ออก เข้าใจไหม ?
ค่ะ ทั้งเธอและวิไลเรขาตอบรับคำพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่มีการสัมภาษณ์ใดๆอีก นอกจากบอกว่ามาเริ่มงานได้เมื่อไหร่ และเมื่อจะเดินออกจากห้อง สารินก็เห็น คุณบุษกร เอานามบัตรแผ่นนั้นโยนลงตระกร้าขยะ พร้อมเสียงบ่นอย่างไม่สนใจว่าจะได้ยินหรือไม่ว่า
กินเงินเดือนสามเดือนฟรีๆ ที่นี่ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก
สารินไม่รู้หรอกว่า เจ้าของนามบัตรคือใคร และก็ไม่ได้ไต่ถามวิไลเรขาด้วย แต่ทั้งเธอและวิไลเรขา ก็รอดมาจนได้ใส่ชุดพนักงานของที่นี่ไปเสียแล้ว
ใกล้หกโมง สารินก็เก็บเอกสารทุกอย่างไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้น เพราะเห็นว่าไม่มีใครเธอจึงถอดแว่นตาออก บิดกายซ้ายขวาแก้เมื่อยที่นั่งอยู่เป็นนาน ปล่อยผมที่รัดตึงไว้สยายออกเต็มแผ่นหลัง สางมันด้วยมือช้าๆ อย่างผ่อนคลายอารมณ์ หากไม่คิดอะไรมาก ทำงานที่นี่ ก็พอทำให้เธอสบายพอเอาตัวรอดได้สักระยะ อีกปีเดียวพี่ชายของเธอก็จะเรียนจบกลับมาแล้ว ทุกอย่างคงจะดีขึ้นเองนั่นแหละ
กลับกันหมดแล้วเหรอ ?
หญิงสาวสะดุ้งกับเสียงห้าวๆ มือที่สางผมค้างอยู่ คนถามเป็นชายร่างสูง แต่ดูหนากว่าเกริกพล เธอมองหน้าเขาไม่ถนัดนักเพราะเขาอยู่ในมุมสลัว เนื่องจากไฟด้านนอกปิดหมดแล้ว เธอเองก็เปิดเฉพาะส่วนที่ตนทำงาน
คงเป็นเพราะเธอให้คำตอบเขาได้ไม่ทันใจละมัง สารินจึงได้ยินเสียงจุ๊ปากอย่างรำคาญ ร่างสูงนั่นไม่รอคำตอบ เดินจากไปอย่างคนใจร้อน แม้จะสลัวแต่สารินก็มองผ่านกระจกเห็นเขาก้าวเร็วๆขึ้นบันไดชั้นบน
คงเป็นคนของท่านประธานมาดูความเรียบร้อย เธอคิดอย่างไม่สนใจนัก รวบผมแล้วใช้ที่รัดไว้เหมือนเดิม เปิดลิ้นชักหยิบของส่วนตัวออกใส่กระเป๋าสะพายใบโตเตรียมตัวกลับ
ออกจากห้องก็ได้ยินเสียงฝีเท้าลงบันไดมา สารินจึงรีบซอยเท้าลงบันไดหน้าตึก แล้วก็เห็นรถสปอร์ตสีเงินจอดอยู่คันหนึ่ง หญิงสาวเดินไปตามถนนคอนกรีตที่ทอดออกไปสู่ประตูหน้าติดถนนใหญ่ มันไม่ได้กว้างมากนักหรอก แต่ก็พอที่จะทำให้เธอเดินชิดขอบได้อย่างไม่เบียดเบียนรถ แต่เสียงแตรที่ดังถี่ยาวด้านหลัง ทำให้สารินต้องรีบเบียดตัวเข้ากับพุ่มไม้ด้านข้างอย่างอัตโนมัติ แต่ก็ยังไม่วายตกใจ เมื่อรถคนนั้นวิ่งเฉียดออกไปแบบเส้นยาผ่าแปด
บ้าเอ้ย! สารินสบถออกมาอย่างอดไม่ได้ และเมื่อถึงหน้าประตูเธอก็ถามยามว่า
รถใครน่ะลุง
รถท่านประธานคุณภูมิไทครับ
สารินเม้มปาก เธอเป็นคนรักสงบนะ แต่ก็หมายหัวท่านประธานเอาไว้ในใจเลยทีเดียวว่า คนๆนี้ ไม่มีน้ำใจ ใจร้อน และคงเอาแต่ใจตัวเอง ข้อเสียสามประการที่คิดขึ้นได้ตอนนี้ ก็เพียงพอแล้วที่เธอจะไม่ชอบหน้าเขา
- - - - - -
บทที่ ๒