ต่าง ๆ นานา
 
นวนิยายรักโรแมนติก

 


ลมหนาวบนภูสูง

โดย วราภรณ

บรรยากาศอันหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูหนาวแถบภูสูง ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้หลากชนิด สีเขียวของใบไม้ผสมกับสีขาวของหมอกบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยหมอกบางๆ ยังคงลอยอ้อยอิ่ง ท้าท้ายอุณหภูมิความหนาวที่กำลังลดลงไปจนถึง 10 องศา แม้ว่าท้องฟ้าจะเห็นใจ ส่งแสงแดงลอดผ่านเมฆลงมาให้ความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้มาเยือนลดความหนาวเย็นลงได้เลย
ระยะทาง 36 กิโลเมตร จากในตัวจังหวัดเชียงรายจนถึงไร่ชาฟ้าใส เม็ดทรายว่าจ้างรถโดยสารสองแถวสีแดงมาจากสถานีขนส่งในราคาต่อรอง 500 บาท ซึ่งมีเพียงหลังคากันลมเท่านั้นและตัวเธอเองก็มีเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเดียวที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เม็ดทรายลากกระเป๋าเดินทางสองใบลงจากรถ หลังจากที่ลุงคนขับบอกว่าต้องเดินเข้าไปเองอีก 2 กิโลเมตร มีเพียงป้ายชื่อ “ไร่ชาฟ้าใส” เท่านั้น ที่บอกให้รู้ว่านี่คืออาณาเขตไร่ชาของนายปากเสีย เม็ดทรายมองเส้นทางเดินเล็กๆ สำหรับเดินหรือให้รถอย่างพวกจักรยานผ่าน มีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมเป็นหย่อมๆ สลับกับพื้นดิน ร่องรอยการใช้งานปรากฏชัดเจน สังเกตจากต้นหญ้าที่แนบไปกับพื้นดิน แทนที่จะตั้งตรง เฮ้อ...นี่เธอจะต้องเดินแบกสัมภาระท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจริงๆ เหรอเนี่ย
“คิดถูกคิดผิดน่ะเรา” เม็ดทรายบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะสูดลมหายใจ สร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองเพื่อเดินหน้าต่อไป
กว่าจะมาถึงบ้านไม้สักตามที่ลุงคนขับบอก เม็ดทรายใช้เวลาเดินเกือบ 2 ชั่วโมง เม็ดทรายค่อยยิ้มออกมาได้หน่อยเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ยิ่งเมื่อเห็นบ้านสองชั้นคล้ายเรือนไทยสมัยอยุธยา ผสมกลิ่นอายของวัฒนธรรมทางภาคเหนือ มีตุงสีขาวแขวนไว้ที่เสาหน้าบ้าน บริเวณรอบๆ บ้านยังมีดอกไม้หอมหลายชนิดต่างแย่งกันส่งกลิ่น โดยเฉพาะดอกแก้ว ส่งกลิ่นมาทักทายเม็ดทราย ตั้งแต่เธอเข้ามาเยือน
“มาหาใครนะแม่หนู” สำเนียงทางเหนือเอ่ยถามมาจากด้านหลังของเม็ดทราย ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เพราะกำลังชื่นชมตัวบ้านอยู่ จึงไม่ทันได้ยินเสียงเดินของคุณป้าที่มาทางด้านหลังเธอ
“สวัสดีค่ะ” เม็ดทรายยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยความนอบน้อม ก่อนจะบอกจุดประสงค์ว่าเธอมาทำอะไร
“หนูมาเป็นครูคนใหม่คะ”
“เอะ...ไม่เห็นพ่อเลี้ยงบอกเลยว่าจะมีครูมาวันนี้”
เม็ดทรายยิ้มแหะๆ เป็นคำตอบ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะรับเธอไว้หรือเปล่า
“ป้าว่าเข้าไปรอพ่อเลี้ยงในบ้านดีกว่า ท่าทางหนูคงจะหนาว” ป้าเมี่ยงเห็นอาการปากสั่นจนซีดของหญิงสาวตรงหน้าและดูท่าทางแล้วคงจะไม่มีพิษภัยอะไร จึงกล้าชวนเข้าไปรอในบ้าน
เม็ดทรายเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเธอเองก็ต้องการความอบอุ่นแทนอากาศที่เย็นเฉียบข้างนอก
ห้องรับแขกสไตล์ยุโรป ที่โซฟาตั้งเป็นรูปครึ่งวงกลม มีโต๊ะกระจกเตี้ยๆ วางอยู่ตรงกลาง หันหน้าเข้าหาปล่องไฟของจริง ซึ่งกำลังทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นอย่างดีเยี่ยม ทั้งห้องปูด้วยพรหมสีแดงเข้ม ลายดอกพุดตานกระจายอยู่ทั่วผืน ด้านมุมขวามีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ติดริมหน้าต่าง โดยมีชั้นหนังสือวางอยู่ทางด้านหลัง
“ว้าว...อย่างกะในหนังเลยแหะ นายปากเสียนี่ รสนิยมดีไม่ใช่เล่น” เม็ดทรายอดใจไม่ไว้ เลยเดินชมรอบห้องจนมาหยุดอยู่ตรงชั้นหนังสือ ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบและหมวดหมู่ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือประเภท “ชา” ที่มีมากกว่าหนังสือประเภทอื่น ตามประสาคนชอบอ่านอย่างเธอมีหรือที่จะไม่หยิบหนังสือสักเล่มออกมาอ่าน โดยไม่รู้ว่าเจ้าของห้องยืนกอดอกมองเธอนานแล้ว
“ไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทการขออนุญาตเจ้าของ ก่อนที่จะหยิบหนังสือดูเลยรึไง” เสียงเข้มดังผ่านเข้ามากระทบหู ทำให้เม็ดทรายสะดุ้งเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่มาถึง
เม็ดทรายมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ หนวดเคราเต็มหน้า ดูเหมือนสิงห์คะนองนายังไงยังงั้น เธอเชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเองว่านายตัวโตคนนี้ น่าจะเป็นเจ้าของไร่ปากเสียแน่นอน
“แล้วไม่มีใครสอนคุณเรื่องมารยาทการต้อนรับแขกหรือไง ว่าควรพูดจาแบบไหน” เม็ดทรายสวนกลับทันควัน เรื่องอะไรจะให้มาว่ากันฟรีๆ
ภูผารี่ตาลงมองคนตัวเล็กที่ยืนกอดหนังสือเขาไว้แน่น แววตาตระหนก แต่ก็ยังปากดีมาต่อล้อต่อเถียงกับเขา ภูผาหัวเราะ ฮึฮึ ในลำคอ เขาอยากรู้นักว่าจะเก่งแค่ไหน
“ผมว่าคุณกับผมมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่าไหม” ภูผาทำท่าผายมือเชื้อเชิญ ไปยังโซฟา อย่างยอมสงบศึก
เม็ดทรายยอมเดิมมานั่ง โดยที่สายตายังไม่ละไปจากเจ้าของไร่ ถ้าเธอเห็นท่าไม่ดีเมื่อไหร่ เธอจะใช้หนังสือในมือนี่แหละ ทุบหัวให้มึนไปเลย
“ป้าเมี่ยงบอกว่าคุณเป็นครู” ภูผาเปิดฉากสนทนาขึ้นก่อน
“ใช่...คุณเป็นคนบอกฉันเองว่าถ้าแน่จริงก็เชิญมาได้เลย”
ภูผามองสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาเครียดหนักกว่าเดิม ไม่คิดว่าผู้หญิงที่เขาท้าไว้จะบุกมาถึงที่ และยิ่งผิดคาดมากขึ้นไปอีก เมื่อหน้าตาของครูคนใหม่ ที่จัดว่าสวยเกินกว่าจะต้องมาเป็นครูอยู่บนไร่ที่ไร้ความสะดวกต่างๆ นานา ไว้คอยบริการ แล้วต้องอยู่ท่ามกลางคนงานผู้ชายนับร้อย เขาจะต้องเพิ่มห่วงกังวลขึ้นมาอีกหนึ่งห่วงหรือไง
“ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับสังคมที่เคยอยู่หรอกนะ ไม่เท่าไหร่คุณก็เบื่อ”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ถ้าหากคุณจะเปิดใจ”
“ยังไงก็จะอยู่”
เม็ดทรายพยักหน้าแทนคำตอบ
“ทดลองงาน 1 เดือน ถ้าไม่ผ่าน คุณก็เชิญเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านได้เลย” หลังจบประโยคภูผาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่า 3 ฟุต ข่มตัวเธอให้เล็กกระจ้อยร่อยไปทันตา
“ป้าเมี่ยงจะดูแลคุณ” ภูผาบอกก่อนเดินออกจากห้องไป ว่าที่ครูคนใหม่แลบลิ้นปลิ้นตา เป็นลิงหลอกเจ้าอยู่ด้านหลัง โดยที่เม็ดทรายไม่รู้เลยว่าด้านข้างประตูมีกระจกเงาติดอยู่กับผนัง ทำให้คนที่เธอกำลังหลอกอยู่นั้นเห็นภาพทั้งหมด
ภูผาหันหลังกลับกะทันหัน จนเธอแทบจะปรับสีหน้าไม่ทัน
“หนังสือในมือคุณ จะยืมไปอ่านก่อนก็ได้” พ่อเลี้ยงบอกด้วยสีหน้าที่ไม่เคยมีรอยยิ้มเช่นเดิม
“อีตาบ้า” เม็ดทรายบ่นออกมา เมื่อภูผาออกจากห้องไปแล้ว หากก็ต้องสะดุ้งเป็นหนที่สาม เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง
“โธ่...ป้านี่เอง” เสียงถอนหายใจแสดงความโล่งอก นึกว่าจะเป็นอีตาบ้านั่นอีก
“พ่อเลี้ยงให้ป้าพาคุณไปห้องนะเจ้า” เธอหิ้วกระเป๋าตามป้าเมี่ยงไปอย่างว่าง่าย เพราะเธอเองก็รู้สึกอยากนอนเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างที่ร้องอุทธรณ์ว่าไม่ไหวแล้ว
เฮ้อ...ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ของเธอจะเป็นอย่างไงบ้างกับหน้าที่ครูคนใหม่

สาวสวยในกระจก มองตัวเองอย่างพอใจกับเสื้อสีทองคว้านคอลึกพอหอมปากหอมคอคนมอง บวกกับกระโปรงสีดำระบายรอบตัว ที่สั้นเลยเข่าขึ้นมาหนึ่งคืบ วันนี้เธอบรรจงแต่งตัวเป็นพิเศษ เพื่อจะอวดโฉมให้คนข้างล่างตะลึงกันบ้างละ
“คอยดูเถอะ นายจะต้องจำฉันไว้จนวันตาย” นิ่มพูดกับตัวเอง ก่อนจะเดินลงไปพบคเชนทร์ ที่นั่งคุยกับพ่อและแม่ของเธออย่างออกรสออกชาติ
“แหม กำลังนินทานิ่มอยู่หรือเปล่าคะ ถึงได้คุยสนุกอย่างนี้”
นิ่มแกล้งสัพยอก แถมยังปลายตาไปยังคเชนทร์ ที่มองนิ่มอย่างชื่นชม
“ผู้ชาย เห็นผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้ทุกราย” นิ่มคิดในใจ
“ไปกันได้แล้ว” อาปาออกปากไล่ ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ที่หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวกำลังจะลงเอยด้วยดี โดยไม่เฉลียวใจกับความผิดปกติของลูกสาวตนเองว่าทำไม ถึงเปลี่ยนมาทำดีกับว่าที่ลูกเขยอย่างนี้
คเชนทร์ยื่นแขนออกไปให้นิ่มควง ตามแบบฉบับของสุภาพบุรุษควรทำ หากการกระทำนั้นยิ่งทำให้นิ่มคิดว่าคเชนทร์คงจะเคยทำอย่างนี้บ่อยๆ
ร้านอาหารหรูบนโรงแรมย่านรัชดา มีคนรับประทานค่อนข้างแน่น เพราะเป็นวันหยุดสุดสุปดาห์ โชคดีที่คเชนทร์จองโต๊ะล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคงจะต้องเปลี่ยนร้านกันละคราวนี้
โต๊ะอาหารของทั้งคู่ตั้งชิดริมหน้าต่าง สามารถมองเห็นสภาพเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับ ถึงแม้จะเป็นยามราตรีก็ตาม
เมนูอาหารหลากหลายชนิดถูกเปิดดูไปอย่างแกนๆ โดยเจ้าตัวไม่คิดจะสั่งอะไรทาน
“นิ่มให้พี่คเชนทร์เป็นคนสั่งดีกว่าค่ะ นิ่มอะไรก็ได้”
“งั้น...เป็นไก่อบไวน์ 2 ที่ แล้วไวน์แดงอีกหนึ่งขวด”
คเชนทร์หันไปสั่งพนักงานบริการ พร้อมกับส่งเมนูคืน
“วันนี้น้องนิ่มสวยมากเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” นิ่มพยายามยิ้มตอบกับคำชม เพราะแผนที่เธอวางไว้เริ่มเห็นลางของความสำเร็จแล้ว
“สวัสดีค่ะคุณคเชนทร์ แหม...ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะว่าดวงเราจะสมพงศ์กันอย่างนี้” นางแบบสาวสวยที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกชั้นแนวหน้า เข้ามาทักทายคเชนทร์ด้วยความสนิทสนม
“สวัสดีครับ คุณจัสมิน” คเชนทร์ลุกยืนตามมารยาท แขกไม่ได้รับเชิญจึงถือโอกาสคล้องแขนประกาศความเป็นเจ้าของให้นิ่มได้รู้ แถมสายตาที่นางเอกในจอส่งมายังเธอ มันเหมือนเธอเป็นตัวอะไรซักอย่าง
“น้องนิ่มครับ นี่จัสมิน เพื่อนพี่เอง”
“สวัสดีค่ะคุณจัสมิน ดิฉันฤดีกมล” นิ่มพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ กับท่าทางไหวไหล่อย่างไม่แยแสของยัยจัสมิน
“คเชนทร์ขา ไปที่โต๊ะกับจัสมินนะ เพื่อนๆ จัสมินอยากรู้จักคเชนทร์กันทุกคนเลย”
คเชนทร์หันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่กับที่ อยากจะรู้เหมือนกันว่านิ่มจะทำอย่างไรบ้าง
“เชิญพี่คเชนทร์ไปกับคุณจัสมินเถอะค่ะ นิ่มรอได้ แต่ว่าพี่คเชนทร์อย่าลืมชวนคุณจัสมินกับเพื่อนๆ ไปงานแต่งงานของเราด้วยนะคะ” ขณะที่พูดนิ่มมองสบตากับจัสมิน โดยเฉพาะคำว่า “งานแต่งงานของเรา” นิ่มยิ่งเน้นหนัก เพื่อตอกย้ำให้ยัยดารานอกจอรู้ว่าซะบ้างว่าของใครเป็นของใคร
“อะไรกันคะ คเชนทร์จะแต่งงาน ทำไมจัสมินไม่รู้”
“ก็เพราะว่าเราเชิญแต่คนสำคัญเท่านั้นน่ะซิคะ” นิ่มเป็นฝ่ายตอบคำถามแทนคเชนทร์
จัสมินสูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์เสียใจ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้หวังอะไรกับคเชนทร์มากมายนัก แต่มันก็น่าเสียดายทั้งหล่อและรวย ครบสูตรแบบนี้หาได้ยากจะตาย
“ไม่น่าเชื่อน่ะคะ ว่าคเชนทร์จะมีรสนิยมที่ต่ำลง”
“คุณคเชนทร์ไม่ได้มีรสนิยมต่ำหรอกค่ะ แต่เพิ่งจะเห็นว่าของสูงบางอย่างก็มาจากโคลนตมเหมือนกัน”
“แก...แก” จัสมินชี้หน้านิ่มที่ตอกกลับอย่างเจ็บแสบ
“ผมว่าจัสมินกลับไปก่อนเถอะครับ”
“คเชนทร์เข้าข้างนังนี่เหรอคะ”
“นังนี่ ที่คุณพูดถึงคือคนที่ผมจะแต่งงานด้วยนะครับ กรุณาให้เกียรติด้วย”
แววตาของคเชนทร์ที่ดูขี้เล่นแปรเปลี่ยนเป็นดุกระด้าง อย่างที่จัสมินไม่เคยเห็น ทำให้เธอต้องถอยไปตั้งหลัก จัสมินสะบัดหน้าเดินกลับไปยังโต๊ะของเธอ โดยไม่กล่าวลาสักคำ
ความเงียบเริ่มมีบทบาทมากขึ้นระหว่าคเชนทร์และนิ่ม จนกระทั่งอาหารที่สั่งไว้มาบริการถึงตรงหน้า
“พี่เสียใจกับเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้น”
“ดิฉันคิดว่า คุณควรจะเคลียร์กับผู้หญิงของคุณให้เรียบร้อยก่อนที่เราจะแต่งงานกันนะคะ” หลังจากพูดจบ นิ่มก็ใส่ใจกับอาหารแทนคนตรงหน้าที่นั่งอมยิ้มอยู่
อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ว่า เจ้าสาวของเขาก็หึงเป็นเหมือนกัน ตามคำโบราณกล่าวไว้ “ผู้หญิงหึงก็แปลว่าผู้หญิงรัก” แต่ในกรณีนิ่ม เขาคงจะต้องเชื่อครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะเขายังสงสัยว่าเธอจะมีแผนอะไรในใจ จากที่เคยเกลียดเขายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน กลับยอมตกลงแต่งงานอย่างง่ายดาย เคยเรียกคเชนทร์ว่าคุณก็เปลี่ยนเป็นพี่ แล้วยังเรียกแทนตัวเองว่านิ่มอีกด้วย เขาคงจะต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมซะแล้ว

รุ่งอรุณของวันใหม่บนไร่ชาแห่งนี้ ช่างสดชื่นจนต้องสูดเอาบรรยากาศอันบริสุทธิ์ไปเก็บกักไว้ในปอด เพื่อจะไปแทนมลพิษในกรุงเทพที่สะสมไว้ซะเยอะ ริมระเบียงห้องของเม็ดทรายสามารถมองเห็นไร่ชาที่ไล่ระดับเป็นขั้นอย่างสวยงามจนสุดสายตา ถ้าหากเธอไม่มองเห็นคุณเจ้าของไร่ปากเสียกำลังคุมคนงานขนใบชาอยู่ เธอคงจะยืนชมวิวอยู่ก่อนเป็นแน่แท้
“ลูกน้องอย่างเราก็ควรเริ่มงานได้แล้วเช่นกัน” ความขยันแล่นเข้าสู่สมองของเธอทันที เมื่อเห็นเจ้าของไร่ปากเสียทำงานอยู่
กว่าเม็ดทรายจะออกจากห้องได้ก็เป็นเวลา 11:00 โมงตรง เธอพึ่งจะรู้ว่าตัวเองตื่นสาย ทั้งที่บรรยากาศของนอกเหมือนกับเช้ามืออยู่ด้วยซ้ำ ต่อไปนี้เธอจะไม่เชื่อพระอาทิตย์อีกแล้ว แถมเธอยังต้องทำใจกับน้ำที่เย็นเหมือนกับใครเอาน้ำแข็งมาแช่ไว้
“จะรับอาหารเลยไหมเจ้า” ป้าเมี่ยงออกมาถามตามหน้าที่แม่บ้านที่ดี
“ดีค่ะ หนูรู้สึกว่าพยาธิในท้องเริ่มร้องกันแล้ว”
เพียงไม่นานนักโต๊ะอาหารก็พร้อมสำหรับคุณครูคนใหม่
“พอทานได้ไหมเจ้า”
“โธ่...พอทานได้ซะที่ไหนล่ะคะ อร่อยมากเลยต่างหาก” เม็ดทรายไม่ได้แกล้งชมคนแก่ หากแต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ป้าเมี่ยงคะ แล้วหนูจะไปพบพ่อเลี้ยงได้ที่ไหนคะ”
“คุณครูจะไปพบในไร่ก็ได้เจ้า เพราะกลางวันพ่อเลี้ยงจะทานอาหารพร้อมคนงานในไร่น่ะเจ้า”
นี่เป็นความรู้ใหม่ของเธอที่เกี่ยวข้องกับเขา ส่วนใหญ่เธอจะเห็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบแบ่งชั้นวรรณะ ยังไงก็เถอะนายพ่อเลี้ยงนั้นก็ยังดูถูกผู้หญิงอยู่ดี
เม็ดทรายเดินตามทางที่ป้าเมี่ยงบอกจนมาถึงโรงอาหาร ซึ่งเหลือเพียงคนงานไม่กี่คนที่ยังคงนั่งกินข้าวอยู่ คนงานเหล่านั้นต่างก็จ้องมองคนแปลกหน้า ที่เข้ามาเดินในเขตการเพาะปลูก
“ขอโทษนะคะ ดิฉันจะพบพ่อเลี้ยงได้ที่ไหนคะ” เธอเอ่ยถามคนงานผู้หญิงแถวนั้น
“พ่อเลี้ยงอยู่ที่โรงอบนะเจ้า” สาวร่างท้วม ผิวขาวตามแบบสาวชาวเหนือ ตอบด้วยความเป็นมิตร
เม็ดทรายยังไม่ทันจะเดินไปไหน เสียงคุ้นเคยก็ดังเข้ามากวนประสาทเธออีกแล้ว
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“มาพายเรือเล่นมั้ง” คำตอบกวนโอ๊ยของเธอ เรียกเสียงหัวเราะของคนงานแถบนั้นเกือบทั้งหมด หากพ่อเห็นหน้าพ่อเลี้ยง ทุกคนก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน
“ฉันต้องการคุยกับคุณเรื่องหน้าที่ของฉัน”
พ่อเลี้ยงมองคุณครูคนใหม่ไฟแรง ด้วยสายตาที่เม็ดทรายอ่านไม่ออก ภูผาเห็นกี่รายก็ไฟแรงแบบนี้ แต่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า ขนาดผู้ชายยังทนไม่ได้แล้วผู้หญิงกรุงเทพจะทนได้ซักกี่น้ำ
ภูผาไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้นกับเม็ดทราย หากแต่กลับหลังเดินไปเฉยๆ ช่วงขาที่ยาวของภูผา ทำให้เธอต้องเดินผสมกับวิ่ง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทันแน่
“นี่คุณจะไปไหน ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
ภูผาหยุดเดินกะทันหัน เป็นเหตุให้เม็ดทรายที่ก้มมองดูแต่ทางชนเข้าที่หลังของภูผาแบบเต็มๆ จนเธอล้มลงไปกองพับเพียบเรียบร้อยกับพื้นดิน เม็ดทรายเงยหน้ามองคนต้นเหตุที่ยืนเท้าเองมองดูอย่างไม่คิดจะช่วยเหลือแต่อย่างใด
“ผมจะพาคุณไปดูโรงเรียน ถ้าลุกขึ้นได้เมื่อไรก็ตามมาแล้วกัน”
“คนอะไรใจดำ” เม็ดทรายจงใจบ่นเสียงดังให้คนข้างหน้าได้รับรู้ ซึ่งภูผาก็ได้ยินเต็มสองรูหู แต่ก็แกล้งทำเฉยเสีย
ทั้งคู่เดินมาถึงโรงเรียนที่สร้างจากวัสดุธรรมชาติที่พอจะหาได้ในท้องถิ่น เธอพอจะดูออกก็เป็นแค่เพียงต้นยูคาลิปตัส ที่ใช้ทำเป็นตัวโรงเรียน นอกนั้นเธอไม่รู้ว่าใช้ต้นไม้อะไรมาแปรรูปบ้าง
โรงเรียนชั้นเดียวติดพื้น โดยมีปูนที่เทราดอย่างง่ายๆ แบ่งออกเป็นสามห้องใหญ่ ซึ่งหนึ่งในสามคงจะเป็นห้องพักครู เพราะมีโต๊ะอยู่แค่สองตัว ส่วนอีกสองห้องเต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนักเรียน
“งานแรกที่คุณต้องทำ” ภูผาเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่าเม็ดทรายสำรวจโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว
เม็ดทรายเห็นสภาพที่หยากไย่ขึ้นเต็มห้องทั้งสาม ก็พอจะเดาออกว่าสิ่งที่เธอต้องทำก็คือ การทำความสะอาดโรงเรียนทั้งหลัง
“แล้วเด็กๆ ล่ะคะ”
“อยู่บ้าน”
“ฉันอยากให้เขามาช่วยกันทำความสะอาด”
“แค่ทำความสะอาดก็ยังทำไม่เป็น แล้วจะสอนเด็กได้อย่างไง” ไม่เพียงแต่คำพูด สายตาของภูผายังแสดงความดูถูกออกมาอย่างชัดเจน
“คุณนี่มันใจอกุศลซะจริง” เม็ดทรายอดไม่ได้ที่จะว่าพ่อเลี้ยงกลับทันที ที่เข้าใจความหมายของเธอผิด
“ฉันต้องการสอนให้เด็กรู้จักความรับผิดชอบ ในเมื่อโรงเรียนเป็นของพวกเขาก็ต้องช่วยกัน และอีกอย่างฉันจะได้คุ้นเคยกับเด็กๆ ได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันก่อนด้วย”
“จะไปตามมาให้” เขารู้สึกผิดที่ตีความหมายของเธอไปในทางไม่ดี แต่เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” จึงแก้เขินด้วยการเดินไปตามเด็กๆ มาให้ ทิ้งเม็ดทรายอยู่ตามลำพังกับโรงเรียนหลังใหม่ของเธอ
เม็ดทรายเดินเข้าไปเปิดหน้าต่างทุกห้องเสร็จ ก็พอดีที่เด็กๆ ประมาณสิบห้าคนเดินถือไม้กวาด ผ้าขี้ริ้วและถังน้ำ เธออดที่จะยิ้มกับความน่ารักของเด็กไม่ได้ ท่าทางแต่ละคนต่างก็รีบวิ่งมาทั้งนั้น
“สวัสดีครับ”
“สา-วัด-ดี-คราบ” ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายต่างประสานเสียงสวัสดีคุณครูและยกมือไหว้พร้อมกับอุปกรณ์ในมือไปด้วย
ในบรรดาเด็กทั้งหมด เธอสังเกตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารัก แต่งตัวสะอาดสะอ้าน แก้มป่องอมชมพู ถักเปียสองข้างเหมือนพจมานบ้านทรายทอง เม็ดทรายคิดว่าน่าจะไม่ใช่ลูกคนงานในไร่อย่างแน่นอน
“นี่เตรียมมาช่วยครูกันใช่ไหมคะ”
หลายคนพยักหน้าแทนคำตอบ บางคนก็เอาแต่จ้องมองครูคนใหม่ จนทำให้เม็ดทรายประหม่าเหมือนกัน ก็นี่มันเป็นหน้าที่ใหม่ที่เธอยังไม่เคยได้ทำมาก่อน
“ยังงั้นเราเริ่มกันดีกว่ามั้ย”
ทั้งคุณครูและนักเรียนต่างก็ช่วยกันทำความสะอาดกันอย่างขยันขันแข็ง โดยเม็ดทรายร้องเพลงให้เด็กๆ ฟัง จนกระทั่งนักเรียนร้องได้กันทุกคน
“โรงเรียนเขาเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน
เด็กๆ ก็ไม่ซุกซน เราทุกคนชอบไปโรงเรียน
ชอบไป ชอบไปโรงเรียน”
เสียงเพลงและเสียงหัวเราะ เริ่มต้นขับขานท่วงทำนองใหม่ หลังจากที่ห่างหายไปแสนนาน วันนี้คุณครูคนใหม่ได้ปลุกความสดใสกลับคืนมาในใจของเด็กน้อยบนไร่ชาแห่งนี้อีกครั้ง
ภูผายืนมองโรงเรียนหลังเก่าที่กลับมาสดใสอีกครั้ง ด้วยความหวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป


© ลิขสิทธิ์ตามกฏหมายโดย วราภรณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง
 


ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์
 

  2009
free writing

โดยหีลิปดา

2009 free writing

 
 

 

 

  forwriter.com . © 2005 All rights reserved.