forwriter.com
 
นวนิยายโรแมนติก

 

เบี่ยงหัวใจ...ให้เจอรัก

 
 
เบี่ยงหัวใจ ให้เจอรัก 2

 

 

สารินกลับมาถึงบ้านเกือบทุ่ม บ้านเธอเป็นตึกสองชั้นไม่ได้กว้างขวางอะไร เป็นบ้านจัดสรรประมาณหกสิบตารางวาอยู่ในสุดของถนนหมู่บ้าน แต่ที่ตรงข้ามเป็นเรียกได้ว่า เป็นคฤหาสน์ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของคครอบครัวอันทรงเกียรติของพ่อเธอผู้เป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านแห่งนี้

เธอไม่นึกสงสัยแต่อย่างใดที่เห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่นอกรั้วหน้าบ้าน เพราะไม่เคยมีแขกมาหา อาจจะเป็นรถของใครสักคน ที่มาเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องในหลังใดหลังหนึ่งก็ได้ แน่นอน มันไม่ใช่หลังตรงข้ามอีกนั่นแหละ เพราะภายในนั้นมีทีทางกว้างขวาง จอดรถได้เป็นสิบๆ คัน

สารินเปิดประตูบ้านเข้าไป ก็ได้ยินเสียงทักว่า

“ รินทำไมกลับค่ำจัง ”

“ พี่มินต์ไหนบอกจะมาถึงพรุ่งนี้ไง ”

มินตรา พี่สาวคนสวยของเธอยิ้มแย้ม อยู่ที่โต๊ะอาหาร ที่มีแม่และชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ร่วมอยู่ด้วย

“ มารู้จักคุณอนันต์ เจ้านายพี่ก่อน ”

สารินวางกระเป๋าตัวเองลงที่โซฟารับแขก เสียก่อนจะยกมือไหว้เขา ความคับแคบของบ้าน ไม่ได้ทำให้มีสัดส่วนชัดเจนว่าตรงไหนจะรับแขก ตรงไหนจะกินข้าว เห็นเฟอร์นิเจอร์อะไรตรงไหน มันก็ตรงนั้นแหละ และโต๊ะกินข้าวมันก็อยู่ไม่ห่างจากโซฟาสักนิด

ชายหนุ่มผู้มีนามว่าอนันต์รับไหว้ และยิ้มให้เธออย่างใจดี จะว่าสารินไม่รู้จักเขาก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะพี่สาวเคยเอ่ยชื่อนี้ให้ฟังบ่อยครั้ง ในฐานะลูกชายเจ้าของโรงเรียนที่มินตราสอนอยู่

สารินไหว้เขาแล้วก็เดินเลยออกไปยังช่องประตูที่ผ่านไปสู่ห้องครัว ซึ่งเป็นห้องกว้างแปดเมตร ขนานไปกับด้านกว้างของตัวบ้านแต่ความยาวเพียงสองเมตรครึ่งเท่านั้น มาต่อเติมเอาทีหลัง มุมด้านซ้ายใช้เป็นที่ทำอาหารและชะล้าง ส่วนด้านขวาเป็นที่ตั้งโต๊ะรีดผ้าและเครื่องซักผ้า

สารินเปิดตู้เย็นและยกขวดน้ำเย็นมาดื่ม หูแว่วได้ยินเหมือน นายอนันต์กำลังขอตัวกลับ เธอเลยเตร่อยู่ในครัวไม่อยากออกไปไหว้ลาอีกครั้ง เมื่อเปิดหม้อบนเตาก็เห็นว่ามารดาทำพะโล้น่องไก่เอาไว้ จึงหยิบเอาผักคะน้าที่เตรียมเอาไว้ใส่ลงไป นี่เป็นอาหารโปรดของเธอและมินตราทีเดียว

“ แม่ รินตั้งโต๊ะเลยนะ ” เธอแย้มหน้ามาบอกมารดา มองทะลุออกไปก็เห็นมินตราเดินออกไปส่งแขก สารินหยิบชามมาตักน่องไก่ นางสุทิสา มารดาก็มาแย่งชามไปจากมือ

“ ไปจัดโต๊ะให้เรียบร้อยเสียก่อน ”

สารินย่นจมูก เธอเคยคิดอย่างขำๆ ว่าเห็นจนๆ อย่างนี้เถอะ แม่เป็นเนี๊ยบที่สุดสำหรับโต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นจานชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดปาก ทุกอย่างต้องจัดวางถูกต้องและดูดีราวกับอยู่ในร้านอาหารหรู จะต่างกันก็แค่อุปกรณ์ไม่มีราคาแพงเหมือนเท่านั้น

“ มารยาทบนโต๊ะอาหาร ถ้าไม่ฝึกในบ้าน แล้วจะไปฝึกที่ไหน ” แม่จะพูดแค่นี้ แต่ลูกต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ยามมีอารมณ์ขัน พี่สาวก็จะกระซิบเธอว่า

“ อย่าเถียงอดีตพนักงานดีเด่นของห้องอาหารโรงแรมชั้นหนึ่ง ”

มินตราเป็นพี่สาวที่สวยและใจดีมีอารมณ์ขัน สนิทสนมกับเธอดีแม้จะอายุห่างกันเกือบห้าปี เป็นผู้หญิงที่สารินคิดว่า ควรจะมีเจ้าชายรูปหล่อๆ สักคนเอารถมา ...

“ โอ๊ย !”

เสียงอุทานของมินตราทำให้สารินละอย่างภวังค์ วางช้อนส้อมที่ถือ วิ่งออกไปทันที เมื่อเห็นมินตราที่นั่งเข่าคู้อยู่กับพื้น ก็ส่งเสียงถามอย่างตกใจว่า

“ พี่มินต์เจ็บไหมคะ? ”

แต่มินตราโบกมือ เมื่อเธอจะเข้าช่วยพยุง น้ำเสียงออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อบอกว่า

“ พี่ไม่เป็นไร ไม้เท้านี่สิ มันไปขัดกับหิน เลยทำให้ล้ม ”

สารินเม้มปากมองด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เพราะรู้นิสัยพี่สาวดีเธอจึงพูดว่า

“ งั้นรินไปจัดโต๊ะต่อนะคะ ”

บอกแล้วก็รีบเดินเข้าบ้าน พอสบสายตาเป็นห่วงของมารดาที่ยืนอยู่ สารินส่ายหน้าพูดเบาๆ ว่า

“ ล้มอีกแล้วค่ะ ”

สารินบอกแล้วก็เดินไปยกอาหารมาตั้งโต๊ะ เหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ในใจนั้นก็อดจะคิดไม่ได้ จากประตูรั้วหน้าบ้าน มาถึงตัวบ้านยาวเพียงสามเมตร เป็นพื้นหญ้าที่วางทับด้วยหินกาบเป็นระยะทางเดิน เธอเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า น่าจะเทคอนกรีตแล้วปูกระเบื้องเสีย มารดานั้นเห็นด้วยหรอก แต่มินตราเองที่บอกว่า

“ เสียเงินเปล่าๆ เห็นแต่พื้นคอนกรีตกระเบื้อง มินต์ไม่ชอบค่ะ ”

เมื่อผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการนี้ปฏิเสธ ก็ยากที่ใครจะเปลี่ยนใจได้ ความเข้มแข็งเด็ดขาดของมินตรา เป็นสิ่งที่สารินชื่นชมอยากเอาเป็นแบบอย่าง แต่บุคลิกอย่างนี้ กลับเป็นที่เดือดดาลของผู้เป็นพ่อ

“ ขาเป๋ ออกอย่างนั้นยังจองหอง ”

สารินจำได้ว่าเห็นพี่สาวรับฟังด้วยใบหน้าชาเฉย แต่คำพูดที่ย้อนออกไปทำเอาผู้เป็นพ่อสะอึก

“ ก็คิดเสียว่า นังเป๋คนนี้ไม่ใช่ลูกก็แล้วกัน ”

จากนั้นพ่อลูกคู่นี้ก็ไม่เคยพูดกันตรงๆ สักครั้ง แต่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะน้อยครั้งเหมือนกันที่พ่อจะมาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของลูกๆ

สารินไม่เคยคิดตำหนิพี่สาวที่พูดอย่างนั้น เธอเข้าใจความคับแค้นใจของพี่สาวได้ดี มินตราไม่ได้ขาเป๋แต่กำเนิด แต่เป็นเพราะเธอถูกรถชนเมื่อเรียนอยู่ปีสองมหาวิทยาลัยมีชื่อ และคนที่ชนก็เป็นหลานชายของคุณวีรยา ภรรยาผู้เชิดหน้าชูตาของพ่อ เป็นความกล้ำกลืนที่ต้องยอมรับ เมื่อพ่อกลายเป็นทนายหน้าหอมาต่อรองแทนฝ่ายโน้นว่ายอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญด้วยเงินก้อนหนึ่ง พร้อมกับเงื่อนไขอีกอย่างว่า

“ ถ้าไม่เอาเรื่องอะไร คุณวีรยารับปากจะส่งนายเวศน์ไปเรียนเมืองนอก ”

จากอุบัติเหตุครั้งนั้นมินตราพักรักษาตัวอยู่เกือบปีแต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้เงินมาทดแทนส่วนที่เสียไปได้ทั้งหมด มินตรามีอาการเจ็บปวดที่ขาด้านซ้ายต้องใช้ไม้เท้าเดินพยุงตัวเองมาตลอด และต้องออกจากมหาวิทยาลัยโอนหน่วยกิตมาเรียนทางไกลด้วยตัวเอง แต่มินตราก็ใจสู้เรียนจนจบได้รับปริญญาตรี

ตอนเรียนจบคุณวีรยามาเปรยเหมือนช่วยเหลือ จะให้ไปทำงานที่โรงแรมของเธอ ตำแหน่งพนักงานต้อนรับด้วยเหตุผลที่ว่า “ อยู่หลังเคาน์เตอร์ทั้งวัน คนจะได้ไม่รู้ว่าขาเป๋ ”

เล่นเอาทะเลาะกันทั้งบ้าน เพราะมินตราใช้ไม้เท้านั้นแหละฟาดคุณวีรยาเข้าให้ แต่คุณวีรยาก็ตอบโต้ผลักมินตราล้ม ต้องเข้าโรงพยาบาลไปเกือบอาทิตย์ ในที่สุด แม่ก็ต้องยื่นเป็นคำขาดว่า อย่าได้มายุ่งที่บ้านอีกเป็นอันขาด ทั้งพ่อและเมียหลวงพ่อด้วย ไม่งั้นแม่อาจจะยิงเอาง่ายๆ แม่เป็นคนไม่ค่อยพูด แต่หากได้บอกอะไรแล้ว ถือเป็นเด็ดขาดสิ้นสุด พ่อไม่กล้าหือเพราะรู้ว่าแม่ทำจริง

แต่ผลต่อเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็คือ คุณวีรยาตัดการช่วยเหลือนิเวศน์ที่เมืองนอกเสียดื้อๆ เงินที่ได้รับมาเป็นก้อนจึงร่อยหรอกับการส่งไปช่วยพี่ชายที่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินช่วยตัวเองอยู่ที่โน่น

ความเดือดร้อนเรื่องเงินนี้ แม่และมินตราเป็นคนแบกรับความรับผิดชอบ ไม่ยอมให้สารินเข้ามายุ่งเกี่ยว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า

“ เก็บเงินเอาไว้เรียนต่อเถอะ ”

สารินไม่ใช่คนเรียนเก่งและขยันเหมือนพี่สาว เธอจึงจบแค่พาณิชย์เท่านั้น แต่นั่นไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ เพราะเธอเองมีความตั้งใจที่จะหาช่องทางไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยคิดว่าจะรอให้พี่ชายกลับมาเสียก่อน เพราะ แม้แม่และพี่สาวจะมองว่าเธอยังเป็นเด็ก แต่เธอก็มีความเป็นห่วงไม่อยากจากไป บ้านหลังนี้อาจจะไม่พึ่งพาเธอเรื่องเงิน แต่เรื่องอื่นๆ จิปาถะ ก็มีแต่สารินเท่านั้นที่เป็นคนจัดการ

แต่ลึกๆ แล้วสารินรู้ว่า แม่และพี่สาว ไม่ต้องการเงินที่มาจากพ่อ ซึ่งมักจะหยิบยื่นให้เธอเสมอเมื่อเจอกัน

บางครั้งสารินก็คิดอยู่เหมือนกันว่าที่พ่อให้เธอคล้ายดั่งจะเอาเธอไปเป็นพวก เพื่อจะดูถูกว่าแม่ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูก จนต้องรับเงินจากพ่อ แต่สารินรู้ว่าตัวเองรับเพราะอะไร แถมบางทียังประจบขอพ่อเสียด้วยซ้ำเวลาอยู่ต่อหน้าคุณวีรยา เพียงเพราะอยากแกล้งคุณวีรยาเล่น และเธอก็เป็นคนเดียวที่เมื่อคิดอยากจะข้ามไปบ้านนั้น สารินก็จะเข้าไปโดยไม่แคร์หน้าไหนจะต้อนรับหรือเปล่า เพราะนั่นคือบ้านของพ่อเธอ

“ นังเด็กรินนั่น มันร้ายลึกเสียยิ่งกว่าแม่กับพี่สาวมันอีก ” นั่นคือคำพูดที่เธอเคยได้ยิน จากคุณไรวา หลานสาวคุณวีรยา ที่มีอายุไล่เลี่ยกับมินตรา ไรวา ชอบมาพักที่บ้านบ่อยๆ เพราะเป็นหลานรักของคุณวีรยา พ่อเคยเล่าว่าคุณวีรยาอยากรับไรวาเป็นลูกบุตรธรรม เพราะคุณวีรยาไม่มีลูกเป็นของตัวเอง แต่พ่อปฏิเสธ แม้พ่อจะไม่พูดกับแม่และมินตรา แต่พ่อก็มีสายเลือดของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรสารินก็รู้ว่าพ่อรักลูก เพียงแต่บางครั้งออกจะทิฐิเท่านั้นเอง ท่านอยากเห็นลูกเป็นฝ่ายโอนอ่อนเข้าหา แต่ทั้งพี่ชายและพี่สาวเธอไม่ใช่คนแบบนั้น สารินจึงต้องรับบทนี้เสียเอง

เสียงเลื่อนเปิดประตูมุ้งลวดทำให้สาริน หันไปมอง ใบหน้าของมินตราเหยเก คงปวดอยู่เหมือนกัน แต่สารินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปช่วยมารดายกอาหารมาตั้งโต๊ะ

เมื่อกินเสร็จ สารินก็ลุกขึ้น ไปเอาจานผลไม้จากตู้เย็นมาเสริฟ พร้อมถามพี่สาวว่า

“ ไปเที่ยวทะเลสนุกไหม ”

“ ไปสัมมนาไม่ได้ไปเที่ยว ” มินตราแก้

“ มีอะไรมาฝากรินหรือเปล่า ”

“ ที่ทับกระดาษ ”

“ หา? ” ท่าทางของเธอทำเอาแม่กับพี่สาวถึงกับหัวเราะออกมา

“ มีหมวกสานด้วยนะ ซื้อมาสามใบ ไว้ตอนทำสวนจะได้บังแดด ”

“ ทำสวนด้วย? ” สารินหันไปทางมารดาฟ้องว่า “ แม่ดูวิธีคิดซึ้อของฝากพี่มินต์สิ เอาแต่ประโยชน์ตัวเองชัดๆ ทำสวนทีไรมีแต่รินขุดดินทั้งนั้น พี่มินต์ชี้นิ้วอย่างเดียว ”

“ อ้าว ไม่ชี้บอก แล้วรินจะทำได้ดั่งใจแม่กับพี่เหรอ ”

“ พี่มินต์น่ะ เอาเปรียบน้อง หมวกสวยไหม? ”

สารินกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้น ขณะที่แม่และพี่สาวยังหัวเราะ แต่เธอก็เดินไปที่ถุงข้าวของที่วางอยู่ตรงมุมบันไดขึ้นชั้นสอง ถือมันออกมา หยิบหมวกสานที่มีริบบิ้นและดอกไม้เล็กคาดอยู่ออกมาสวมหัวเสีย ยังเผื่อแผ่ไปวางบนหัวพี่สาวอีกคนด้วย แต่กับแม่นั้นไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ค้นในถุงหยิบเอาที่ทับกระดาษเป็นแก้วที่มีน้ำสีน้ำเงินอยู่ข้างในพร้อมพวกทรายและกุ้งหอยปูปลาเล็กๆ สามสี่อันมาวางไว้บนโต๊ะ สารินหยิบอันหนึ่งขึ้นมาเดาะเล่นพูดว่า

“ กำลังเหมาะมือทีเดียว รินจะเอาไว้ขว้างหัวเจ้านายคนใหม่ ”

“ อ้าว ย้ายเข้ามาแล้วเหรอ? ”

สารินเบะปากนิดๆ เมื่อพี่สาวย้อนถาม มินตรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำงานเธอตลอด แม้เธออาจจะไม่ใช่คนช่างพูดในที่ทำงาน แต่เมื่ออยู่บ้าน เธอก็จ้อกับพี่สาวประจำ เรียกได้ว่าบุคลิกในที่ทำงานกับที่บ้านของเธอ เหมือนหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

“ คงวันจันทร์ค่ะ แต่แหมมันน่าหมั่นไส้เมื่อเย็นนี้ คิดว่าตัวเองหล่อเป็นพระเอกหนังรึไงไม่รู้ ขับรถมาเฉี่ยวริน จนเกือบ... เอ้อ... ” สารินอึกอักเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของพี่สาว เธอลืมไปเลยเชียวว่า หลานชายคุณวีรยาผู้ขับรถชนมินตรา เป็นพระเอกละครชื่อดัง แม้ตอนนี้เขาจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศแล้วก็ตาม แต่ข่าวคราวและผลงานของเขายังเห็นเป็นครั้งเป็นคราวในหนังสือพิมพ์ และรายการข่าวบันเทิงในทีวี เปิดเจอทีไรทีวีแทบพังเพราะมินตราจะฉวยอะไรที่ใกล้มือเขวี้ยงใส่ทันที แม้โดยปกติมินตราจะเป็นคนสุภาพ แต่เมื่อถูกมารดาเตือนในเรื่องระเบิดอารมณ์อย่างนี้ น้ำเสียงที่เคยหวานใสจะแปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวคลั่งแค้นทันทีว่า

“ ใครจะลืมจะให้อภัยมันได้ก็ทำไป แต่ไอ้เลวนี่ มินต์เกลียดมันจนตาย ”

- - - - - - - -

“ คุณบุษกร หาคนไปเก็บเอกสารที่ห้องท่านประธานด้วย ” นายอำพลเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องพูดด้วยเสียงอันดังก่อนจะผลุบกลับไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของนายอำพลมาก ที่มักจะเข้ามาพูดคุยเล่นกับพวกพนักงานสาวๆ ในห้องที่มีอยู่ร่วมสิบคนที่นี่

คุณบุษกรเม้มปากนิดๆ เมื่อชำเลืองไปรอบๆ พนักงานที่เอื่อยเฉื่อยพร้อมจะพักอยู่เมื่อครู่ ดูเหมือนทุกคนจะหยิบงานของตนขึ้นมาทำอย่างขมีขมันทีเดียว ก็แน่ล่ะในเมื่อนาฬิกาบนผนังมันบอกว่า อีกสิบห้านาทีจะพักเที่ยง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครอยากจะขึ้นไปช่วยงานห้งอท่านประธานหรือเปล่า ใครๆ ก็ต้องอยากจะพักดัวยกันทั้งนั้น ซึ่งจะไปตำหนิพนักงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาต้องการทำเท่ารที่กับที่ตัวเองได้รับ จะไปเรียกร้องให้เสียสละนะเหรอ? มันยากนัก การเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของเธอมีเรื่องให้ปวดหัววุ่นวายไม่น้อย เมื่อก่อนมันก็ไม่มีอะไรมากนัก หากตั้งแต่ท่านประธานย้ายมาทำงานที่นี่นะสิ ตอนแรกพนักงานก็พากันตื่นเต้นกันยกใหญ่ โดยเฉพาะพนักงานสาวๆ ที่พออกพอใจจะได้พบกับท่านประธานรูปหล่อมาดเข้ม แต่หลังจากผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์ของการมาอยู่ที่นี่ของท่านประธาน ที่พนักงานได้ตระหนักถึงความเอาจริงเอาจังกับการทำงาน และพร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลาถ้าทำงานไม่ได้ดั่งใจ ก็เล่นเอาทุกคนขยาดไปตามๆ กัน ความยุ่งยากมันก็เกิดเสริมมาขึ้นเพราะเลขานุการซึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนของท่านประธานที่จะติดตามมาจากสำนักงานใหญ่ได้รับอุบัติเหตุ ขับรถชนราวสะพาน ได้รับบาดเจ็บหลังจากมาทำงานที่นี่ได้เพียงสองวัน คุณนันทนาต้องพักรักษาตัวอยู่ประมาณสองสามเดือน ภูมิไท ที่มาทำงานในสถานท่ใหม่ แถมยังขาดเลขานุการคู่ใจมาช่วย ดูเขาออกจะหงุดหงิดไม่น้อย และไม่ว่าจะส่งใครขึ้นไปช่วยทำงานแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ ถูกตะเพิดลงมาบ่อยๆ

คุณบุษกรมองไปยังร่างที่นั่งอยู่ปลายสุดห้อง สั่งเสียงดังว่า

“ สาริน ขึ้นไปช่วยข้างบนหน่อยสิ ”

“ ค่ะ ” สารินตอบรับ แทบจะได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากเพื่อนร่วมงานในห้องทีเดียว วิไลเรขา ยังลอบทำมือเป็นเครื่องหมายโชคดีให้เธอเสียอีก

“ จะเอาให้ได้ดังใจทุกอย่าง ทันใจทุกอย่างเหมือนสำนักงานใหญ่ที่มีคนรองมือรองเท้าได้ยังไงนะ ” เป็นเสียงกระแหนะกระแหนที่วิไลเรขาเคยโพล่งออกมาทันที ที่ลงมาจากห้องประธานเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จากความชื่นชมตื่นเต้นในความเก่ง ความหล่อ ความรวย ของท่านประธานกลายเป็นเสียงค่อนขอดนินทาถึงความใจ และช่างเหน็บแนมอย่างไม่ไว้หน้า เมื่อทำงานไม่ได้ดังใจ

“ คนอะไรหยิ่ง แถมดุชะมัด ขึ้นไปถึงก็สั่งๆๆๆ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาเสียเลย ยังกับว่าเราหุ่นยนตร์อย่างนั้นแหละ มีบ้างเหมือนกันที่มองเรานะ แต่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย แล้วก็ส่ายหน้า ...เธอลงไปได้... ” ตอนท้ายวิไรเรชาแกล้งเลียนเสียงภูมิไทได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งทำเอาสารินอดจะหัวเราะไม่ได้ แม้ว่าจะยังไม่เคยได้ยินเสียงท่านประธานนั่นก็ตาม

สารินเดินขึ้นบันไดถึงชั้นสาม อันเป็นห้องทำงานของท่านประธาน มันดูหรูหราอย่างที่วิไลเรขาเล่าให้ฟัง แต่เงียบปราศจากชีวิตชีวา มันเงียบราวกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพนักงานคนไหนกล้าขึ้นมา ถ้าไม่มีคำสั่งเรียกตัว หญิงสาวเดินไปถึงประตูหน้าห้องยกมือเคาะเบาๆ มีเสียงตอบอนุญาตเธอจึงเปิดเข้าไป แล้วบานประตูก็ดึงกลับเองเสียงดังจนสารินสะดุ้ง แต่ผู้ที่ก้มหน้าทำงานอยู่ไม่ได้สนใจจะเงยหน้าแม้แต่น้อย

สารินยืนนิ่งอึกอักอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะพูดว่า

“ คุณบุษกรให้ขึ้นมา ... ”

“ เอกสารอยู่ซ้ายมือ ”

คนบอกตัดบททั้งๆที่ไม่เงยหน้าเช่นเดิม สารินเดินไปยังมุมซ้ายมือ มีแฟ้มเอกสารกองโตวางอยู่บนโต๊ะ และกล่องสีน้ำตาลใบใหญ่วางอยู่ที่พื้นอีกสี่ห้ากล่อง

“ จะให้จัดไว้ที่ไหนคะ? ”

คำถามนี้ ทำให้เธอได้ยินเสียงถอนใจ แล้วใบหน้าก็เงยมามองอย่างเฉยเมย น้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ จัดไว้บนชั้นตรงหน้าคุณนั่นแหละ มีคำถามอะไรอีกไหม? ”

สารินหันหลังทันที ก่อนที่ความโกรธจะออกมาทางสีหน้า เธอเพิ่งจะเอ่ยถามไปแค่นั้น ทำยังกับว่าเธอไปรบกวนเขาอย่างมหันต์ทีเดียว ถ้าเธอขืนจัดไปก่อนยังไม่ถามสิ ไม่ถูกขึ้นมา ก็เท่ากับเธอทำงานฟรีเท่านั้น อารมณ์ไม่ชอบหน้าเมื่อครั้งที่เขาขับรถเฉี่ยวที่ลืมไปแล้ว ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เห็นทีพรุ่งนี้เธอจะต้องพกที่ทับกระดาษนั่นมาทำงานเสียแล้ว

สารินจัดเรียงแฟ้มเหล่านั้นไปตามอักษรสันแฟ้ม แบบที่เคยช่วยคุณบุษกรจัดอยู่บ้างตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ เธอทำงานของเธอไปเงียบๆ เหมือนอยู่คนเดียว จนรู้สึกหิว ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาเที่ยงสี่สิบห้านาที จวนจะหมดเวลาพักทานข้าวกลางวันแล้ว แต่แฟ้มที่เอาออกจากกล่องก็เหลือไม่มาก เธอเลยคิดที่จะจัดให้มันเสร็จๆ ไป และเมื่อแฟ้มอันสุดท้ายกำลังจะถูกวางไว้บนชั้น ก็มีเสียงดังขึ้นว่า

“ ขอกาแฟถ้วยซิ ”

ฟั่บ !

เสียงเหมือนบางอย่างถูกกระแทกบนโต๊ะไม่ห่าง ทำให้ภูมิไทเงยหน้า แล้วก็เห็นแต่แผ่นหลังของร่างที่เดินไปยัง มุมแพนทรี เขาไม่แน่ว่า เธอทำใส่เขาหรือเปล่า จึงก้มหน้าทำงานต่อ สักครู่ก็มีถ้วยกาแฟ มาวางที่โต๊ะซ้ายมือ

“ ขอบคุณ ”

สารินไม่สนใจกับคำนั้น เธอเดินไปหยิบแฟ้มอันสุดท้ายขึ้นไว้บนชั้น แล้วเดินกลับไปที่ประตู เพียงแค่จับลูกบิด ก็มีเสียงขรึมๆขึ้นว่า

“ ผมดื่มกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล ”

สารินหันขวับอย่างลืมตัว “ ดิฉันไม่ทราบ ”

“ คุณควรจะถาม ”

สารินสบสายตาใบหน้าเรียบเฉยนั้นแล้ว ก็พูดอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ เฉพาะเรื่องงานค่ะ ”

ประตูห้องนั้นปิดไปแล้ว แต่ภูมิไท ยังหมุนถ้วยกาแฟเล่นอยู่ รสชาติมันหวานเหมือนคนชงจงใจแกล้ง ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสนใจพนักงานหญิงในบริษัทของตนเอง เขาวางตัวดี้ในเรื่องนี้ และหากมีพนักงานคนดีมีทีท่าจะคิดเป็นอย่างอื่น มักจะถูกเขาเหน็บเอาเจ็บๆ จนกลัว หรือไม่ก็เกลียดเขาไปเลย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกพนักงานหญิงระดับล่างย้อนใส่หน้าเช่นนี้ เสียดายที่แว่นตาอันโตนั้นบดบังใบหน้าที่แท้จริงเธอไว้ ไม่งั้น ...

ภูมิไทสะบัดหน้าเรียกความคิดตัวเองกลับมา แม้ภาพของหญิงสาวยืนสยายผมใช้มือสางให้ตัวเองที่หันมามองเขาอย่างงงๆ นั้นยังจำติดตา แต่เขาไม่ควรจะเห็นว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้หญิงเชยๆ เมื่อครู่นี้เด็ดขาด

- - - - - - -

 

เรื่องนี้ยังเขียนไม่จบนะคะ ^--^

ไปคุยกับฟีลิปดาเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ ที่นี่ค่ะ คลิก


ฟีลิปดา

 

©  ลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย โดย ฟีลิปดา
ติดต่อ  philipda@forwriter.com

 

 


 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 

 

ดั่งไฟรัก

 

 

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

 


2009 free writing
 

 

 

http://www.forwriter.com . © 2005 All rights reserved.